บันทึกมิสเตอร์ แฮมเฟอร์ สายลับอังกฤษ
แปลเรียบเรียง ชากิล รังสิกุล
อีกฟิตนะห์(ความปั่นป่วน)หนึ่งจากบางสำนักคิดที่ได้ใส่ร้ายแก่ ชัยคฺมุฮัมมัด บิน อับดุลวาฮาบ ได้แก่การที่พยายามเชื่อมโยงท่านกับจักวรรดิ์อังกฤษ ที่พยายามจะเข้ามามีอิทธิพลในคาบสมุทธอารเบีย การสร้างเรื่องเท็จดังกล่าวนั้นสร้างความเข้าใจผิดต่อผู้เลื่อมใสในอิสลามเป็นอันมาก โดยเฉพาะผู้ห่างไกลจากการค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์
การบิดเบือนประวัติศาสตร์กลายเป็นต้นเหตุแห่งความเกลียดชังการ purification ศาสนา (ปฏิรูปศาสนาให้บริสุทธิ์) เพราะแต่เดิมสังคมในยุคนั้นมีการเข้ามาของอิทธิพลแนวคิด Sufism(ซูฟี) ศาสนาท้องถิ่นและ ความเชื่อแบบ Animism ที่มักมีการยึดจารีตและวัฒนธรรมจนเกิดการสร้างสรรค์และเพิ่มเติมพิธีกรรมและเนื้อหาศาสนาออกไปจากเดิมนั่นเอง เป็นผลให้บรรดารัฐ และหัวหน้าเผ่าที่เสียผลประโยชน์ ต่างโยน discourse วาทกรรม วาฮาบี และ อังกฤษ เพื่อให้แนวคิดและขบวนการของ มุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวาฮาบ ถูกมองว่ากลายเป็นการเริ่มต้นของจุดสิ้นสุดของระบบปกครองอิสลาม ยิ่งไปกว่านั้นวาฮาบีกลายเป็นผู้ช่วยเหลืออาณานิคมให้ทำลายอิสลามในความเชื่อของมุสลิมบางกลุ่มซ้ำร้าย ผู้คนต่างมองวาฮาบีและเชื่อแบบฝังหัวว่าเป็น "ลัทธิ" ที่ถูกสร้างมาใหม่ (ซึ่งมีข้อเท็จจริงมากมายที่มาค้านวาทกรรมดังกล่าวจากตำราปราชญ์ยุคคลาสสสิกต่างๆ ที่มีอิมธิพลต่อการปฏิรูปศาสนาในตะวันออกกลาง)
การกุประวัติศาสตร์เรื่องนี้ปรากฎครั้งแรกในบันทึก "Memoirs of Mr. Hempher, The British Spy to the Middle East" เป็นตำราที่เล่าถึงการสร้างความแตกแยกและอ่อนแอในตะวันออกกลางโดยรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งปรากฎในตำรา "มิรอาต อัลฮารอมัยนฺ" ช่วงปี 1888 (1)โดย อัยยุบ ซอบรี ปาชา นักประพันธ์ชาวตุรกี
ในมุมมองของ Professor,Dr. Bernard Haykel(ดร เบอรนารท เอเกล) นักวิชาการของออกฟอร์ด มองว่าตำราดังกล่าวปราศจากที่มาและอ่อนแอในเรื่องแหล่งข้อมูลเพราะเป็นเอกสารต่อต้านวาฮาบีแบบ "forgery(ปลอมแปลง)" ที่ถูกสร้างขึ้นโดย อัยยุบ ซอบรี ปาชา (2) ซึ่งหนังสือ MMH(ชื่อย่อหนังสือข้างต้น) มีความผิดปกติในการอธิบายถึง history timeline (ระยะเวลาทางประวัติศาสตร์) เช่นการอธิบายถึงความสัมพันธ์ของ เกอกอรี รัชปูติน ว่าเป็นบุตรชายของ แฮมเฟอร์ แต่อย่างไรก็ตาม รัชปูตินพึ่งจะเกิดในปี 1869 และมามีชื่อเสียงหลังการเสียชีวิตของ AS, Pasha เอง ในปี 1893 มีการคาดว่าบันทึกเรื่องนี้ถูกพิมพ์ครั้งแรกที่เยอรมันในชื่อ "Der Spiegel" หลังช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และต่อมาถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์นิรนามของฝรั่งเศส ก่อนจะถูกแปลในภาษาอาหรับ โดยนายแพทย์นิรนามชาวเลบานอน (3)
