มุสลิมใหม่กับโลกอิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  5991


มุสลิมใหม่กับโลกอิสลาม

 


รศ.ดร.อารง สุทธาศาสน์

 

          ปัจจุบัน คงมีน้อยคน ที่ไม่เคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ทั้งนี้เพราะว่าศาสนาอิสลาม ปรากฏเป็นข่าวเกือบทุกวัน เกือบทุกแห่ง และในสื่อมวลชนเกือบทุกแขนง

          แต่ในขณะเดียวกัน คงมีน้อยคน ที่เคยได้ยินว่า ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่เจริญเติบโตรวดเร็วที่สุดในโลก เรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวจากสื่อมวลชนในสหรัฐอเมริการ ในยุโรป และในอีกหลายประเทศมาโดยตลอด และเมื่อไม่นานมานี้ สถาบันวิจัยพิว (PEW) แห่งสหรัฐอเมริการ ได้รายงานว่า ประชากรโลกมุสลิมในปัจจุบันนี้ มีจำนวนมากกว่าสองพันล้านคนแล้ว หรือเกือบหนึ่งในสามของประชากรโลกทั้งหมด และที่น่าสนใจมากกว่านี้ ยังมีการคาดคะเนจากนักวิเคราะห์หลายท่านว่า อีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ศาสนาอิสลามจะกลายเป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของโลก ถ้าเราลองพิจารณาจากแนวโน้มของศาสนาต่างๆ ของโลกในปัจจุบันนี้แล้ว การคาดคะเนนี้ คงไม่ไกลจากความจริงนัก

          คำถามที่ต้องถามทันทีก็คือ ประชากรมุสลิมที่เพิ่มอย่างรวดเร็วดังกล่าวนี้ เกิดมาจากไหน แน่นอนที่สุดส่วนหนึ่งมาจากอัตราเพิ่มของประชากรตามปกติ ซึ่งศาสนาอื่นๆก็มีอัตราเพิ่มแบบนี้เหมือนกัน แต่การเพิ่มของประชากรมุสลิม ซึ่งทวีจำนวนแบบก้าวกระโดดนั้น เกิดจากการเพิ่มของมุสลิมใหม่ หรือผู้ที่เพิ่งเข้ามารับอิสลามเมื่อโตแล้ว

         มุสลิมใหม่นี้เองที่ทำให้ประชากรมุสลิมโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และกำลังเกิดขึ้นในทุกส่วนของโลก ไม่ว่าจะเป็นในซีกโลกตะวันตก หรือในซีกโลกตะวันออก

          อนึ่ง การหันมารับนับถือศาสนาอิสลามของมุสลิมใหม่นั้น มิได้เกิดจากการบังคับ หรือการฝึนใจ แต่เกิดจากความสมัครใจด้วยเหตุผลและแรงจูงใจต่างๆกันเกือบทั้งสิ้น เราลองมาอ่านคำให้การของมุสลิมใหม่เหล่านี้ ว่าได้เข้ามารับอิสลามด้วยเหตุผลใด หรือด้วยความรู้สึกอย่างไร

 


คนแรก : มุฮัมมัด อามาน โฮโบม นักการฑูติชาวเยอรมัน ท่านได้สรุปภาพรวมของศาสนาอิสลามดังต่อไปนี้  :-

 

          “ทำไม่ชาวตะวันตก จึงหันมาเข้ารับอิสลาม มันมีเหตุผลนานนาประการในเรื่องนี้ ในประการแรกทีเดียว สัจธรรมย่อมมีพลังในตัวของมันเองเสมอ หลักคำสอนพื้นฐานในอิสลาม มีเหตุผลยิ่งนักและเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ซึ่งผู้แสวงหาสัจธรรมที่มีความจริงใจทุกคน อดที่จะมีความประทับใจมิได้”

 

