การแสดงจุดยืนของมุสลิมต่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
คอเฏ็บ อับดุลสลาม เพชรทองคำ
หลักอะกีดะฮฺหนึ่งของอัลอิสลาม อัลวะลาอ์ วัลบะรออ์ ( الولاء والبراء ) ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลมุมตะฮินะฮฺ อายะฮฺที่ 1 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا لَا تَتَّخِذُوا عَدُوِّي وَعَدُوَّكُمْ أَوْلِيَاءَ تُلْقُونَ إِلَيْهِم بِالْمَوَدَّةِ وَقَدْ كَفَرُوا بِمَا جَاءَكُم مِّنَ الْحَقِّ يُخْرِجُونَ الرَّسُولَ وَإِيَّاكُمْ ۙ أَن تُؤْمِنُوا بِاللَّهِ رَبِّكُمْ إِن كُنتُمْ خَرَجْتُمْ جِهَادًا فِي سَبِيلِي وَابْتِغَاءَ مَرْضَاتِي ۚ تُسِرُّونَ إِلَيْهِم بِالْمَوَدَّةِ وَأَنَا أَعْلَمُ بِمَا أَخْفَيْتُمْ وَمَا أَعْلَنتُمْ ۚ وَمَن يَفْعَلْهُ مِنكُمْ فَقَدْ ضَلَّ سَوَاءَ السَّبِيلِ
“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย (ที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ เชื่อฟังเราะซูลของพระองค์ และปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์)
พวกเจ้าอย่าได้เอาศัตรูของข้าและศัตรูของพวกเจ้ามาเป็นมิตรสนิทชิดใกล้
โดย(ที่พวกเจ้าได้)ให้ความรักใคร่สนิทสนม(บางครั้งก็เปิดเผยข้อมูลความลับต่างๆ)แก่พวกเขา
ทั้งๆที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่อสิ่งที่มีมายังพวกเจ้า(นั่นคือพวกเขาปฏิเสธสัจธรรม ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ปฏิเสธเราะซูลของพระองค์ และปฏิเสธอัลกุรอาน)
พวกเขาขับไล่เราะซูลและโดยเฉพาะพวกเจ้า(ให้ออกจากมักกะฮฺ) อันเนื่องมาจากการที่พวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺ พระเจ้าของพวกเจ้า
ซึ่งหากพวกเจ้าได้เคยอพยพออกมา แล้วต่อสู้ในหนทางของข้า เพื่อแสวงหาความโปรดปรานของข้าแล้ว
(ดังนั้น พวกเจ้าอย่าได้เอาศัตรูของข้าและศัตรูของพวกเจ้า) เป็นมิตรสนิทชิดใกล้ โดยการมอบความรักแก่พวกเขาอย่างลับๆ
เพราะข้ารู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้าปิดบังไว้และสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผย หากผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากระทำเช่นนั้น
นั่นแสดงว่าเขาได้หลงออกจากสัจธรรมความถูกต้อง และหลงออกจากทางอันเที่ยงตรง”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมีคำสั่งห้ามมุสลิมเอาศัตรูของพระองค์ และศัตรูของบรรดาผู้ศรัทธามาเป็นมิตรสนิทชิดใกล้ คำว่า
” عَدُوِّي وَعَدُوَّكُمْ ศัตรูของข้าและศัตรูของพวกเจ้า”
มีความหมายถึง บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ปฏิเสธศรัทธาต่อท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมและแบบอย่างที่มาจากท่านนบี ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลกุรอาน แม้แค่เพียงอายะฮฺเดียวในอัลกุรอานก็ปฏิเสธไม่ได้ การศรัทธาต่ออัลกุรอานต้องศรัทธาต่ออัลกุรอานในทุกๆซูเราะฮฺ ทุกๆอายะฮฺ ทุกๆตัวอักษร จะเลือกศรัทธาเพียงบางส่วนแล้วละทิ้งบางส่วนไม่ได้ จะมาบอกว่า อายะฮฺนี้ไม่ทันสมัยแล้ว หรืออัลหะดีษบทนี้ไม่เหมาะกับสถานการณ์แล้ว อย่างนี้ไม่ได้ การมีความคิดความเชื่อหรือการกระทำในลักษณะอย่างนี้หรือทำนองนี้ถือเป็นศัตรูของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และถือเป็นศัตรูของบรรดาผู้ศรัทธา การเป็นศัตรูในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ให้เราต้องไปทะเลาะกับพวกเขา ไม่ได้หมายความว่าให้ไปขัดแย้ง ให้ไปทำร้ายพวกเขา
