ละกุมดีนุกุม วะลิยะดีน
  จำนวนคนเข้าชม  6712


ละกุมดีนุกุม วะลิยะดีน

คอเฏ็บ อับดุลสลาม เพชรทองคำ

 

          ท่านพี่น้องมุสลิมทั้งหลายครับ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งใช้เราให้มีความยำเกรงต่อพระองค์ เพราะการยำเกรงต่อพระองค์นั้น หากมีอยู่ในหัวใจของเราแล้ว มันก็จะเป็นเสมือนกำแพงที่ขวางกั้นเรา ไม่ให้ทำสิ่งที่เป็นชิริก สิ่งที่เป็นบิดอะฮฺ สิ่งที่เป็นมะอฺศิยะฮฺ สิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และมันก็จะเป็นแรงผลักดันเราให้ปฏิบัติในสิ่งที่เป็นอิบาดะฮฺ สิ่งที่เป็นอะมัลศอและฮฺต่างๆ

 

          ซึ่งผลของการที่เรามีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็คือ การที่เราได้ปกป้องตัวของเราเองให้รอดพ้นจากการถูกทรมานในกุบูร และปกป้องเราจากการถูกลงโทษในไฟนรกในวันกิยามะฮฺ สำหรับในโลกดุนยานี้ เราก็จะได้รับชีวิตที่ดีงาม ส่วนในโลกอาคิเราะฮฺเราก็จะได้รับรางวัลตอบแทนด้วยสวนสวรรค์ และสิ่งพิเศษมากมายที่อยู่ภายในสวนสวรรค์นั้น

 

           ท่านพี่น้องมุสลิมทั้งหลายครับ ประวัติศาสตร์อิสลาม ในช่วงที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมทำการเผยแผ่อัลอิสลามอยู่นั้น ได้รับการต่อต้านเป็นอย่างมากๆจากบรรดามุชริกมักกะฮฺ จวบจนถึงช่วงก่อนที่ท่านนบี  และบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านจะอพยพไปยังมะดีนะฮฺ ได้มีบุคคลระดับหัวหน้าของบรรดามุชริกมักกะฮฺ อาทิเช่น อัลวะลี๊ด อิบนุลมุฆีเราะฮฺ , อัลอ๊าศ อิบนุ วาอิ๊ล , อัสวั๊ด อิบนุล มุฏเฏาะลิบ , อุมัยยะฮฺ อิบนุ เคาะลัฟ พวกเขาได้มาพบท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วได้กล่าวกับท่านนบี  ว่า

 

          “โอ้ มุฮัมมัด ท่านจงมาปฏิบัติตามศาสนาของเรา แล้วเราก็จะปฏิบัติตามศาสนาของท่านบ้าง โดยให้ท่านเคารพสักการะบรรดาสิ่งที่เราเคารพสักการะเป็นเวลาหนึ่งปี แล้วเราก็จะเคารพสักการะสิ่งที่พวกท่านเคารพสักการะเป็นเวลาหนึ่งปี ถ้าหากว่าสิ่งที่ท่านนำมานั้นดี เราก็จะได้มีส่วนร่วมในความดีนั้นด้วย แต่หากสิ่งที่เรานำมานั้นดี ท่านก็จะได้มีส่วนร่วมและได้รับส่วนของท่านไปด้วย”

 

         เรื่องก็คือ บรรดามุชริกมักกะฮ์มาชักชวนท่านนบี  ให้มาปรองดองกัน ให้บรรดามุชริกกับบรรดามุสลิมมารวมตัวกัน จะได้ไม่มีการขัดแย้งกัน ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน 

 ท่านนบี  ได้ตอบว่าฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาให้พ้นจากการทำชิริกต่อพระองค์” 

 