ความขัดแย้งกันทางเงื่อนไขทางเวลาบนประวัติศาสตร์ได้ถูกถ่ายทอดออกมาจากคำอ้างของ แฮมเฟอร์ เอง ว่าตัวเขาได้เดินไปที่บัสเราะห์ในปี 1713(บางแหล่ง 1712) และได้พบชายหนุ่มชื่อ มุฮัมมัด อิบนฺ อับดุลวาฮาบ ผู้ที่พูดได้สามภาษาคือ อาหรับ ตุรกี เปอร์เซีย ซึ่งจุดนี้คือคือความขัดแย้งกับข้อเท็จจริง อันเนื่องมาจากในบันทึกชีวประวัติที่มีน้ำหนัก เชคมุฮัมมัด อิบนฺ อับดุลวาฮาบ ได้เกิดในปี 1703 หรือในบางข้อมูล 1704 ซึ่งหากเป็นไปตามที่แฮมเฟอร์กล่าวจริงๆ นั่นก็หมายความว่าเขาได้พบกับเด็กอายุสิบขวบที่กำลังพูดสามภาษา และมีอุดมการณ์ศาสนาอันแรงกล้า ข้อมูลต่อมาคือ มุฮัมมัด บิน อับดุลวาฮาบ ได้เดินทางออกจากบ้านเกิดครั้งแรกในวัยใกล้ๆยี่สิบปี ในปี 1722 ซึ่ง timeline ได้ถูกบันทึกโดย อิบนฺ บิชรฺ และ อิบนฺ กันหฺนัม ซึ่งทั้งสองได้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์เมือง นัจดฺ ในช่วง ศตวรรษที่ 18 ในบันทึกของแฮมเฟอร์ เลี่ยงที่จะใส่ ปี ในแต่ละเหตุการณ์เพื่อหลบเลี่ยงการจับผิดทางประวัติศาสตร์ แต่อย่างไรก็ตามการอ้างอิงปีเพียงแค่สองครั้งในบันทึกก็กลายเป็นการมัดความไม่ใสสะอาด บิดเบือนประวัติศาสตร์ (4)
ในบทความจากวารสารอัซซอลา(Al-Ashola)ของ ชัยคฺ มาลิก บินฮุซัยนฺ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ ว่า ในการเล่าของแฮมเฟอร์ที่อ้างในหน้า 100 ว่า มุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบ ได้เริ่มการดะวะห์ใน ฮิจเราะห์ศักราช 1143 ถือเป็นการโกหกครั้งใหญ่เนื่องจากการดะวะห์ของท่านพึ่งเริ่มหลังจากการเสียชีวิตของบิดาในปี ฮิจเราะห์ 1153 (5)
จริงๆ แล้วอังกฤษมิได้ญาติดีต่อการดะวะห์ของเชค อิบนุวาฮาบ เหตุการณ์การใส่ร้ายเช่นในหนังสือบันทึกแฮมเฟอร์ดังที่อ้างนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ เพราะมิได้มีการอ้างหรือบันทึกใดๆ ของประเทศอังกฤษที่เอ่ยถึงบุคคลข้างต้น และสำหรับผู้ที่มิได้ศึกษาประวัติศาสตร์แล้วด้วยมีความเป็นไปได้ว่าจะเชื่อต่อตำราที่เหมือนจะน่าเชื่อถือดังกล่าวที่พยายาม propaganda(โฆษณาชวนเชื่อ) ให้ผู้คนมองวาฮาบี เหมือนตัวน่ารังเกียจ
จากบันทึกดังกล่าวนอกจากแค่การคาดการณ์ว่าถูกตีพิมพ์เมื่อใดแล้ว ก็ยังมิพบว่าต้นฉบับมีรูปแบบใดหรือพิมพ์ด้วยภาษาอะไรอีกด้วย เช่น เหตุการณ์ในสมัยที่เมืองดุริยะห์สถานที่ที่เชคอับดุลวาฮาบ และกษัตริย์ อับดุลลอฮฺ บินซะอุด บินอับดุลอะซิซ ถูกทำร้ายโดย อิบรอฮีม บาชา จากอิยิปต์ ทางอังกฤษได้ให้ทุนสนับสนุนและส่ง จอร์ต แซดเลอร์ ที่เป็นตัวแทนข้าหลวงอังกฤษในอินเดียเพื่อมายืนยันเหตุการณ์พร้อมทั้งแสดงความยินดีต่อ อิบรอฮีม บาชา (6)