แท้จริงแล้ว อายะฮฺของอัลกุรอานในลักษณะนี้ ในทำนองนี้ไม่ได้มีเพียงอายะฮฺนี้อายะฮฺเดียว แต่ยังมีปรากฏอีกในหลายๆอายะฮฺ และยังปรากฏอยู่ในอัลหะดีษเศาะเฮี๊ยะหฺอีกหลายๆบทด้วย ซึ่งบรรดาอุละมาอ์ได้รวบรวมให้เรื่องนี้อยู่ในเรื่องของหลักที่เรียกว่า “หลักอัลวะลาอ์ วัลบะรออ์ (الولاء والبراء)” ซึ่งมาจากคำสองคำคือคำว่า “อัลวะลาอ์”กับคำว่า “อัลบะรออ์”
“อัลวะลาอ์” คือการที่เราต้องมอบความรักของเราแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มอบแด่เราะซูลของพระองค์ก็คือท่านนบีของเรา มอบแด่บรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านนบี แล้วก็มอบแด่มุสลิมมุอ์มิน ตลอดจนบรรดาผู้ศรัทธาที่มีหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง ซึ่งก็คือหลักอะกีดะฮฺเช่นเดียวกับหลักอะกีดะฮฺของท่านนบีและบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านนบี พร้อมทั้งให้การสนับสนุน ให้การช่วยเหลือบุคคลเหล่านั้นตามกำลังความสามารถของเรา
ส่วน”อัลบะรออ์” คือการที่เราต้องแสดงความไม่ชอบ แสดงความเกลียดต่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ต่อบรรดาผู้ที่มีหลักอะกีดะฮฺที่ไม่ถูกต้อง ต่อผู้ที่ปฏิบัติสวนทางกับแนวทางการปฏิบัติของท่านนบี ต้องแสดงความไม่เห็นด้วยในพิธีกรรมของพวกเขา โดยการไม่ไปร่วม ไม่ไปคลุกคลีกับบรรดามุชริกีน บรรดามุนาฟิกีน บรรดามุบตะดิอีนหรือผู้ที่ทำบิดอะฮฺในเรื่องต่างๆ รวมถึงบรรดาผู้ที่บิดเบือนหลักการศาสนาด้วย
ความหมายโดยสรุปของหลักการนี้ก็คือ เรื่องของการรักกัน เป็นมิตรต่อกันเพื่ออัลลอฮฺ และเกลียดกัน ไม่รักกันเพื่ออัลลอฮฺ
หลักของ”อัลวะลาอ์ วัลบะรออ์” นี้เป็นเรื่องของหลักอะกีดะฮฺ ถือเป็นรุกุ่นหนึ่งจากรุกุ่นต่างๆของหลักอะกีดะฮฺ บรรดาอุละมาอ์บอกว่า เรื่องของ”อัลวะลาอ์ วัลบะรออ์” เป็นรุก่นหนึ่งที่จะทำให้อะกีดะฮฺของเราครบถ้วนสมบูรณ์ ทำให้กะลิมะฮฺ ชะฮาดะฮฺของเราที่เรากล่าวอยู่ทุกวันนั้น ได้บรรลุถึงเป้าหมายที่แท้จริง นั่นคือทำให้เรายึดมั่น เชื่อมั่นในการเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา โดยไม่ยอมให้มีชิริกใดๆทั้งสิ้นต่อพระองค์ พร้อมกันนั้นก็ยอมรับ ยอมปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมอย่างไม่มีเงื่อนไข และไม่ยอมให้มีบิดอะฮฺใดๆในความเชื่อและการประพฤติปฏิบัติตัวของเราด้วย
หลักของ”อัลวะลาอ์ วัลบะรออ์” นี้ ยังเป็นเรื่องของการแสดงจุดยืนของมุสลิมเราที่มีต่อมะอฺศิยะฮฺต่างๆ หรือทุกๆสิ่งที่อัลอิสลามถือว่าเป็นความผิด โดยเฉพาะความผิดที่เป็นกุฟุร และทุกสิ่งที่นำไปสู่กุฟุรฺ คือนำไปสู่การปฏิเสธศรัทธา รวมไปถึงเป็นการแสดงจุดยืนในเรื่องของความรักและความเกลียดของมุสลิมที่มีต่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วย ว่าเราจะมีจุดยืนอย่างไร ? เรามีจุดยืนที่จะเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และเราะซูลของพระองค์ หรือเรามีจุดยืนที่จะปฏิบัติตามความคิดของเราเอง หรือปฏิบัติตามอารมณ์นัฟซูของเราเอง
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอบูดาวูด รายงานจากท่านอบีอุมามะฮ เล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
" " مَنْ أَحَبَّ فِي اللَّهِ وَأَبْغَضَ فِي اللَّهِ وَأَعْطَى لِلَّهِ وَمَنَعَ لِلَّهِ فَقَدِ اسْتَكْمَلَ الإِيمَانَ.
