บทเรียนจากสงครามบะดัรใหญ่
  จำนวนคนเข้าชม  8562


บทเรียนจากสงครามบะดัรใหญ่


 

เรียบเรียงโดย  อิสมาอีล  กอเซ็ม

 


มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก


 

          อัลลอฮฺ์ ซุบหานะฮูวาตาอาลา ทรงกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์   ด้วยกับเหตุผลบางอย่างที่เรารู้ได้และบางอย่างที่เราไม่สามารถรู้ได้ อัลลอฮฺ  ได้ส่งท่านนบีอาดัม อะลัยอิสสลาม มายังโลกใบนี้พร้อมกับแนวทางอิสลาม เพื่อใช้เป็นแนวทางของการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้เพื่อที่จะได้รอดพ้นจากสิ่งไม่ดีงามทั้งหลาย และเพื่อความสงบสุขของมวลมนุษยชาติ 


 

         อิสลามได้ส่งผ่านบรรดานบี ในแต่ละยุคสมัยมีหลักการข้อบังคับอาจจะแตกต่างกันอออกไป แต่เป้าหมายการเรียกร้องของบรรดานบี และรอซูลของอัลลอฮฺ ทุกท่าน จะเรียกร้องผู้คนมาสู่การยอมรับอัลลอฮ์  เป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจากบรรดาสิ่งถูกสร้าง และพระองค์คือ ผู้ประทานปัจจัยยังชีพให้แก่บรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้  และที่สำคัญที่สุดและถือว่าเป็นหัวใจหลักของการเรียกร้องผู้คน คือ การเรียกร้องมาสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์  เพียงพระองค์เดียว และให้ละทิ้งการเคารพภักดีสิ่งอื่น  


          อัลลอฮ์  ทรงทดสอบประชาชาติอิสลามทุกยุคทุกสมัย คราใดที่บรรดามุสลิมได้เริ่มบกพร่องและอ่อนแอในหลักยึดมั่นต่อศาสนา แน่นอนพระองค์จะทดสอบ ให้เหล่าบรรดาผู้ที่เกลียดชังและไม่หวังดีต่ออิสลามเข้ามามีอำนาจเหนือมุสลิม และคราใดที่บรรดามุสลิมมีความมั่นใจในความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ  และยึดมั่นปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ การช่วยเหลือของอัลลอฮฺ  จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน 


 

        มีหลายๆเหตุการณ์ในอดีตที่อัลลอฮฺ  ได้ให้ความช่วยเหลือแก่บรรดาผู้ศรัทธาต่อพระองค์เหนือบรรดาศัตรู ทั้งที่มุสลิมมีจำนวนน้อยกว่า   เช่น ในสงครามบะดัรใหญ่ ที่มีการสู้รบระหว่างมุสลิมและบรรดามุชริก ในปีที่ 2 ของการอพยพ บรรดามุสลิมที่มีอีหม่านต่ออัลลอฮฺ  พร้อมที่จะตามคำสั่งของท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในทุกๆเรื่องขอเพียงให้ท่านนบี  มีคำสั่ง พวกเขาพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งเหล่านนั้นโดยไม่มีการลังเล  


          ในสงครามบะดัรเดิมทีท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้มีเจตนาในการที่ทำสงครามกับ บรรดามุชริก(ผู้ตั้งภาคี) ชาวมักกะห์  ท่านนบี  และเหล่าศอหาบะห์ต้องการที่จะไปสกัด ดักกองคาราวานสินค้าของ อาบูซุฟยาน ที่มุ่งหน้ามาจากเมืองชาม โดยที่ในกองคาราวานมีทรัพย์สินของมุสลิมที่ถูกเอาไปด้วย ท่านนบี  ส่งเสริมเหล่าศอหาบะห์ออกไปขัดขวางกองคาราวาน เพื่อเอาทรัพย์สินบางอย่างกลับคืนมา เพราะตอนที่มุสลิมได้อพยพจากมักกะห์มายังเมืองมาดีนะห์ไม่ได้นำทรัพย์สินมาทั้งหมด นำมาได้แค่บางส่วน เรือกสวนไร่นาจึงตกเป็นของชาวมักกะห์มุชรีกีน  และพวกเขาก็ได้นำทรัพย์สินมุสลิมมาขายไป

 

          เมื่ออาบูซุฟยานได้รับข่าวคราวว่า บรรดามุสลิมจะออกมาดักกองคาราวาน อาบูซุฟยานได้จ้างชายผู้หนึ่งชื่อว่า ฎอมฎอม เพื่อไปส่งข่าวให้ชาวกุเรชได้รับทราบว่าตอนนี้เขาอยู่ในสถานการณ์คับขัน มุสลิมเตรียมตัวที่จู่โจมดักเอาสินค้าและทรัพย์สินของพวกเขา ดังนั้นให้ชาวมักกะห์รีบส่งกองกำลังเพื่อมาปกป้องกองคาราวานของพวกเขา   แต่สุดท้ายอาบูซุฟยานก็สามารถนำกองคาราวานเลี่ยงเส้นทางที่มุสลิมมาดักรออยู่ได้สำเร็จ เขาจึงส่งข่าวว่าไม่จำเป็นต้องนำกำลังออกมาเพราะตอนนี้เขาสามารถนำกองคาราวานให้รอดพ้นจากมุสลิมได้แล้ว   แต่ อาบู ญะฮัล ซึ่งเป็นคนนำทัพปฏิเสธที่จะนำกองกำลังของมุชรีกีนกลับไปยังมักกะห์  เพราะไหนๆก็ออกมาแล้วจะได้ใช้โอกาสนี้จัดการกับมุสลิมเสียทีเดียว  