         แล้วอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงได้ประทานซูเราะฮฺอัลกาฟิรูนลงมาแก่ท่านนบี  ท่านนบี  จึงได้เดินไปยังมัสยิดอัลหะรอม ไปยืนท่ามกลางบรรดามุชริกมักกะฮฺ แล้วอ่านซูเราะฮฺนี้ให้พวกเขาฟัง ซึ่งซูเราะฮฺนี้ก็เป็นซูเราะฮฺที่เราได้ยินได้ฟัง ได้อ่านกันอยู่เป็นประจำ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

 

أَعُوْذُ بِاللهِ مِنَ الشَّيْطَانِ الرَّجِيْمِ

قُلْ يَا أَيُّهَا الْكَافِرُونَ ( 1 )

“(มุฮัมมัด )เจ้าจงประกาศออกไปเถิดว่า โอ้ ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย”

لَا أَعْبُدُ مَا تَعْبُدُونَ ( 2 )

“ฉันจะไม่เคารพอิบาดะฮฺสิ่งที่พวกท่านเคารพอิบาดะฮฺ”

وَلَا أَنتُمْ عَابِدُونَ مَا أَعْبُدُ ( 3 )

“พวกท่านไม่ใช่ผู้ที่เคารพอิบาดะฮฺสิ่งที่ฉันเคารพอิบาดะฮฺ”

وَلَا أَنَا عَابِدٌ مَّا عَبَدتُّمْ ( 4 )

“และฉันก็ไม่ใช่ผู้ที่เคารพอิบาดะฮฺสิ่งที่พวกท่านเคารพอิบาดะฮฺ”

وَلَا أَنتُمْ عَابِدُونَ مَا أَعْبُدُ ( 5 )

“และพวกท่านไม่ใช่ผู้ที่เคารพอิบาดะฮฺสิ่งที่ฉันเคารพอิบาดะฮฺ”

لَكُمْ دِينُكُمْ وَلِيَ دِينِ ( 6 )

“สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน”

 

          ท่านพี่น้องมุสลิมทั้งหลายครับ ซูเราะฮฺอัลกาฟิรูนเป็นซูเราะฮฺมักกียะฮฺ เนื้อหาของซูเราะฮฺเป็นการประกาศเตาฮีด ประกาศความเป็นเอกภาพแด่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พร้อมทั้งตัดขาดจากการตั้งภาคี หรือการทำชิริกทุกรูปแบบอย่างเด็ดขาด เป็นซูเราะฮฺที่ตัดขาดความเชื่อมั่นความศรัทธา ตลอดจนอิบาดะฮฺต่างๆของบรรดาผู้ศรัทธาออกจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา

 

         เราจะเห็นว่า เมื่อมีผู้ปฏิเสธศรัทธามาชักชวนท่านนบี  ของเรา บอกท่านนบี  ให้ผลัดกันทำอิบาดะฮฺ ให้ท่านนบีทำตามศาสนา หรือทำตามความเชื่อความศรัทธาของผู้ปฏิเสธศรัทธาหนึ่งปี แล้วผู้ปฏิเสธศรัทธาก็ทำตามความเชื่อมั่นศรัทธาของท่านนบี  หนึ่งปี อย่างนี้ ท่านนบี  ไม่ตอบรับคำเชิญชวน ท่านนบีไม่สมานฉันท์ด้วยในเรื่องของความเชื่อความศรัทธา  ไม่ปรองดองด้วยในเรื่องของการทำอิบาดะฮฺ ท่านนบี  ได้แจ้งแก่บรรดาผู้ปฏิเสธมุชริกมักกะฮฺไปว่า 

 

          “การที่พวกท่านปรารถนาจะให้ฉันอิบาดะฮฺบรรดาสิ่งที่พวกท่านอิบาดะฮฺกันอยู่นั้น ฉันไม่สามารถปฏิบัติตามได้ เพราะมันขัดกับบทบัญญัติศาสนาที่ฉันเชื่อมั่นศรัทธา และขัดกับสิ่งที่ฉันได้มาทำหน้าที่เชิญชวนให้มนุษยชาติเคารพอิบาดะฮฺอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และจะต้องไม่มีการเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือคนหนึ่งคนใดมาเป็นหุ้นส่วน หรือมาเป็นภาคีในการเคารพอิบะดะฮฺร่วมกับพระองค์อย่างเด็ดขาด”