"ผู้ใดที่รักเพื่ออัลลอฮ และเกลียดเพื่ออัลลอฮ ให้เพื่ออัลลอฮ และหักห้ามเพื่ออัลลอฮ
แน่นอนเขาได้ทำให้การศรัทธา(ของเขา)สมบูรณ์แล้ว"
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมสั่งสอน แนะนำประชาชาติของท่านว่า การมีอีมาน การมีศรัทธาของมุสลิมเราจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อ เวลาที่เราอยากจะรักใครหรือรักอะไร เราต้องรักในสิ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งให้รัก เป็นการรักเพื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และต้องเกลียดในสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งให้เกลียด ต้องไม่ชอบในสิ่งที่พระองค์ทรงไม่ชอบ ดังนั้น อัลอิสลามจึงมีทั้งเรื่องที่ส่งเสริม สนับสนุนให้มีความรัก ในขณะเดียวกันก็มีเรื่องที่สั่งให้เกลียด เช่น ต้องเกลียดที่จะทำกุฟุรฺ เกลียดที่จะเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา เพราะการเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา มันคือหนทางที่จะนำเราไปสู่การถูกลงโทษอย่างสาหัสสากรรจ์ตลอดไปในโลกอาคิเราะฮฺ
เมื่อเราถูกสั่งใช้ให้เกลียดการเป็นกุฟุร เกลียดการเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา เราก็ต้องหลีกให้ห่างไกลจากทุกๆสาเหตุที่จะโน้มนำเราให้กลายเป็นผู้ปฏิเสธ และหนึ่งในสาเหตุหลักที่สำคัญที่อาจนำเราไปสู่การปฏิเสธศรัทธาก็คือ การที่เราไปใกล้ชิด ไปสนิทสนม ไปผูกสมัครรักใคร่กลมเกลียวกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
ยกตัวอย่างใกล้ๆตัว เช่น เรามีลูกมีหลาน เรารู้สึกชอบไหมที่จะให้ลูกของเรา หลานของเรา ไปสนิทสนมคลุกคลี ไปกินไปนอนไปเล่น ไปไหนมาไหนด้วยกันกับคนที่ปฏิเสธศรัทธา แน่นอน เราก็ไม่ชอบเพราะเราก็กลัวว่าลูกหลานของเราจะออกจากแนวทางของอัลอิสลาม เราก็มีความห่วงใย
ด้วยเหตุนี้เอง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงทรงมีคำสั่งให้บรรดาผู้ศรัทธา ไม่ให้เอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธามาเป็นมิตรสนิทชิดใกล้ มาเป็นที่ไว้วางใจ บอกความลับต่างๆแก่พวกเขา เพราะพวกเขาเป็นศัตรูของพระองค์ เป็นศัตรูในแง่ที่ว่า พวกเขาไม่ยอมรับอัลอิสลาม ไม่ยอมศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ถ้าหากเราไปใกล้ชิดกับพวกเขา เราก็อาจจะหลงคล้อยตาม เราอาจจะหลุดออกจากแนวทางที่ถูกต้องได้ เพราะอีมานมีขึ้นๆลงๆ และมีแนวโน้มที่จะลดลง มีแนวโน้มที่นำไปสู่ความไม่ดี อันเนื่องมาจากนัฟซูของเราเอง รวมถึงมีการล่อลวงของชัยฏอนด้วย โอกาสที่เราจะพลาดพลั้งไปมันก็ง่าย ดังนั้น การไม่เอาผู้ปฏิเสธศรัทธามาเป็นมิตรสนิทชิดใกล้ มันก็คือการตัดไฟแต่ต้นลมนั่นเอง
