ห้ามการแต่งงานกับคนที่ไม่ละหมาด
แปลเรียบเรียง ตุวัยลิบุ้ลอิลมฺ
ท่านชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุตัยมียะห์ รอฮิมะฮุ้ลลอฮ กล่าวว่า :
"ถ้าหากว่าผู้คนทั้งหมดต่างไม่ยอมรับการที่ชายคนหนึ่งจะแต่งงานกับสตรีที่ชอบลักโขมย หรือ สตรีที่ผิดประเวณี หรือ สตรีที่ชอบดื่มสุรา หรือ สตรีที่มีลักษณะคล้ายๆกันนี้ ก็จำเป็นที่พวกเขาจะต้องไม่ยอมรับการแต่งงานกับสตรีที่ไม่ยอมละหมาดยิ่งกว่าซะอีก และถือเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด(สำหรับกรณีนี้)ด้วยกับการเห็นพ้องกันของบรรดาอิหม่ามทั้งหลาย เพราะแท้จริงแล้วสตรีที่ไม่ยอมละหมาดชั่วร้ายกว่า สตรีที่ผิดประเวณี สตรีที่ชอบลักขโมย และสตรีที่ชอบดื่มสุราเสียอีก"
(ญามิอุ้ลมะซาเอ้ล เล่ม 4 หน้าที่ 142)
สิ่งนี้ไม่ได้จำกัดเพียงแค่สตรีอย่างเดียวเท่านั้นยังรวมถึงผู้ชายด้วยเช่นเดียวกันคนที่ทิ้งละหมาดเลวกว่าคนที่ดื่มเหล้าและทำความผิดอื่นๆเสียอีก เพราะการละหมาดถือเป็นสิทธิของอัลลอฮที่บ่าวจะต้องปฏิบัติ และถือเป็นเสาหลักของศาสนารองลงมาจากการมีเตาฮีดที่ถูกต้องด้วย อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า :
"ดังนั้น ความหายนะจงมีแด่บรรดาผู้ทำละหมาด ผู้ที่พวกเขาละเลยต่อการละหมาดของพวกเขา"
(ซูเราะอัลมาอูน อายะห์ที่ 4-5)
ท่านร่อซู้ลศ็อลลั้ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัมกล่าวว่า :
إن بين الرجل وبين الشرك والكفر ترك الصلاة
"แท้จริงระหว่างคนๆหนึ่งกับการตั้งภาคีและการปฏิเสธศรัทธา คือการทิ้งละหมาด"
(รายงานโดยอิหม่ามมุสลิม)
และท่านนบี ยังกล่าวอีกว่า :
العهد الذي بيننا وبينهم الصلاة فمن تركها فقد كفر
"พันธะสัญญาระหว่างพวกเราและพวกเขา(ผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา) คือ การละหมาด
ดังนั้นใครก็ตามที่ละทิ้งมัน เขาได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว"
(รายงานโดย อิหม่ามอะฮฺหมัด อิหม่ามอบูดาวูด อิหม่ามนะซาอี
และติรมีซีย์ และท่านอิหม่ามติรมีซีย์กล่าวว่าเป็นฮะดิษ ฮะซันศอเฮี๊ยะ)
การทิ้งละหมาดถือเป็นบาปที่ใหญ่มากๆ ใหญ่ยิ่งกว่าการดื่มสุรา การทำซินา และลักขโมยเสียอีก ขอให้พวกเราใส่ใจกับการละหมาดเพราะมันคือสัญลักษณ์ในการบ่งบอกว่าเราเป็นมุสลิม
ผู้ที่ทิ้งละหมาดคือกาเฟร
ทัศนะที่เป็นที่รู้จักกันในมัสฮับของท่านอิหม่ามอะฮฺหมัด รอฮิมะฮุ้ลลอฮ(มัสฮับฮัมบาลีย์) คือ เขา(คนที่ทิ้งละหมาด)จะถูกตัดสินว่าเป็นกาเฟร และเขาก็จะถูกประหาร โดยสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม และทัศนะนี้คือทัศนะที่ได้ถูกถ่ายทอดต่อกันมาจากบรรดาสาวกของท่านนบีศ็อลลั้ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม และท่านอิสหาก ได้รายงานอิจมาอฺ(มติเอกฉันท์)สำหรับเรื่องนี้เอาไว้ และเช่นเดียวกับที่ ท่านมุนซีรี่ ได้ถ่ายทอดมัน(อิจมาอฺนี้)ในหนังสือ "อัตตัรฆีบ วัตตัรฮีบ" และในที่อื่นๆ และส่วนหนึ่งจากหลักฐานต่างๆที่บ่งชี้ถึงสิ่งดังกล่าวนี้ ก็คือ ฮะดีษที่รายงานโดย อัลญะมาอะห์ ยกเว้น บุคอรีย์และ นะซาอีย์ จาก ท่าน ญาบิร รอดิยั้ลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านร่อซู้ลศ็อลลั้ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม กล่าวว่า :