 

ดังนั้น ในเรื่องของอิบาดะฮฺ เรื่องของอะกีดะฮฺของใครของมัน ศาสนาใครศาสนามัน 

 لَكُمْ دِينُكُمْ وَلِيَ دِين      “สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน”

 

          การที่ท่านนบี  บอกว่า ปฏิบัติตามความเชื่อความศรัทธาของพวกมุชริกมักกะฮฺที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่ได้ ก็เพราะพวกมุชริกมักกะฮฺนั้นได้นำเอารูปเจว็ดรูปปั้น หรือนำสิ่งอื่นๆมาเคารพอิบาดะฮฺร่วมกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาด้วย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยอมรับว่าอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างตัวเขา สร้างโลก สร้างจักรวาล ผู้ประทานริสกี ทรงให้มีชีวิต ทรงให้ตาย ยอมรับในเตาฮีดรุบูบียะฮฺ แต่พวกเขากลับไม่ยอมมอบการเคารพอิบาดะฮฺทั้งหมดแด่พระองค์เพียงองค์เดียว กลับไปนำสิ่งอื่นๆมาเคารพร่วมด้วย นำสิ่งอื่นๆมาเป็นสื่อกลางให้มาช่วยเหลือในเรื่องราวต่างๆของพวกเขา นั่นเท่ากับพวกเขาปฏิเสธต่อเตาฮีดอัลอุลูฮียะฮฺ และการปฏิเสธเตาฮีดอัลอุลูฮียะฮฺเพียงอย่างเดียวก็มีผลให้พวกเขากลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว

 

          ท่านพี่น้องมุสลิมทั้งหลายครับ เราจะเห็นว่า เรื่องสำคัญที่สุดที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งใช้ คือ ให้เรามอบการอิบาดะฮฺทั้งหมดแด่พระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น และในขณะเดียวกัน เรื่องใหญ่ที่สุดที่พระองค์ทรงสั่งห้าม คือ ห้ามทำชิริก 

 

     การทำชิริก คือ การที่เราไปนำสิ่งอื่นๆ หรือคนหนึ่งคนใดมาเคารพอิบาดะฮฺ หรือให้สถานะเทียบเท่ากับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

 

          ดังนั้น เรื่องของการทำชิริกจึงถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรง เป็นความผิดอันมหันต์ จะกระทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด เป็นความผิดที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะไม่ทรงให้อภัยโทษให้แก่ผู้ที่ทำ จนกว่าเขาจะทำการเตาบะฮฺ กลับเนื้อกลับตัว และละเลิกจากการทำชิริกเสียก่อน และหากเขาเสียชีวิตในสภาพที่ยังทำชิริก ในวันกิยามะฮฺ เขาก็จะไม่ได้รับการอภัยโทษเลย เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ได้พูดกันเสมอๆ ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอันนิซาอ์ อายะฮที่ 48 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

إِنَّ اللَّهَ لَا يَغْفِرُ أَن يُشْرَكَ بِهِ وَيَغْفِرُ مَا دُونَ ذَٰلِكَ لِمَن يَشَاءُ ۚ

“แท้จริง อัลลอฮฺจะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่ผู้ที่นำสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือคนหนึ่งคนใดมาเป็นภาคีร่วมกับพระองค์

แต่พระองค์จะทรงอภัยโทษให้ในเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากเรื่องนี้ แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์”

 