ครั้นเมื่อเวลาที่พูดถึงความรัก ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอบอกว่าเราต้องเกลียด ต้องไม่ชอบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา อย่าเอาพวกเขามาเป็นมิตรชิดใกล้ อย่าเอามาเป็นที่ไว้วางใจ ก็จะรู้สึกว่ามันขัดกับความรู้สึกของเรา อันนี้เป็นความรู้สึกในด้านดี เพราะเราก็กลัวว่ามันจะนำไปสู่ความขัดแย้ง ทำให้ต้องไปทะเลาะกับคนต่างศาสนิก กลัวว่าจะนำไปสู่การสร้างความรุนแรงในสังคม แต่หิกมะฮฺของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นั้นทรงยิ่งใหญ่
ความจริงหลักการศาสนาของพระองค์ในทุกๆเรื่อง คือหลักการที่จะนำตัวเรา นำสังคมของเรา นำประชากรในโลกทั้งหมดไปสู่ความสุข ความสงบ ความศานติ และได้รับแต่ความดีงาม ดังนั้นในเมื่อหลักของอัลวะลาอ์ วัลบะรออ์เ ป็นหลักอะกีดะฮฺ เป็นหลักการของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เราก็ต้องยอมรับ จะปฏิเสธไม่ได้ แต่ให้คิดว่าเป็นตัวของเราเอง เป็นตัวของมนุษย์เองที่ไม่เข้าใจ ไม่สามารถจะเข้าถึงหิกมะฮฺเหล่านั้นได้
ความจริงแล้ว ในหลักการศาสนาที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสั่งใช้นั้น จะเห็นว่ามีข้อยกเว้น ข้อผ่อนผันอยู่เสมอ หลักของอัลวะลาอ์ วัลบะรออ์ก็เช่นกัน มันก็มีข้อยกเว้น มีข้อผ่อนผัน ซึ่งหลักของอัลวะลาอ์ วัลบะรออ์เป็นหลักการที่ส่วนหนึ่งวางอยู่บนพื้นฐานว่า จะไม่เอาผู้ปฏิเสธมาเป็นมิตรสนิทชิดใกล้ ให้เราเกลียดพวกเขา “เกลียด”ในที่นี้หมายถึง เกลียดที่พวกเขาปฏิเสธอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เกลียดที่เขาไม่ยอมรับนับถืออัลอิสลาม ซึ่งเป็นความถูกต้องดีงาม
การเกลียดในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ให้เราไปทำร้ายพวกเขา ไปอธรรมต่อพวกเขา ไปทำรุนแรงต่อพวกเขา แต่การเกลียดในที่นี้หมายถึงว่า ให้เราอยู่ห่างๆ อยู่ไกลๆ ไม่ไปข้องแวะ ไม่ไปเกี่ยวข้อง ก็เหมือนเวลาที่เราเกลียดอะไร ก็ไม่อยากเข้าใกล้สิ่งนั้น เช่น เกลียดคนเล่นการพนัน เราก็ไม่อยากเข้าใกล้คนเล่นการพนัน ไม่อยากไปยุ่งด้วย ไม่อยากไปเกี่ยวข้องด้วยในทุกๆเรื่องที่เกี่ยวกับการพนัน มันต้องมีความเกลียดขึ้นมาในหัวใจก่อน เพราะถ้าเราไม่เกลียดการพนัน เราก็จะรู้สึกเฉยๆ ใครจะเล่นการพนันหรือไม่เล่น ก็ไม่รู้สึกอะไร ปล่อยๆไป แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไปคลุกคลี ไปใกล้ชิดบ่อยๆ ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเกลียดการพนัน คิดหรือว่าเราจะรอดจากการไม่เล่นการพนัน นี่แหละครับ ความหมายที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งให้บรรดาผู้ศรัทธามีความเกลียด แต่เกลียดในบางเรื่อง ในบางสถานการณ์เท่านั้น
เรามาดูการปฏิบัติของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ท่านนบี สอนเราให้รักกันเพื่ออัลลอฮฺ เกลียดกันเพื่ออัลลอฮฺ ทั้งๆที่ท่านนบี ยึดมั่นในหลักการนี้ แต่ท่านนบี ก็อยู่ร่วมในสังคมกับผู้ปฏิเสธศรัทธา ท่านนบี ไม่เคยไปทำร้ายใคร ไม่เคยไปทำรุนแรงกับใคร ท่านนบี ยังมีการติดต่อ ทำการค้าขาย ทำธุระกับพวกยิว พวกคริสต์ กับคนต่างศาสนา
