สิ้นสุดดุนยา เข้าสู่วันกิยามะฮ์
คอเฏ็บ อับดุลสลาม เพชรทองคำ
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งใช้เราให้มีอัตตักวา คือมีความยำเกรงต่อพระองค์ เพราะการยำเกรงต่อพระองค์นั้น หากมีอยู่ในหัวใจของเราแล้ว มันก็จะเป็นเสมือนกำแพงที่ขวางกั้นเรา ไม่ให้ทำสิ่งที่เป็นชิริก สิ่งที่เป็นบิดอะฮฺ สิ่งที่เป็นมะอฺศิยะฮฺ สิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และมันก็จะเป็นแรงผลักดันเราให้ปฏิบัติในสิ่งที่เป็นอิบาดะฮฺ สิ่งที่เป็นอะมัลศอและฮฺต่างๆ
ซึ่งผลของการที่เรามีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็คือ การที่เราได้ปกป้องตัวของเราเองให้รอดพ้นจากการถูกทรมานในกุบูร และปกป้องเราจากการถูกลงโทษในไฟนรกในวันกิยามะฮฺ สำหรับในโลกดุนยานี้ เราก็จะได้รับชีวิตที่ดีงาม และในโลกอาคิเราะฮฺเราก็จะได้รับรางวัลตอบแทนด้วยสวนสวรรค์และสิ่งพิเศษมากมายที่อยู่ภายในสวนสวรรค์นั้น
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ เมื่ออะญัล หรือเมื่อกำหนดเวลาความตายของเรามาถึง ชีวิตของเราจะต้องจากโลกดุนยา เข้าสู่อะลัมบัรซัค (برْزَخ) ...โลกบัรซัค ซึ่งเป็นโลกที่คั่นกลางระหว่างโลกดุนยากับโลกอาคิเราะฮฺ เราจะผ่านกระบวนการต่างๆ นั่นก็คือ กระบวนการของการเก็บวิญญาณ ผ่านกระบวนการของการถูกสอบสวนในกุบูร หลังจากนั้น ผู้ศรัทธาก็จะได้รับแจ้งข่าวดีด้วยที่อยู่ในสวรรค์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้รับความผาสุก ได้รับความสุขสบายอยู่ในกุบูร ...
แต่ส่วนผู้ปฏิเสธศรัทธา คนที่เป็นมุนาฟิก คนที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็จะได้รับแจ้งข่าวร้ายด้วยที่อยู่ในนรก และได้รับความทุกข์ ความทรมานด้วยการถูกลงโทษต่างๆในกุบูร ตามความผิดที่เขาได้กระทำไว้เมื่อตอนอยู่บนโลกดุนยา ( จากคุฏบะฮฺครั้งก่อนๆ )
นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในขณะนี้สำหรับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ทุกคนต่างอยู่ในโลกบัรซัคกันทั้งหมด ไม่ว่าพวกเขาจะนับถือศาสนาอะไร ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนเชื้อชาติใด เมื่อพวกเขาสิ้นชีวิตลง พวกเขาก็จะต้องประสบกับโลกบัรซัคอย่างแน่นอน .... เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้วสำหรับผู้เสียชีวิตไปแล้ว
และเมื่อไรก็ตามที่เราเสียชีวิตลง เราก็ต้องประสบกับโลกบัรซัคเช่นกัน และเราก็จะอยู่โลกบัรซัคเรื่อยๆไป อยู่ไปพร้อมกับความผาสุก ความสุขสบาย หรือไม่ก็อยู่พร้อมกับการลงโทษในกุบูร .....อยู่ไปจนกระทั่งถึงวันที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงอนุมัติให้เกิดวันกิยามะฮฺขึ้น นั่นก็คือ เวลาแห่งการดับสลายของโลกดุนยา ซึ่งจะเป็นวันไหน ? เวลาเท่าไร ? ไม่มีใครทราบ แม้แต่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ไม่ทราบ
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอะหฺซาบ อายะฮฺที่ 63 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
يَسْأَلُكَ النَّاسُ عَنِ السَّاعَةِ ۖ قُلْ إِنَّمَا عِلْمُهَا عِندَ اللَّهِ ۚ
“มีผู้คนถามเจ้า(มุฮัมมัด)เกี่ยวกับยามอวสานของโลก(คือวันกิยามะฮฺว่า มันจะเกิดขึ้นเมื่อไร ?)