          นั่นก็หมายความว่า ใครที่ทำชิริก อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่เขา จนกว่าเขาจะเตาบะฮฺตัว และละเลิก ออกห่างจากการทำชิริกนั้นเสียก่อน พระองค์จึงจะทรงอภัยโทษให้ แต่หากเขาเสียชีวิตไปในขณะที่ยังทำชิริกอยู่ เขาจะไม่ได้รับการอภัยโทษเลย และต้องกลายเป็นชาวนรกในวันกิยามะฮฺ ซึ่งต่างกับความผิดอื่นๆที่ไม่ใช่การทำชิริก หากเขาเสียชีวิตลงไปในขณะที่ยังทำความผิดอื่นๆที่ไม่ใช่การทำชิริก อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอาจจะทรงอภัยโทษให้แก่เขา โดยที่เขาไม่ต้องรับโทษก็ได้ หากพระองค์ทรงประสงค์ หรือจะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่เขาก็ได้ หากพระองค์ทรงประสงค์ ซึ่งเขาก็ต้องไปรับโทษตามความผิดนั้นๆที่เขาได้กระทำไว้ ขึ้นอยู่กับความเมตตาที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมีต่อคนๆนั้น

 

          ดังนั้น เรื่องของการทำให้อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงรักเรา ทรงเมตตาเราจึงเป็นเรื่องสำคัญ วิธีการก็คือ ให้เราพยายามศึกษา แสวงหาความรู้ในเรื่องราวบทบัญญัติศาสนาที่ถูกต้อง พร้อมทั้งนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปฏิบัติ ปฏิบัติตามคำสั่งใช้ ออกห่างจากคำสั่งห้ามอย่างจริงจัง และพยายามทำให้สุดกำลังความสามารถของเรา ทำด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ทำเพื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเพียงองค์เดียว พยายามไม่ให้มีชิริกใดๆ พยายามไม่ให้มีภาคีใดๆร่วมกับพระองค์ สิ่งนี้แหละครับคือการนำตัวเราไปสู่ความเมตตาของพระองค์

 

          ท่านพี่น้องมุสลิมทั้งหลายครับ ถ้าเราหันกลับมาดูสภาพสังคมรอบๆตัวเราในสมัยนี้ เราจะเห็นมุชริกเต็มไปหมด เห็นการเคารพรูปปั้นรูปเจว็ด เห็นการบูชาน้ำ บูชาไฟ เห็นสังคมที่เต็มไปด้วยเรื่องของไสยศาสตร์ พ่อหมดหมอผี หมอดู สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือส่วนหนึ่งของการชิริก  

          และอย่างที่บอกไปแล้วว่าคนที่ทำชิริกในสมัยนี้จะแตกต่างจากคนที่ทำชิริกสมัยท่านนบี  เพราะคนที่ทำชิริกในสมัยนี้ จะเห็นว่านอกจากพวกเขาจะปฏิเสธเตาฮีดอัลอุลูฮียะฮฺแล้ว พวกเขาก็ยังต่างไม่เชื่อในการมีอยู่จริงของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ปฏิเสธทั้งเตาฮีดรุบูบียะฮฺและปฏิเสธเตาฮีดอัลอุลูฮียะฮฺด้วย แสดงว่าขณะนี้เราอยู่ในสังคมที่มีความเลวร้ายในเรื่องของความเชื่อความศรัทธามากกว่าสังคมในสมัยมุชริกมักกะฮฺนะครับ มันจึงเป็นเรื่องที่ทำให้เราต้องระมัดระวังตัวเรา เพราะความเชื่อความศรัทธาและการปฏิบัติต่างๆที่มันขัดกับบทบัญญัติศาสนา มันสามารถแทรกซึมเข้ามาสู่ความรู้สึกนึกคิดของเรา แทรกซึมเข้ามาอยู่ในความเชื่อความศรัทธาของเราได้ง่ายๆ โดยที่บางทีเราก็ไม่ทันรู้ตัว

 