วิธีการของท่านนบีในการติดต่อสื่อสารกับบรรดาคนต่างศาสนาก็คือจรรยามารยาทอันดีงาม ท่านนบีจะยุติธรรม ไม่คดโกง ไม่อธรรมกับพวกเขา แต่ท่านนบีก็ไม่ได้เอาพวกเขามาเป็นมิตรชิดใกล้ ท่านนบี ไม่ได้มีเพื่อนเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา บรรดาเศาะฮาบะฮฺก็ไม่ได้มีเพื่อนเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา จะเห็นได้ว่าท่าทีของท่านนบีและบรรดาเศาะฮาบะฮฺก็คือท่าทีที่ว่า เราสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับคนต่างศาสนาได้ในระดับหนึ่ง
เมื่อเราอยู่ในประเทศไทย เราอยู่ร่วมกับคนต่างศาสนามากมาย ลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะมีลักษณะที่ติดต่อกันแบบพื้นๆ แต่ละฝ่ายทั้งมุสลิมและคนต่างศาสนาจะได้รับประโยชน์แลกเปลี่ยนกัน มีลักษณะเป็นการแลกเปลี่ยนกัน จะพบกันชั่วครู่ชั่วยาม พบกันเป็นครั้งคราว ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานกันก็เช้าไปเย็นกลับ ในลักษณะนี้ เสร็จธุระแล้วก็จากกันไป ไม่ได้ไปกินไปนอน ไม่ได้ไปคลุกคลีตีโมงกับพวกเขา
แบบอย่างของท่านนบีก็คือ เราสามารถพูดคุยกับพวกเขาได้ ติดต่อทำธุระกับพวกเขาได้ ค้าขายกับพวกเขาได้ แล้วก็ต้องทำในลักษณะที่ดีงาม มีความยุติธรรม ไม่อธรรม ไม่ไปละเมิดทั้งต่อตัวของพวกเขา ต่อทรัพย์สมบัติของพวกเขา และต่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของพวกเขาด้วย นี่คือแบบฉบับที่มาจากท่านนบี และก็มีคำสั่งปรากฎเป็นหลักฐานอยู่ในอัลกุรอานด้วยเช่นกัน
เมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมีคำสั่งห้ามมุสลิมเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธามาเป็นมิตรสนิทชิดใกล้แล้ว มุสลิมจะเอาใครที่ไหนมาเป็นมิตรชิดใกล้ เรามาพิจารณาอัลกุรอานในซูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 55 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
إِنَّمَا وَلِيُّكُمُ اللَّهُ وَرَسُولُهُ وَالَّذِينَ آمَنُوا الَّذِينَ يُقِيمُونَ الصَّلَاةَ وَيُؤْتُونَ الزَّكَاةَ وَهُمْ رَاكِعُونَ
“แท้จริง มิตรสนิทชิดใกล้ของพวกเจ้านั้นได้แก่อัลลอฮฺ และเราะซูลของพระองค์
ตลอดจนบรรดาผู้ศรัทธาที่ดำรงการละหมาด จ่ายซะกาต
และเป็นผู้ที่นอบน้อมยอมจำนนต่อหลักการของพระองค์”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงให้การรับรองว่า มิตรสนิทชิดใกล้ที่ดีที่สุดของมุสลิม คือ พระองค์ และเราะซูลของพระองค์ ตลอดจนบรรดาผู้ศรัทธาที่ดำรงมั่นอยู่ในศาสนาของพระองค์นั่นเอง ในเรื่องของหลักอัลวะลาอ์ วัลบะรออ์นั้น มันแสดงถึงจุดยืนของบรรดาผู้ศรัทธาในเรื่องของความรักและความเกลียดที่จะแสดงต่อผู้คนที่อยู่รอบๆตัวเรา ซึ่งในเรื่องของหลักการนี้จะมีระดับของความสัมพันธ์ มีบริบท มีรายละเอียดให้ศึกษา ให้เรียนรู้ ให้ทำความเข้าใจมากมาย
และขอให้เราพึงตระหนักเถิดว่า การที่มุสลิมเรายึดมั่นอยู่ในหลักการศาสนา ยึดมั่นอยู่ในหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง คือหลักอะกีดะฮฺที่มาจากท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮูอะลัยฮฺวะซัลลัม โดยเราต้องเข้าใจหลักการศาสนาเหมือนกับที่บรรดาเศาะฮาบะฮฺเข้าใจ ด้วยหลักการอย่างนี้แหละที่จะไม่นำเราไปสู่ความคิดความเชื่อและการกระทำที่สุดโต่งอย่างเด็ดขาด