(มุฮัมมัด) จงกล่าวออกไปเถิดว่า แท้จริง ความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ”
นั่นก็หมายความว่า ท่านนบีก็ไม่ทราบว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร ? มีแต่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเท่านั้นที่ทรงทราบ
เมื่อถึงเวลาที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงอนุมัติให้เกิดวันกิยามะฮฺ ก็เป็นเวลาที่โลกบัรซัคจะจากไป โลกดุนยาก็จะจากไป พระองค์จะทรงสั่งให้มะลาอิกะฮฺชื่ออิสรอฟีล ทำการเป่า الصُّورِ เป่าแตรสังข์ครั้งแรก ลักษณะของแตรสังข์จะคล้ายเขาสัตว์ที่มีขนาดมหึมา
อัลหะดีษ ในบันทึกของอิมามอัตติรมีซีย์ อิมามอบูดาวูด รายงานจากท่านอับดิลลาฮฺ อิบนิ อัมรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เล่าว่า
ชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งได้มาหาท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วถามว่า“โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศูร คืออะไร ?"
ท่านตอบว่า “คือเขาสัตว์ที่ใช้สำหรับเป่า”
ซึ่งในขณะนี้ ในปัจจุบันนี้ มะลาอิกะฮอิสรอฟีล อะลัยฮิสสลาม ก็เตรียมพร้อมอยู่แล้วที่จะทำหน้าที่นี้ รอแค่คำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเท่านั้น
อัลหะดีษ ในบันทึกของอิมามอัลหากิม รายงานจากท่านอบูหุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า
«إِنَّ طَرْفَ صَاحِبِ الصُّورِ مُذْ وُكِّلَ بِهِ مُسْتَعِدٌّ يَنْظُرُ نَحْوَ الْعَرْشِ مَخَافَةَ أَنْ يُؤْمَرَ قَبْلَ أَنْ يَرْتَدَّ إِلَيْهِ طَرْفُهُ ، كَأَنَّ عَيْنَيْهِ كَوْكَبَانِ دُرِّيَّانِ» (أخرجه الحاكم
“แท้จริง ริมฝีปากของผู้มีหน้าที่เป่าแตรสังข์ เตรียมพร้อมอยู่แล้ว
อยู่ในสภาพพร้อมเป่า นับตั้งแต่ที่ท่านได้ถูกมอบหมายให้รับหน้าที่นี้
โดยที่สายตาของท่านจะทอดมองไปยังบัลลังก์ของอัลลอฮฺอยู่ตลอดเวลา (ไม่ยอมกระพริบตา)
เนื่องจากเกรงว่า (อัลลอฮฺ)จะทรงมีคำสั่งให้เป่าแตรสังข์ในขณะที่ท่านกระพริบตา
ดวงตาทั้งสองของท่าน(จึง)มีประกายแวววาวเสมือนดวงดาว”
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ ขณะนี้ มะลาอิกะฮฺอิสรอฟีล เตรียมพร้อมอยู่แล้วที่จะเป่าแตรสังข์ เมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงมีคำสั่งให้เป่าแตรสังข์เมื่อใด มะลาอิกะฮฺอิสรอฟีลก็จะทำการเป่าแตรสังข์ครั้งแรกทันที การเป่าแตรสังข์ครั้งแรกก็เพื่อให้ทุกๆชีวิตดับสิ้นลง ใครที่ยังไม่เสียชีวิตในขณะนั้น ก็จะเสียชีวิตกันหมด ยกเว้นผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เท่านั้นที่จะยังมีชีวิตอยู่ ทุกๆสรรพสิ่งดับสิ้น ทั้งโลกทั้งจักรวาลพังพินาศหมด
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัซซุมัร อายะฮฺที่ 68 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
وَنُفِخَ فِي الصُّورِ فَصَعِقَ مَن فِي السَّمَاوَاتِ وَمَن فِي الْأَرْضِ إِلَّا مَن شَاءَ اللَّهُ ۖ