          ดังนั้น เราต้องพยายามตัดขาดจากมัน ด้วยการไม่เข้าร่วม หรือไปปฏิบัติกิจกรรมต่างๆที่เป็นเรื่องของความเชื่อความศรัทธาของคนต่างศาสนิก เพราะมันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอิสลาม ซึ่งมันจะนำไปสู่การปฏิเสธศรัทธาซึ่งเป็นเรื่องอันตรายนะครับ

          ในสังคมบ้านเรานี้มีเรื่องอะไรบ้างที่ห้ามเราทำ เมื่อเราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนต่างศาสนิก ห้ามการเข้าร่วมในพิธีกรรมต่างๆที่มีความเชื่อมั่นศรัทธา หรือมีเรื่องของหลักอะกีดะฮฺเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นอะไร บวชนาค บวชพระ สวดอภิธรรม ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า

          อัลหะดีษ ในบันทึกของอิมามอบูดาวูด ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า

مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ فَهُوَ مِنْهُمْ

บุคคลใดประพฤติตนเลียนแบบความเชื่อของกลุ่มหนึ่ง เขาก็เป็นส่วนหนึ่งจากกลุ่มนั้น

 

          แล้วในสถานการณ์ของการเสียชีวิตของคนต่างศาสนิก เช่นในขณะนี้ มุสลิมทำอะไรได้บ้าง เราสามารถแสดงความเสียใจได้ เสียใจต่อการจากไปของคนต่างศาสนิกที่เป็นคนดี ที่ทำคุณงามความดีไว้มากมายจนเป็นที่ประจักษ์ เราสามารถแสดงความรัก แสดงความเสียใจได้ภายในขอบเขตที่บทบัญญัติศาสนากำหนดไว้ คือไม่ตีโพยตีพาย ไม่ฟูมฟาย ไม่มีการตีอกชกหัว ไม่อาลัยอาวรณ์จนเกินเหตุ

          เราสามารถกล่าวอินนาลิลลาฮิ วะอินนาอิรัยฮิรอญิอูนได้เพราะบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทุกคนก็คือบ่าวของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และต้องกลับไปพบกับพระองค์เพื่อพบกับการถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺเช่นกัน แต่เราไม่สามารถขอดุอาอ์ให้อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงอภัยในความผิดบาปของเขาได้ หรือขอให้พระองค์ทรงเมตตาต่อเขาได้ การขอดุอาอ์ให้ในลักษณะอย่างนี้ไม่ได้ แต่ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เราสามารถขอให้อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงฮิดายะฮฺทางนำที่ถูกต้องให้แก่เขาได้ และเรื่องของการถวายพระพรก็ถือเป็นแบบหนึ่งของการขอดุอาอ์ ถ้าเป็นเรื่องที่นอกเหนือจากการขอให้ได้รับฮิดายะฮฺ ก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้เช่นกัน

 

          มีเรื่องอะไรอีก เรื่องของการยืนขึ้นในขณะที่ประธานในพิธีทำพิธีกรรมต่างๆ เช่น ผู้ที่อยู่ในที่ประชุมลุกขึ้นยืนในขณะประธานลุกไปจุดเทียนบูชาต่างๆ การยืนในลักษณะอย่างนี้มุสลิมทำไม่ได้ การยืนสงบนิ่งเพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อผู้ตาย อย่างนี้ท่านนบีไม่เคยทำครับ เศาะฮาบะฮฺก็ไม่เคยทำ บรรดาสละฟุศศอลิหฺก็ไม่เคยทำครับ แต่การยืนในขณะที่ประธานเดินเข้าสู่ที่ประชุม เพื่อเป็นการให้เกียรติ อย่างนี้อนุโลม แต่ถ้าจะให้ดีก็พยายามหลีกเลี่ยงในการเข้าร่วมงานเหล่านี้

 