การที่สังคมโดยเฉพาะสังคมในโลกมุสลิมเกิดสถานการณ์ที่เป็นความรุนแรง เป็นความวุ่นวาย เกิดเป็นฟิตนะฮฺ นำไปสู่โรคอิสลาโมโฟเบีย อย่างที่มีการเรียกกัน นั่นเป็นเพราะมุสลิมไม่ยึดมั่นในหลักการศาสนาตามความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่เข้าใจหลักการศาสนาอย่างที่บรรดาเศาะฮาบะฮฺเข้าใจ แต่ไปตีความหลักการศาสนาเอาเอง ตีความความหมายอัลกุรอานเอาเอง ตีความอัลหะดีษตามใจตัวเอง มันก็เลยทำให้มุสลิมแตกออกเป็นกลุ่มๆ
เช่น เกิดเป็นกลุ่มเคาะวาริจญ์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชอบตักฟีรมุสลิมเห็นมุสลิมทำบาปใหญ่ก็เหมาว่าตกมุรตัด กลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาหมด ลงไม้ลงมือฆ่าฟันเขาตามอำเภอใจ บรรดาอุละมาอ์บอกว่า กลุ่มไอเอสหรือกลุ่มไอซิสก็มีแนวความคิดมาจากกลุ่มเคาะวาริจญ์ หรืออย่างกลุ่มอิควานฯ ก็ชอบเดินขบวนขับไล่ผู้นำ ทั้งๆที่ท่านนบีห้ามการขับไล่ผู้นำ ถึงแม้ว่าผู้นำคนนั้นจะเป็นคนไม่ดีก็ตาม หะดีษศอเฮี๊ยะหฺในเรื่องนี้ก็มีบอกไว้ เมื่อมีการประท้วง มีการเดินขบวนมันก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดความวุ่นวาย เกิดการบาดเจ็บล้มตาย หรือการที่จะสร้างประชาชาติอิสลามให้เข้มแข็ง โดยวิธีการรวบรวมผู้คนจากทุกๆความเชื่อให้มาอยู่รวมกัน ทำงานร่วมกัน ถ้าหากเขาสร้างได้ เขารวมได้ ประชาชาติของเขาก็จะไม่นำไปสู่การให้เอกภาพแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพราะความเชื่อที่ต่างกันจะนำมาสู่เอกภาพเดียวกันได้อย่างไร ?
ดังนั้น การยึดมั่นในหลักการศาสนาที่ถูกต้อง มีหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้องตามความเข้าใจแบบที่บรรดาเศาะฮาบะฮฺเข้าใจกัน จะไม่นำมุสลิมเราไปสู่ความรุนแรง ไม่นำไปสู่ความวุ่นวาย การที่เราจะหยุดความรุนแรง หยุดความวุ่นวาย หยุดการก่อการร้ายได้ วิธีการก็คือมุสลิมทุกคนต้องหันกลับมาสู่หลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้องตามความเข้าใจแบบเดียวกับที่บรรดาเศาะฮาบะฮฺเข้าใจเท่านั้น อันนี้มาจากคำฟัตวาของบรรดาอุละมาอ์สายอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ
สุดท้ายนี้ ขอให้เราได้หมั่นศึกษาหาความรู้ในเรื่องราวหลักการศาสนาอยู่เสมอ ศึกษาจากแหล่งความรู้ที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ และพยายามติดตามดูทัศนะของบรรดาอุละมาอ์ในสายของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ที่ท่านเหล่านั้นมีต่อเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆของโลก เพราะทัศนะเหล่านั้นมันจะเป็นเสมือนคำชี้แนะ ในการที่เราจะปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง ไม่หลงหรือเบี่ยงเบนออกจากความเข้าใจที่ถูกต้อง