“และเมื่อแตรสังข์ได้ถูกเป่าขึ้น(เป็นครั้งแรก) บรรดาผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินจะตายสิ้น เว้นแต่ผู้ที่อัลลอฮฺประสงค์”
หลังจากนั้น จะมีการเป่าแตรสังข์ครั้งที่สอง
ثُمَّ نُفِخَ فِيهِ أُخْرَىٰ فَإِذَا هُمْ قِيَامٌ يَنظُرُونَ
“แล้วแตรสังข์ได้ถูกเป่าขึ้นอีกครั้งหนึ่ง (เป็นครั้งที่สอง) (เมื่อแตรสังข์ครั้งที่สองถูกเป่า)แล้ว พวกเขาก็จะลุกขึ้น(ฟื้นคืนชีพขึ้น) ยืนมองดู (เพื่อรอคอยกระบวนการต่อไป)”
การเป่าแตรสังข์ครั้งแรกก็เพื่อให้ทุกๆชีวิตสิ้นชีวิตลง เว้นแต่ผู้ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงประสงค์เท่านั้น โลกดุนยาทั้งหมดดับสิ้น พังพินาศ แล้วจึงจะมีการเป่าแตรสังข์อีกเป็นครั้งสอง เพื่อให้ทุกๆชีวิตฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งระยะห่างระหว่างการเป่าแตรสังข์ครั้งแรกกับครั้งที่สองนั้นห่างกันสี่สิบ
อัลหะดีษ ในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์กับอิมามมุสลิม รายงานจากท่านอบูหุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
«مَا بَيْنَ النَّفْخَتَيْنِ أَرْبَعُونَ» قَالُوا : يَا أَبَا هُرَيْرَةَ أَرْبَعُونَ يَوْمًا ؟ قَالَ : أَبَيْتُ ، قَالُوا : أَرْبَعُونَ شَهْرًا ؟ قَالَ : أَبَيْتُ ، قَالُوا : أَرْبَعُونَ سَنَةً ؟ قَالَ : أَبَيْتُ. (متفق عليه
“ ระยะเวลาระหว่างการเป่าแตรสังข์ครั้งแรกกับครั้งที่สองนั้นห่างกันสี่สิบ แต่จะเป็นสี่สิบอะไร เราไม่ทราบ เพราะท่านอบูหุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ นักรายงานหะดีษคนสำคัญได้รายงานว่า..
ท่านนบีกล่าวว่า ระยะเวลาระหว่างการเป่าแตรสังข์ครั้งแรกกับครั้งที่สองนั้นห่างกันสี่สิบ
บรรดาเศาะฮาบะฮฺถามว่า สี่สิบวันใช่ไหม ?
ท่านอบูหุรอยเราะฮฺตอบว่า ฉันปฏิเสธที่จะยืนยัน
บรรดาเศาะฮาบะฮฺถามว่า สี่สิบเดือนใช่ไหม ?
ท่านอบูหุรอยเราะฮฺตอบว่า ฉันปฏิเสธที่จะยืนยัน
บรรดาเศาะฮาบะฮฺถามอีกว่า สี่สิบปีใช่ไหม ?
ท่านอบูหุรอยเราะฮฺตอบว่า ฉันปฏิเสธที่จะยืนยัน
ก็คือ...ท่านก็ไม่กล้ายืนยันเหมือนกันว่าสี่สิบอะไร ..เราก็พูดไปตามที่หะดีษบอก...หลังจากนั้นท่านนบียังได้กล่าวอีกว่า
ثُمَّ يُنْزِلُ اللَّهُ مِنَ السَّمَاءِ مَاءً فَيَنْبُتُونَ، كَمَا يَنْبُتُ الْبَقْلُ» قَالَ : «وَلَيْسَ مِنَ الإِنْسَانِ شَيْءٌ إِلاَّ يَبْلَى، إِلاَّ عَظْمًا وَاحِدًا، وَهُوَ عَجْبُ الذَّنَبِ، وَمِنْهُ يُرَكَّبُ الْخَلْقُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ» (متفق عليه
“ช่วงเวลา(หลังจากการเป่าแตรสังข์ครั้งแรก) ก่อนที่มะลาอิกะฮฺอิสรอฟีล จะเป่าแตรครั้งที่สองนั้น อัลลอฮฺจะทรงให้มีน้ำลงมาจากฟากฟ้า (ก็คือให้ฝนตกลงมา )
แล้วมนุษย์ก็จะงอกออกมา เหมือนผักที่งอกงามขึ้นมาจากเมล็ดผัก(เมื่อเวลาที่มันได้รับน้ำ ได้รับฝน) ไม่มีส่วนใดของมนุษย์ นอกเสียจากจะผุกร่อน เน่าเปื่อยไปหมด
นอกจากกระดูกชิ้นเดียว นั่นคือ กระดูกก้นกบ แล้วจากกระดูกก้นกบนั้น ร่างกายจะถูกให้มีขึ้นใหม่ในวันกิยามะฮฺ”