จากข้อมูลและการวิเคราะห์ในบทความที่เกิดจากการค้นคว้าอย่างผิวเผินเพื่อให้ได้ข้อสรุปอย่างกระชับนี้ ผมเองหวังว่าพี่น้องจะเข้าใจและเลิกเชื่อข่าวลือหรือเรื่องเท็จ แม้ว่าจะมาในรูปของบันทึกประวัติศาสตร์ ก็ไม่ใช่ว่าบันทึกจะถูกต้อง หรือซื่อสัตย์ในเนื้อหา เนื่องจากมันคือสิ่งมีชีวิตที่ถูกเขียนขึ้น หากมนุษย์มีความซื่อสัตย์บันทึกก็จะซื่อสัตย์ แต่หากมนุษย์ชั่วได้จับปากกาแล้ว บันทึกจะปรากฎไปด้วยความเท็จและความชั่วช้า จงใช้สมองและความพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อข้อเท็จจริงและสัจธรรม ผมจะขอทิ้งท้ายด้วย คุณธรรมต่อการเสพข้อมูลของมุสลิม จาก กุรอาน อัล-หุญุรอต โองการที่ 6
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا إِن جَاءَكُمْ فَاسِقٌ بِنَبَإٍ فَتَبَيَّنُوا أَن تُصِيبُوا قَوْمًا بِجَهَالَةٍ فَتُصْبِحُوا عَلَىٰ مَا فَعَلْتُمْ نَادِمِينَ
"โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย ! หากคนชั่วนำข่าวใดๆ มาแจ้งแก่พวกเจ้า พวกเจ้าก็จงสอบสวนให้แน่ชัด
หาไม่แล้วพวกเจ้าก็จะก่อเคราะห์กรรมแก่พวกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
แล้วพวกเจ้าจะกลายเป็นผู้เสียใจในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไป"
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
1. Sayed Khatab. Understanding Islamic Fundamentalism, p.63 . Cairo, 2011.
2. Anti-Wahhabism: a footnote, Middle East Strategy at Harvard, Bernard Haykel, March 27, 2008
3. Deirdre Cripps. Britain, Israel, USA, & Russian Disinformation(online), https://www.gatestoneinstitute.org/comments/53612.
4. Abu Iyaad. Use of the Hempher Diary Forgeries to Malign the Call and Integrity of Shaykh Ibn Abd Al-Wahhaab Is Indicative of Dishonesty and Lack of Intellect , (online) http://www.wahhabis.com/…/lvtoq-use-of-the-hempher-diary-fo….
5. Abu Hanan Sabil Arrashad. Bantahan terhadap fitnahan Masun Said Aly terhadap dakwah tauhid, 27/09/05(online) https://www.mail-archive.com/media-dakwah@yah…/msg01770.html
6. Al-Ustadz Abu Abdillah Luqman Ba’abdu. Awas, Musuh di Depan Mata!, 16/11/16(online) http://thayyiba.com/2016/…/15/6043/awas-musuh-di-depan-mata/.