          ดังนั้น ผู้ใดก็ตาม ที่ประสงค์จะแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต หรือจะลองแสวงหาสัจธรรมของธรรมชาติทั้งมวล ลองสัมผัสกับอิสลามดูด้วยตนเอง อาจจะพบกับสิ่งเดียวกันกับท่านมุฮัมหมัด โฮโบม ที่ได้พบมาแล้ว แต่เรามาดูคนต่อไป

 


คนที่สอง : มัรยัม ยามีละฮ์ เบกุม นักประพันธ์ชาวอเมริกัน ท่านได้ให้คำยืนยันว่า :-


          “ในอิสลามเท่านั้น ที่การแสวงหาค่านิยมสูงสุดของฉันได้รับการตอบสนอง ในอิสลามเท่านั้น ซึ่งในที่สุดแล้ว ฉันพบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสัจธรรม เป็นสิ่งที่ดีและสวยงาม ให้ความหมายและทิศทาง แก่ชีวิตของฉันอย่างครบถ้วน”
 

          ในปัจจุบันนนี้ ชาวตะวันตกส่วนใหญ่ถูกครอบงำด้วยค่านิยมทางวัตถุ ในที่สุดค่านิยมทางจิตใจก็ค่อยๆเลือนหายไป ดังนั้นพวกเขาจึงมีชีวิตที่เลื่อนลอย ไขว่คว้า ไร้ซึ่งทิศทาง หรือคุณค่าของชีวิตที่แท้จริง จนกระทั่งได้พบอิสลาม มัรยัม ยามิละห์ เบกุม จึงพบคำตอบอย่างอบอุ่นใจ ต่อมาเรามาพบกับบุคคลต่อไป

 

คนที่สาม : เดนิส วอร์ริงตัน ฟราย ซึ่งเป็นปัญญาชนชาวออสเตรเลีย ท่านได้ยืนยันความรู้สึกเบื้องลึกของจิตใจต่อเมื่อเข้ารับอิสลาม 

 

          “อิสลามมายังผม เหมือนกับฤดูใบไม้ผลิมายังผืนแผ่นดินที่หนาวเหน็บ ของฤดูหนาวที่มืดมัว อิสลามทำให้จิตวิญญาณของผมมีความอบอุ่น และอิสลามได้ห่อหุ้มผมด้วยคำสอนที่สวยงาม คำสอนของอิสลามมีความชัดเจนและมีเหตุผลมาก นั่นคือ มีพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และมุฮัมหมัด เป็นศาสดาจากพระองค์ ถ้าจะกล่าวในแง่หลักพื้นฐานของศาสนาแล้ว คงไม่มีอะไรที่จะมีเหตุผล และชัดเจนมากกว่านี้อีกแล้ว”

           อย่างไรก็ดี ท่ามกลางกระแสของการชื่นชมอิสลามอย่างกว้างขวางนั้น ก็เกิดกระแสสวนทางขึ้นมา นั่นคือ การโจมตีอิสลาม โดยบุคคลหลายกลุ่มหลายเหล่า และในหลายพื้นที่พวกเขาโจมตีหลักคำสอนอิสลาม พวกเขาจาบจ้วงคัมภีร์อัลกุรอาน และพวกเขาลบหลู่ท่านศาสดามุฮัมหมัด (สันติมีแด่ท่าน) ด้วยวาจาที่ก้าวร้าว ด้วยท่าทีที่หยามเหยียด และสร้างเรื่องเท็จนานาประการเพื่อบ่อนทำลาย และสกัดกั้นการขยายตัวของศาสนาอิสลาม

          แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้มุ่งร้ายศาสนานอิสลามเหล่านั้นไม่รู้ และไม่ได้ตระหนัก นั่นก็คือ การโจมตีของพวกเขา แทนที่จะทำให้กระแสชื่นชมอิสลามชะงักงัน สะดุดลงหรือถอยหลังกลับทำให้ศาสนาอันศักดิ์สิทธิขยายตัวเร็วมากขึ้น เพราะว่าทำให้เกิดกระแสความอยากรู้ขึ้นมาว่า ศาสนาอิสลามก็ดี คัมภีร์อัลกุมอานก็ดี หรือท่านศาสดามุฮัมหมัดก็ดี ตามความเป็นจริงแล้ว เป็นอย่างไรกันแน่ ผู้คนที่สงสัยเหล่านี้เริ่มซื้อหนังสือมาอ่าน หรือเริ่มไปพบชาวมุสลิมเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง และเมื่อบุคคลเหล่านั้นได้สัมผัสกับอิสลามที่แท้จริงแล้ว หรือเมื่อพบปะกับมุสลิมที่มีความรู้แล้ว ก็มิวายที่จะเข้ารับอิสลาม

          ลองฟังคำสารภาพของบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งเคยเกลียดชังอิสลามและไม่อยากกคบค้าสมาคมกับชาวมุสลิม แต่ในที่สุดก็เข้ารับอิสลามอย่างภาคภูมิใจ นี่คืออีกคนหนึ่งในตัวอย่างของเรา
 


คนที่สี่ : โมมิน อับดุลราซิด เซลลียะห์ แห่งประเทศศรีลังกา ลองมาฟังประสบการณ์ของท่านดู


          “ในกาลครั้งหนึ่ง ผมถือว่าอิสลามมันน่าสะอิดสะเอียน ผมไม่มีเพื่อนมุสลิม เนื่องจากอิสลามเป็นสิ่งที่น่าเกลียดสำหรับผม จนกระทั่งผมไม่อยากคบค้าสมาคมกับผู้ที่นับถืออิสลาม”

           “ผมไม่เคยฝันแม้แต่น้อยว่า การอ่านหนังสือเกี่ยวกับอิสลาม จะทำให้ผมกลายเป็นคนใหม่ ผมเริ่มรักอิสลาม เนื่องจากเป็นทางเดินที่เที่ยงตรง ไม่มีอะไรลึกลับ อิสลามมีความขาวสะอาดและเรียบง่าย และผมได้ศึกษาอย่างลุ่มลึกจนกระทั่งสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กำลังจะใกล้เข้ามาแล้ว”

          “ในคัมภีร์อัลกุรอาน บางตอนที่ผมได้อ่าน สร้างความทึ่งใจให้แก่ผม เพราะผมเคยคิดว่า ไม่มีอะไรจะเป็นคู่แข่งของคัมภีร์ใบเบิ้ลได้เลย แต่อย่างไรก็ดี ผมพบว่า ผมมีความผิดพลาดโดยสิ้นเชิงในเรื่องนี้ แท้จริงแล้ว คัมภีร์อัลกุรอานนั้น เต็มไปด้วยสัจธรรม และหลักคำสอนของอัลกุรอานเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ ปราศจากแนวคิดที่ลึกลับ และในที่สุด ผมก็เคลื่อนคล้อยไปสู่ศาสนา “แห่งสันติภาพและความรัก” ดังกล่าว นั้นคือ เข้าไปสู่ศานาอิสลามอย่างมั่นใจ”

 


          พอพูดถึงคุณสมบัติของอัลกุรอานก็อดที่จะนำคำพูดของมุสลิมใหม่อีกคนหนึ่งมิได้ คือท่าน ไซฟุดดีน เดิร์ก วอลเตอร์ ไมสิก จากสหรัฐอเมริกา ท่านได้อ่านคัมภีร์ของศาสนาต่างๆ แล้วมาอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน ท่านยืนยันอย่างเข้มแข็งว่า


          “คัมภีร์อัลกุรอานอันศักด์สิทธิเมื่อเทียบกับคัมภร์อันที่ผมได้อ่าน มันเสมือนกับแสงอาทิตย์ เปรียบเทียบกับแสงของไม้ขีดไฟ ดังนั้น จะเอาแสงของไม้ขีดไฟกี่ล้านแท่งก็เที่ยบเท่าแสงอาทิตย์ไม่ได้เลย ”