 

          เมื่อสงครามไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้ จึงมีการเผชิญหน้ากันระหว่างมุสลิม และมุชริก (ผู้ตั้งภาคี )  สมรภูมิจบลงด้วยชัยชนะของมุสลิม และอาบูญะฮัลได้ถูกสังหารในสงครามครั้งนี้ กองกำลังมุชรีกีนเสียหายอย่างมากมาย  บรรดามุชริกได้ถูกสังหาร จำนวน 70 คน และถูกจับเป็นเฉลย 70 คน  ส่วนมุสลิมถูกสังหารตายชะอีด  14 คน  ทั้งที่จำนวนมุสลิมนั้นมีจำนวนน้อยกว่า  นี่คือตัวอย่างของชัยชนะของมุสลิมในอดีต 


 

          สาเหตุที่พวกเขาได้รับชัยชนะ สืบเนื่องจากการมีหลักศรัทธาความเชื่อมั่นต่ออัลลอฮ์  อย่างหนักแน่น ไม่สงสัยคลางแคลงกับคำสั่งของท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และปฏิบัติตามทุกคำสั่งของท่านนบี  โดยไม่มีข้อโต้แย้ง  ซึ่งในสงครามครั้งนี้อัลลอฮ์  ได้ส่งทหารของพระองค์ มาลาฮิกะห์จากฟากฟ้า มาช่วยเหลือมุสลิมจนได้รับชัยชนะ  


        ดังนั้นเกียรติและความเข้มแข็งของมุสลิมจะกลับมาอีกครั้งหากมุสลิมนำอิสลามมาปฏิบัติอย่างจริงๆ จังๆ ในการดำเนินชีวิต และมุสลิมต้องช่วยเหลือกัน ในการขจัดความชั่วทุกรูปแบบ และส่งเสริมในเรื่องของคุณงามความดี 



 

          ดังนั้นสงครามบะดัรใหญ่ คือ ต้นแบบของความสำเร็จของบรรดามุสลิมเพื่อให้เรากลับไปศึกษารายละเอียด วิถีชีวิตของนักรบในสมรภูมิบะดัรที่พวกเขามีความเชื่อฟังอัลลอฮฺ์  และรอซูลของพระองค์  ในทุกๆเรื่อง และพวกเขาเสียสละอดทน และมั่นใจในความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ  และการขอดุอาให้อัลลอฮ์  สนับสนุนพวกเขาให้มีชัยชนะเหนือศัตรู ซึ่งพวกเขาไม่ละเลยสาเหตุที่จะให้ได้มาซึ่งชัยชนะ  


 

          แต่เมื่อเราดูสภาพประชาชาติอิสลามในยุคปัจจุบัน ที่มุสลิมมีจำนวนมากแต่ไร้ซึ่งความน่าเกรงขาม ไร้ซึ่งประสิทธิภาพ เพราะมุสลิมปัจจุบันจมปลักอยู่กับการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ์  ในรูปแบบต่างๆ และจำนวนไม่น้อยที่ไม่สำนึกผิดต่ออัลลอฮฺ  และไม่ขออภัยโทษต่อพระองค์   

 

ดังปรากฏในหะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

“ใกล้เข้ามาแล้วที่ประชาชาติทั้งหลาย จะรุมกินโต๊ะพวกท่าน เหมือนกับกลุ่มคนที่นั่งล้อมวงกินอาหารจากสำรับ

ไม่ได้หมายความว่าพวกเรามีน้อย พวกเรามีมากแต่เหมือนฟองน้ำที่อยู่ในทะเล

ศัตรูจะไม่เกรงขาม ความอ่อนแอจะเกิดขึ้น ก็คือ ความรักดุนยาและการเกลียดกลัวความตาย” 
 

(บันทึกโดย อะห์มัด)


 

          ส่วนหนึ่งที่ทำให้ประชาชาติอิสลามต้องได้รับความตกต่ำ เนื่องจากการที่มุสลิมลุ่มหลงกับการมีชีวิตในโลกนี้ จนลืมกระทำภารกิจสำหรับการมีชีวิตในโลกหน้า และการที่มุสลิมหวงแหนชีวิตของตัวเอง ไม่กล้าที่จะเสียสละในหนทางของอัลลอฮฺ   จึงทำให้มุสลิมถูกครอบงำด้วยกับวัตถุ ไม่ได้ให้ความสำคัญในศาสนา และละเลยหน้าที่ของตัวเองในการที่จะรับใช้ศาสนาของอัลลอฮฺ  

 

          ดังนั้น จงกลับไปนำเอาวิถีชีวิตของชนสลัฟในอดีต จากแนวของท่านรอซูล และเหล่าศอหาบะห์ของท่านมาปฏิบัติ แน่นอนเราจะกลับเข้มแข็งอีกครั้ง และเราจะได้รับการช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ  เหมือนที่อะลุลบะดัรเคยได้รับมาแล้ว

 


อัลลอฮ์  คือ ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือที่ดียิ่ง