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามมุสลิม อิมามอบูดาวูด รายงานจากท่านอบูหูรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
«كُلُّ ابْنِ آدَمَ يَأْكُلُهُ التُّرَابُ إِلَّا عَجْبَ الذَّنَبِ مِنْهُ خُلِقَ وَفِيهِ يُرَكَّبُ»
“ลูกหลานของอาดัมทุกคน ดินจะกินร่างของเขา นอกจากกระดูกก้นกบ
และจากกระดูกก้นกบนี้ เขาจะถูกกำเนิดขึ้น และจากกระดูกนี้ที่จะถูกทำให้มีขึ้นมา”
คำอธิบายหะดีษนี้บอกว่า “ดินจะกินร่างลูกหลานของอาดัมทุกคน” ...หมายถึงมนุษย์ส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะจะมีมนุษย์จำนวนหนึ่ง เช่น บรรดานบี หรือบรรดานักรบชะฮีด ที่ดินจะไม่กินร่างของพวกเขา หมายถึง ร่างกายของพวกเขาจะไม่เน่าเปิ่อย ไม่ย่อยสลาย
จากทั้งสองหะดีษข้างต้น หมายความว่า ร่างกายของเราทุกคนจะเน่าเปื่อย กระดูกก็ผุกร่อนไปหมด ยกเว้น กระดูกก้นกบ ที่เรียกว่า อัจญ์บุซ ซะนับ عَجْبُ الذَّنَبِ เป็นกระดูกที่อยู่ปลายสุดของกระดูกสันหลัง ซึ่งมันจะไม่สึกกร่อน ไม่เน่าเปื่อย และจากกระดูกก้นกบนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็จะทรงทำให้มนุษย์งอกออกมาจากกระดูกนี้ เหมือนกับเมล็ดผักที่พอมันได้รับน้ำ ได้รับฝน มันก็จะค่อยๆงอกงามออกมาเป็นต้น มนุษย์ก็จะงอกออกมาแบบนั้น เป็นเรือนร่างที่เกิดขึ้นมาใหม่ที่จะไม่มีวันตายอีกแล้ว เปลือยเปล่า ไม่ขลิบปลายอวัยวะเพศชาย ไม่สวมรองเท้า ไม่สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ นี่คือช่วงเวลาก่อนที่มะลาอิกะฮฺอิสรอฟีล อะลัยฮิสสลาม จะเป่าแตรสังข์ครั้งที่สอง
ครั้นเมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมีคำสั่งให้มะลาอิกะฮฺอิสรอฟีลเป่าแตรครั้งที่สอง มนุษย์ทุกคนที่เคยเกิดมาบนโลกดุนยานี้จะฟื้นคืนชีพขึ้นมา ตามสภาพเดิมที่เขาได้สิ้นชีวิตลง ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับอะมัล การงานต่างๆทุกอย่างทั้งที่ดีและไม่ดีที่เขาได้ทำไว้ตอนอยู่บนโลกดุนยา
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺยาซีน อายะฮฺที่ 51 – 52 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า :
«وَنُفِخَ فِي الصُّورِ فَإِذَا هُمْ مِنَ الأجْدَاثِ إِلَى رَبِّهِمْ يَنْسِلُونَ، قَالُوا يَا وَيْلَنَا مَنْ بَعَثَنَا مِنْ مَرْقَدِنَا هَذَا مَا وَعَدَ الرَّحْمَنُ وَصَدَقَ الْمُرْسَلُونَ»
“และเมื่อแตรสังข์ถูกเป่าขึ้น ทันใดนั้นพวกเขาจะออกจากหลุมฝังศพ แล้วพวกเขาก็รีบรุดไปยังพระเจ้าของพวกเขา
พวกเขากล่าวว่า โอ้ความหายนะได้ประสบแก่เรา ใครเล่าที่ให้เราฟื้นขึ้นจากที่นอนของเรา(ก็คือทำให้เราฟื้นขึ้นจากหลุมฝังศพ)
จะมีเสียงกล่าวขึ้นว่า นี่แหละคือสิ่งที่พระผู้ทรงกรุณาปรานีได้ทรงสัญญาไว้ และสิ่งที่บรรดาศาสนทูตได้กล่าวไว้นั้นเป็นเรื่องจริง”
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ นี่ก็คืออีกอายะฮฺหนึ่งที่ยืนยันถึงการฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ในวันกิยามะฮฺ และสิ่งที่ได้พูดมาทั้งหมด ก็เป็นความรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในช่วงเวลาที่โลกดุนยาจะดับสิ้นลง และวันกิยามะฮฺจะได้เริ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักอีมาน หรือหลักการศรัทธาต่อโลกอาคิเราะฮฺ เป็นเรื่องของสิ่งเร้นลับที่เราต้องเชื่อต้องศรัทธาในความมีอยู่จริงของมัน ถึงแม้ว่าเราจะมองไม่เห็นก็ตาม