          เรื่องของการแต่งกายไว้ทุกข์ให้แก่คนตาย ไม่ว่าจะเป็นสีอะไรก็ตาม สีดำ หรือสีขาว หรือบางกลุ่มก็ถือเอาสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์ อย่างนี้มุสลิมทำไม่ได้ เครื่องหมายสัญญลักษณ์ต่างๆที่เป็นเครื่องหมายของการไว้ทุกข์ เช่นการติดริบบิ้นเพื่อแสดงความไว้อาลัย ไว้ทุกข์ อย่างนี้ต้องหลีกเลี่ยง แต่ถ้าใครแต่งอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว เช่น มุสลิมะฮฺที่เขามักใส่สีดำเพื่อหลีกเลี่ยงสีฉูดฉาด อย่างนี้ก็แต่งได้ แต่ต้องระวังเนียตให้ดีๆ อย่าให้เนียตเป็นการไว้ทุกข์ แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็จะดี และเพื่อเป็นการให้เกียรติกับคนต่างศาสนิกต่อการเสียชีวิตของบุคคลอันเป็นที่รัก ก็ให้เราแต่งกายด้วยสีสุภาพ ไม่ฉูดฉาด

 

          ท่านพี่น้องมุสลิมทั้งหลายครับ ทั้งหมดนี่ก็เป็นเรื่องของอิบาดะฮฺ เรื่องของอะกีดะฮฺ ความเชื่อความศรัทธา แต่ในส่วนของด้านมุอามะลาต เรื่องราวของการใช้ชีวิตประจำวันอยู่ร่วมทางสังคมกับคนต่างศาสนิก ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง

          อย่างที่ได้เคยพูดอยู่เสมอว่า ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราจะแบ่งเป็น 2 ด้าน คือด้านของอิบาดะฮฺหรือด้านอะกีดะฮฺ กับด้านของมุอามะลาต ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันบนโลกดุนยานี้ เราสามารถอยู่ร่วมกับคนต่างศาสนิกได้อย่างสันติ กิจกรรมใดๆทางสังคมที่ไม่มีเรื่องที่ขัดกับบทบัญญัติศาสนา ไม่มีข้อห้ามห้ามไว้ เราก็สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ เช่น เมื่อเวลาที่บ้านของคนต่างศาสนิกโดนน้ำท่วม โดนไฟไหม้ กรณีอย่างนี้เราสามารถให้การช่วยเหลือในด้านปัจจัยยังชีพได้ แต่ถ้าเขามาขอเรี่ยรายสร้างวัด สร้างศาลาการเปรียญ สร้างเครื่องหมู่บูชา อย่างนี้เราก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ และเราก็ไม่สามารถนำเงินของคนต่างศาสนิกมาสร้างมัสยิด หรือจะนำมาใช้ในเรื่องของกิจกรรมทางศาสนาก็ไม่ได้เช่นกัน

 

          ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ปฏิบัติแบบอย่างในการอยู่ร่วมสังคมกับผู้ปฏิเสธศรัทธา หรือคนต่างศาสนิกไว้อย่างดีงาม ท่านนบี  ไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยทำรุนแรงกับใคร ถึงแม้ท่านนบี  จะโดนกลั่นแกล้งต่างๆนานา มีคนมาทำร้ายตัวท่าน แต่ท่านนบี  ก็ไม่เคยตอบโต้เลย แต่ถ้าเป็นเรื่องของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา หรือเรื่องของบทบัญญัติศาสนา ท่านนบี  ไม่ยอม ท่านนบี  จะต่อสู้หากมีใครมาล่วงเกินบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวของท่านนบี  มาทำร้ายตัวท่านนบี  อย่างนี้ท่านนบี  ไม่ตอบโต้ ท่านจะอ่อนน้อมเสมอ ท่านจะไม่ข่มเหงใคร ไม่อธรรมต่อใครๆ 

 