          เมื่อพูดถึงตอนนนี้แล้ว เราอยากจะนำโองการในคัมภีร์อัลกุรอานสักสองโองการ เพื่อถอดสลักแห่งความคิดของผู้ประสงค์ร้ายต่อศาสนาอิสลาม ว่าศาสนาอิสลามนั่นมีคุณสมบัติอย่างไร

 

โองการที่ 32 ของบทที่ 9 มีใจความดังต่อไปนี้

“พวกเขาประสงค์ที่จะดับแสงของพระผู้เป็นเจ้าด้วยปากของพวกเขา แต่พระองค์จะไม่ยินยอม

นอกจากจะทำให้แสงสว่างของพระองค์ ทวีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ถึงแม้พวกเขาจะไม่พึงพอใจก็ตาม”

          และบัดนี้ ศาสนาอิสลามคือศาสนาที่มีความสมบูรณ์แล้ว มีคำสอนที่ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะบั่นทอนหรือบ่อนทำลายศาสนาอิสลามได้อีก ต่อไปนี้คือคำยืนยันของะรพผู้เป็นเจ้าในคัมภีร์อัลกุรอานของพระองค์ ในโองการที่ 3 บทที่ 5 ซึ่งมีใจความว่า :

“ณ. วันนี้ ข้าได้ทำให้สมบูรณ์ซึ่งศาสนาของพวกสู้เจ้า และได้ให้ความครบถ้วนบริบูรณ์

ในความโปรดปรานของข้าที่มีต่อพวกสูเจ้า และได้เลือกอิสลาม ให้เป็นศาสนาของสู้เจ้า”


          ขอคารวะมุสลิมใหม่ทุกท่าน หรือผู้ที่กำลังเอนเอียงมาสู่อิสลาม มุสลิมใหม่เป็นมุสลิมที่มีเกียรติสูง เพราะว่าท่านมิได้เป็นมุสลิมที่เกิดจากท้องแม่ แต่เกิดจากการนำทางของพระผู้เป็นเจ้ามาสู่อิสลาม พระองค์ได้เลือกท่านเข้ามาจากกลุ่มคนจำนวนล้านๆซึ่งไม่ได้ถูกนำเข้ามา 
และที่สำคัญยิ่ง ซึ่งทำให้มุสลิมเดิมต้องอิจฉาก็คือ เมื่อท่านได้ปฏิญาณเข้ารับอิสลาม ด้วยสองประโยคง่ายๆแต่ทรงคุณค่ายิ่ง สองประโยคนั้นก็คือ

“ฉันของปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และ ฉันขอปฏิญานว่า มุฮัมหมัด เป็นศาสนฑูตของอัลลอฮฺ”

          เมื่อได้กล่าวคำปฏิญาณนี้ ด้วยความศรัทธาและด้วยใจที่มุ่งมันแล้ว อัลลอฮฺจะทำให้ท่านเป็นผู้บริสุทธ์และขาวสะอาดเหมือนดั่งสำลี บาปใดๆที่ได้กระทำในอดีต ก็จะถูกลบล้างหมดโดยสิ้นเชิง และถัดจากนั้น ท่านก็จะมีความรู้สึกเปลี่ยนแปลงจากคนหนึ่งไปเป็นอีกคนหนึ่ง 

          เราจะขอให้ฟังคำสารภาพ ของคนไทยคนหนึ่งที่หันมารับอิสลาม และได้บรรยายความรู้สึกอย่างเป็นรูปธรรมออกมา ท่านคือ ดร.พิสิฐ โล่งเจริญ ท่านกล่าวดังนี้

          “อิสลามเป็นศาสนาที่สวยงาม เมื่อผมมารับอิสลามแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกว่า ได้หนีจากความร้อนมาสู่ความเย็น หนีจากความวุ่นวายมาสู่ความสงบ หนีจากความมืดมนต์ มาสู่ความสว่าง และทำให้ชีวิตของผมดีขึ้นในทุกด้าน”

 


ท้ายที่สุดนี้ เราขอให้ผู้อ่านบทความชิ้นนี้ ได้รับความปราณีและการนำทางจากอัลลอฮฺ  โดยทั่วกัน อามีน