แต่ที่เราทราบก็เพราะอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกไว้ในอัลกุรอาน เป็นเรื่องที่พระองค์ทรงสำทับเราอยู่ตลอดเวลา และท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะซัลลัมก็ได้นำมาตักเตือนเราอยู่เสมอ เพื่อให้เราได้ตระหนักถึงสิ่งที่เราจะต้องประสบหลังจากที่เราได้เสียชีวิตไปแล้ว ...เพื่อให้เราทราบถึงผลที่จะเกิดขึ้นจากการประพฤติ การปฏิบัติตัวของเราบนโลกดุนยานี้ ...เพื่อเราจะได้เตรียมตัวให้พร้อมเสียตั้งแต่ในดุนยานี้
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลหัชรฺ อายะฮฺที่ 18 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا اتَّقُوا اللَّهَ وَلْتَنظُرْ نَفْسٌ مَّا قَدَّمَتْ لِغَدٍ ۖ وَاتَّقُوا اللَّهَ ۚ إِنَّ اللَّهَ خَبِيرٌ بِمَا تَعْمَلُونَ
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และทุกชีวิตจงพิจารณาดูว่า อะไรบ้างที่ตนได้เตรียมไว้สำหรับพรุ่งนี้ (คือวันกิยามะฮฺ) และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ”
อายะฮฺนี้ เน้นย้ำให้เรามีอัตตักวา หรือมีความยำเกรงถึง 2 ครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอัตตักวา ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงต้องการให้เราได้ตระหนัก และในขณะเดียวกันก็ให้เราได้พิจารณาตัวเองว่า ในแต่ละวันนั้น เรามีอัตตักวาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มากน้อยแค่ไหน ปฏิบัติตามคำสั่งใช้มากแค่ไหน ออกห่างจากคำสั่งห้ามมากแค่ไหน ...เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้ คือเสบียงไว้สำหรับวันกิยามะฮฺ และแน่นอนพระองค์ทรงรู้ในสิ่งที่เราได้ประพฤติ ปฏิบัติ รู้ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเรา รู้ถึงสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเรา รู้เป็นอย่างดี
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลายครับ สำหรับในครั้งต่อไป คงจะได้มาพูดกันต่อในเรื่องของการฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺ อินชาอัลลอฮฺ
สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโปรดให้เราเป็นผู้หนึ่งที่ดำรงรักษาอัตตักวาอย่างแข็งขัน ขอพระองค์ทรงคุ้มครองเราให้พ้นจากการทรมานในกุบูร รอดพ้นจากการถูกลงโทษในไฟนรก และพ้นจากการทดสอบของชีวิตและความตาย และให้พ้นจากความชั่วร้ายที่เป็นบททดสอบของดัจญาล อามีน
“อัลลอฮฺ คือพระเจ้าซึ่งไม่มีผู้ใดที่ควรต้องได้รับการเคารพอิบาดะฮฺโดยเที่ยงแท้ นอกจากพระองค์เท่านั้น
แน่นอน พระองค์จะทรงรวบรวมพวกเจ้าสู่วันกิยามะฮฺ ซึ่งไม่มีการสงสัยใดๆในวันนั้น”
( อัลกุรอานซูเราะฮฺอันนิซาอ์ อายะฮฺที่ 87 )
คุฏบะฮฺวันศุกร์ มัสยิดดารุลอิหฺซาน บางอ้อ