"ระหว่างคนๆหนึ่งกับการปฏิเสธศรัทธา คือ การทิ้งละหมาด"
ฮะดิษที่รายงานโดยอะฮฺหมัด จากฮะดีษของท่านหญิงอุมมุอัยมัน ฮะดิษมัรฟูอฺ(ฮะดิษที่ศอฮาบะฮ์รายงานพาดพิงถึงท่านนบีศ็อลลั้ลลอฮุลัยฮิวะซั้ลลัม) ว่า :
"ใครก็ตามที่ทิ้งละหมาดโดยเจตนา การคุ้มครองของอัลลอฮ์และร่อซู้ลของพระองค์ได้หลุดพ้นจากเขาไปแล้ว"
ฮะดีษที่รายงานโดย อัศฮาบุซซุนัน จากฮะดิษของท่าน บุรอยดะห์ บิน ฮุเซน กล่าวว่า ท่านร่อซู้ลศ็อลลั้ลลอฮุอลัยฮิวะซ้ลลัมกล่าวว่า :
"พันธะสัญญาระหว่างพวกเรากับพวกเขา(บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา)คือ การละหมาด
ดังนั้นใครก็ตามที่ทิ้งมันแน่นอนเขาได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว"
ท่านติรมีซีย์ได้รายงานจากท่านอับดุลลอฮ บิน ชะกีก ว่า :
"บรรดาสาวกของท่านร่อซู้ลศ็อลลั้ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัมไม่ได้เห็นว่าการงานใดที่การละทิ้งมัน ถือว่าเป็นการปฏิเสธศรัทธานอกเสียจากการละหมาดเท่านั้น"
ท่านอิหม่ามมูฮำหมัด บิน นัศรฺ อั้ลมัรวีซี่ย์ กล่าวว่า : ฉันได้ยินท่านอิสหาก กล่าวว่า : มีรายงานที่ถูกต้องจากท่านนบีศ็อลลั้ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัมว่า
"ผู้ที่ทิ้งละหมาด คือ กาเฟร(ผู้ปฏิเสธศรัทธา)"
และเช่นเดียวกัน ทัศนะบรรดาผู้รู้ที่อยู่กับท่านร่อซู้ลศ็อลลั้ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม มีทัศนะว่า แท้จริงแล้วคนที่ทิ้งละหมาดโดยเจตนา และปราศจากอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น จนกระทั่งเวลาละหมาดของมันได้ผ่านพ้นไป คือกาเฟร
ท่าน อิหม่าม อิบนุ ฮัซมฺ ได้กล่าวว่า : เราได้รายงานจากท่าน อุมัร บิน ค็อตตอบ รอดิยั้ลลอฮุอันฮุ ท่าน มุอาซ บิน ญะบั้ล ท่าน อิบนุ มัสอู๊ด และบรรดาสาวกของท่านนบี ศ็อลลั้ลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัมกลุ่มหนึ่ง รอดิยั้ลลอฮุอันฮุม และเราก็ได้รายงานจาก ท่าน อิบนุ้ลมุบาร็อก อะฮฺหมัด บิน ฮัมบัล อิสหาก บิน รอฮาวัยฮฺ เราะมะตุ้ลลอฮอลัยฮิม และจากศอฮาบะห์ และตาบีอีนถึง 17 คน รอดิยั้ลลอฮุอันฮุม ว่า
"แท้จริงใครก็ตามที่ละทิ้งการละหมาดฟัรดูเวลาหนึ่งเวลาใด โดยตั้งใจ โดยที่เขานึกขึ้นได้จำได้ไม่ได้หลงลืม จนกระทั่งเวลาของการละหมาดได้หมดไป แน่นอนเขาคือ ผู้ปฏิเสธศรัทธา และสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม"
ท่าน อับดุลลอฮ อัลมาญิชูน สหายของอิหม่ามมาลิก ได้กล่าวเกี่ยวกับทัศนะนี้ไว้ และ ท่านอัลดุลลอฮ บิน ฮะบีบ อัลอันดะลูซี่ และท่านอื่นๆ ก็ได้กล่าวทัศนะนี้เช่นกัน
(ดูในหนังสือ "อัลฟัศลฺ" เล่ม 3 หน้าที่ 274 , หนังสือ "อัลมุฮั้ลลา" ของอิบนุฮัซมฺ เล่ม 2 หน้าที่ 326 และ หนังสือ "อัตตัมฮีด" ของท่าน อิบนุ อับดิ้ลบัรรฺ เล่ม 4 หน้าที่ 225)
ซึ่งทัศนะนี้มีอุลามาในยุคปัจจุบันเห็นด้วย อย่างเช่น ท่านเชค อับดุล อะซีซ บิน อับดุลลอฮ บิน บาส รอฮิมะฮุ้ลลอฮ และท่านอื่นๆ
วั้ลลอฮุอะอฺลัม
http://fatwa.islamweb.net/fatwa/index.php?page=showfatwa&Option=FatwaId&Id=1145