สิทธิของพี่น้องต่างศาสนิก
เชค มุหัมมัด บิน ศอลิห์ อัล-อุษัยมีน
ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมจะครอบคลุมทุกคนที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซึ่งมีด้วยกันสี่จำพวก นั่นคือ
1. หัรบีย์ หมายถึง ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่เป็นศัตรูกับชาวมุสลิม
2. มุสตะมัน หมายถึง ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองดูแลของชาวมุสลิม
3. มุอาฮัด หมายถึง ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่มีพันธะสัญญากับชาวมุสลิม
4. ซิมมีย์ หมายถึง ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่อาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม
ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่เป็นศัตรูกับชาวมุสลิม (หัรบีย์) พวกเราไม่จำเป็นต้องมอบสิทธิด้านการให้การคุ้มครองหรือการดูแลแก่พวกเขาส่วนผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองดูแลของชาวมุสลิม(มุสตะมัน) พวกเราจำเป็นต้องมอบสิทธิด้านการให้การคุ้มครองแก่พวกเขาตามเวลาและสถานที่ที่ได้ตกลงไว้ เนื่องจากอัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า
( وَإِنۡ أَحَدٞ مِّنَ ٱلۡمُشۡرِكِينَ ٱسۡتَجَارَكَ فَأَجِرۡهُ حَتَّىٰ يَسۡمَعَ كَلَٰمَ ٱللَّهِ ثُمَّ أَبۡلِغۡهُ مَأۡمَنَهُۥۚ﴾ [التوبة : 6]
“และหากมีคนใดในบรรดาผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺได้ขอความคุ้มครองจากเจ้า เจ้าก็จงให้การคุ้มครองแก่เขา จนกระทั่งเขาได้ฟังพระดำรัสของอัลลอฮฺ หลังจากนั้นเจ้าก็จงส่งเขายังที่ปลอดภัย”
(อัต-เตาบะฮฺ : 6)
ส่วนผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่มีพันธะสัญญากับชาวมุสลิม (มุอาฮัด) เราชาวมุสลิมจำเป็นต้องยึดมั่นในสัญญาที่ได้กระทำไว้กับพวกเขาตลอดระยะเวลาสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ระหว่างทั้งสองฝ่าย ตราบใดที่พวกเขายังซื่อสัตย์ในคำมั่นสัญญาและไม่ได้ทำลายสัญญาที่ได้ทำไว้กับเรา มิได้บกพร่องใดๆ ในสัญญาที่ได้ทำไว้กับเรา ไม่ได้สนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือผู้ใดเพื่อต่อต้านหรือทำลายเรา และไม่ได้สร้างความเสื่อมเสียหรือทำลายศาสนาของเรา อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
( إِلَّا ٱلَّذِينَ عَٰهَدتُّم مِّنَ ٱلۡمُشۡرِكِينَ ثُمَّ لَمۡ يَنقُصُوكُمۡ شَيۡٔٗا وَلَمۡ يُظَٰهِرُواْ عَلَيۡكُمۡ أَحَدٗا فَأَتِمُّوٓاْ إِلَيۡهِمۡ عَهۡدَهُمۡ إِلَىٰ مُدَّتِهِمۡۚ إِنَّ ٱللَّهَ يُحِبُّ ٱلۡمُتَّقِينَ ٤﴾ [التوبة : 4]
“นอกจากบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีต่อพระองค์ (ผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา) บางกลุ่ม ที่พวกเจ้าได้ทำสัญญาไว้ แล้วพวกเขามิได้บกพร่องใดๆ ในสัญญาที่ได้ทำไว้กับแก่พวกเจ้า และมิได้สนับสนุนผู้ใดต่อต้านพวกเจ้า ดังนั้น จงรักษาสัญญาของพวกเขาให้ครบถ้วน จนถึงกำหนดเวลาของพวกเขาเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้น ทรงรักผู้ที่ยำเกรงทั้งหลาย”
(อัต-เตาบะฮฺ : 4)
พระองค์ได้ตรัสอีกว่า
(وَإِن نَّكَثُوٓاْ أَيۡمَٰنَهُم مِّنۢ بَعۡدِ عَهۡدِهِمۡ وَطَعَنُواْ فِي دِينِكُمۡ فَقَٰتِلُوٓاْ أَئِمَّةَ ٱلۡكُفۡرِ إِنَّهُمۡ لَآ أَيۡمَٰنَ لَهُمۡ﴾ [التوبة : 12]
“และหากพวกเขาทำลายคำมั่นสัญญาที่พวกเขาได้ทำไว้กับพวกเจ้า และพวกเขาได้กล่าวหาและใส่ร้ายต่อศาสนาของพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงต่อสู้กับบรรดาผู้นำแห่งการปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้น เพราะแท้จริงพวกเขาไม่ได้ยึดมั่นในสัญญาที่ได้ทำไว้กับพวกเจ้า”
(อัต-เตาบะฮฺ : 12)
ส่วนผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่อาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม(ซิมมีย์) พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ที่เราจำเป็นต้องมอบสิทธิแก่พวกเขามากที่สุด และพวกเขาก็ต้องคำนึงถึงสิทธิของพวกเราชาวมุสลิมด้วย เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในรัฐอิสลาม ภายใต้การคุ้มครองดูแลของชาวมุสลิมโดยที่แลกกับการจ่ายค่า ญิซยะฮฺ เพื่อเป็นการคุ้มครองดูแลพวกเขา
ดังนั้น ผู้นำของชาวมุสลิมจึงจำเป็นต้องตัดสินคดีของพวกเขาด้วยกฎหมายอิสลามในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิต ทรัพย์สินและเกียรติของพวกเขา และให้ลงโทษพวกเขาในความผิดที่พวกเขามีความเชื่อว่ามันเป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม) สำหรับพวกเขา และผู้นำจำเป็นต้องให้การดูแลคุ้มครองและปกป้องไม่ให้ผู้ใดสร้างความเดือดร้อนหรือทำอันตรายต่อพวกเขา
เสื้อผ้าและการแต่งกายของพวกเขาจำเป็นต้องแตกต่างจากการแต่งกายของชาวมุสลิม (เพื่อความสะดวกในการแยะแยะและการกำกับดูแล) และพวกเขาจำเป็นต้องไม่แสดงสิ่งใดที่ไม่ดีงามในอิสลามอย่างโจ่งแจ้ง หรือสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ในศาสนาของพวกเขา เช่น ระฆังและไม้กางเขน
ส่วนหุก่มต่างๆ เกี่ยวกับชาวซิมมีย์นั้น บรรดานักวิชาการอิสลามได้กล่าวถึงแล้วอย่างละเอียดในหนังสือต่างๆ ของพวกเขา ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้อีก
มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิของอัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก เศาะละวาตและสลามขอจงประสบแด่ท่านนบีมุหัมมัด ตลอดจนบรรดาวงศ์วานและมิตรสหายของท่านทั้งหลาย
ผู้แปล: อันวา สะอุ และ อุษมาน อิดรีส
Islam House