          เมื่อเวลาที่ท่านนบี  ทำการติดต่อ หรือทำการค้าขาย หรือทำธุระกับยิว กับคริสต์ หรือกับคนต่างศาสนิก ท่านนบี  ก็จะติดต่อสื่อสารกับพวกเขาด้วยจรรยามารยาทอันดีงามของท่าน ท่านนบี  จะยุติธรรมกับพวกเขา ไม่คดโกงพวกเขา ไม่อธรรมกับพวกเขา ไม่ไปละเมิดต่อพวกเขา ทั้งต่อตัวของพวกเขา ต่อทรัพย์สมบัติของพวกเขา ต่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของพวกเขาด้วย ไม่กล่าวร้าย ไม่ตำหนิพวกเขาทั้งในเรื่องของรูปร่าง ฐานะ เกียรติยศศักดิ์ศรี ไม่ลิดรอนสิทธิของพวกเขา ไม่เอาเปรียบ ไม่หลอกลวงเอาทรัพย์สินของเขามาโดยไม่ชอบธรรม ไม่ทำร้ายร่างกายของพวกเขา ไม่เข่นฆ่าพวกเขา แต่ท่านนบี  ก็ไม่ได้เอาพวกเขามาเป็นมิตรชิดใกล้ ไม่ได้มีเพื่อนสนิทชิดเชื้อเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา บรรดาเศาะฮาบะฮฺ บรรดาตาบิอีน ตาบิอิดตาบิอีนก็ได้ทำตามแบบอย่างของท่านนบี  โดยไม่ได้เอาผู้ปฏิเสธศรัทธามาเป็นมิตรชิดใกล้ ไม่ได้มีเพื่อนสนิทชิดเชื้อเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วยเช่นกันนะครับ

 

          ท่านพี่น้องมุสลิมทั้งหลายครับ เมื่อเราอยู่ในประเทศไทย เราอยู่ร่วมกับคนต่างศาสนิกเยอะแยะไปหมด ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับคนต่างศาสนิกที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาก็คือ การปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านนบี  เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องศึกษาหาความรู้ในรายละเอียดว่าท่านนบี  ปฏิบัติอย่างไร หลักๆหนึ่งที่ท่านนบีใช้ก็คือ เรื่องของ อัลวะลาอ์ วัลบะรออ์ รักกัน ชอบกันเพื่ออัลลอฮฺ ไม่ชอบกัน เกลียดกันเพื่ออัลลอฮฺ ซึ่งหลักของอัลวะลาอ์ วัลบะรออ์ นี้ถือเป็นรุก่นหนึ่งจากรุก่นต่างๆของหลักอะกีดะฮฺ ที่จะทำให้เรามีจุดยืนที่ถูกต้องและมั่นคงต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และในขณะเดียวกันเราก็จะมีความสัมพันธ์อันดีงามต่อบรรดาผู้ปฏิเสธที่เป็นคนต่างศาสนิกอีกด้วย

 

          สุดท้ายนี้ ในสถานการณ์ขณะนี้ มุสลิมต้องมีความหนักแน่นในเรื่องของการมีอะกีดะฮฺ หรือมีหลักการเชื่อมั่นที่มั่นคง ถือเป็นบททดสอบหนึ่งที่เราต้องเผชิญ และต้องพาตัวเองให้รอดพ้นจากการล่วงละเมิดบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ขอให้เราพยายามศึกษาหาความรู้ในเรื่องราวของบทบัญญัติศาสนาที่ถูกต้องอยู่เสมอ พร้อมทั้งนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปฏิบัติ ปฏิบัติตามคำสั่งใช้ ออกห่างจากคำสั่งห้ามอย่างจริงจัง และพยายามทำให้สุดกำลังความสามารถของเรา ทำด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ทำเพื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเพียงองค์เดียว พยายามไม่ให้มีชิริกใดๆ พยายามไม่ให้มีภาคีใดๆร่วมกับพระองค์อย่างเด็ดขาด

 

ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงคุ้มครองเราทุกคนให้เป็นผู้ที่ได้รับความรัก ความเมตตาจากพระองค์ตลอดไป

 

 

คุตบะฮ์ มัสยิดดารุ้ลอิห์ซาน