คิดในแง่ดีต่อพระองค์
แปลเรียบเรียง อับดุลวาเฮด สุคนธา
وَعَسَى أَنْ تَكْرَهُوا شَيْئًا وَهُوَ خَيْرٌ لَكُمْ وَعَسَى أَنْ تُحِبُّوا شَيْئًا وَهُوَ شَرٌّ لَكُمْ وَاللَّهُ يَعْلَمُ وَأَنْتُمْ لَا تَعْلَمُونَ
"และอาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่งทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งดีแก่พวกเจ้า
และก็อาจเป็นไปได้ว่าการที่พวกเจ้าชอบสิ่งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งเลวร้ายแก่พวกเจ้า และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดี แต่พวกเจ้าไม่รู้"
( บะกอเราะฮฺ 216)
فَإِنْ كَرِهْتُمُوهُنَّ فَعَسَى أَنْ تَكْرَهُوا شَيْئًا وَيَجْعَلَ اللَّهُ فِيهِ خَيْرًا كَثِيرًا
"หากพวกเจ้าเกลียดพวกนาง ก็อาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่ง
ขณะเดียวกันอัลลอฮฺก็ทรงให้มีในสิ่งนั้น ซึ่งความดีอันมากมาย"
(นิสาฮฺ 19)
ท่านอิบนุก็อยยิมกล่าวว่าในโองการนี้ว่า "แท้จริงมนุษย์เมื่อพบเจอสิ่งที่ไม่ชอบ บางครั้งในสิ่งที่นั้นย่อมเป็นมีสิ่งที่ดีอยู่ด้วย บางครั้งในสิ่งที่รักอาจมีสิ่งที่ไม่ดีอยู่ด้วย"
(หนังสือ อัลฟาวาอิด)
ฉะนั้น บางครั้งการที่โดนทดสอบกับเรื่องร้ายๆ แต่ภายหลังอาจผลดีต่อเขาก็ได้ บางครั้งสิ่งที่เขาได้มาและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีๆ แต่ภายหลังอาจมีผลเสียก็ได้ ไม่มีใครรู้นอกจากพระองค์เท่านั้น เพราะพระองค์รู้ในสิ่งที่มนุษย์นั้นไม่รู้ ซึ่งเราอาจมองพิจารณาเรื่องราวต่างๆ มากมายที่อัลลอฮฺ ทรงเล่าและเป็นข้อเตือนใจ อุทาหรณ์ เช่น
- เรื่องราวของท่านนบีมูซาที่ถูกให้ลอยไปตามแม่น้ำ หากเราพิจารณาเรื่องราวของท่านนบีมูซา ซึ่งผู้เป็นแม่ ไม่ได้รังเกียจกับการดูแลของผู้ที่โอหังที่สุดในแผ่นดิน อย่างฟิรเอาน์ โดยที่นางมั่นใจในคำสั่งของพระองค์อย่างแน่วแน่ อัลลอฮฺ ทรงกล่าวว่า
{وَاللَّهُ يَعْلَمُ وَأَنْتُمْ لَا تَعْلَمُونَ} "และพระองค์ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายไม่รู้"
( อัลบะกอเราะฮฺ 216)
- เรื่องราวของท่านนบียูซูฟ ถูกพลัดพรากจากบิดาและถูกขายเป็นทาส จนสุดท้าย อัลลอฮฺ ทรงให้เกียรติท่านนบียูซูฟเป็นผู้เฝ้าคลังสมบัติของกษัตริย์
- เรื่องราวของ ท่านนบีคิเดร ที่ฆ่าเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อัลลอฮฺ ทรงเล่าในกรุอ่าน ว่า
وَأَمَّا الْغُلَامُ فَكَانَ أَبَوَاهُ مُؤْمِنَيْنِ فَخَشِينَا أَنْ يُرْهِقَهُمَا طُغْيَانًا وَكُفْرًا فَأَرَدْنَا أَنْ يُبْدِلَهُمَا رَبُّهُمَا خَيْرًا مِنْهُ زَكَاةً وَأَقْرَبَ رُحْمًا}
"และส่วนเรื่องของเด็กนั้นก็คือ พ่อแม่ของเขาเป็นผู้ศรัทธา เรากลัวว่า เขาจะเคี่ยวเข็ญให้ทั้งสองตกอยู่ในการละเมิดและปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นเราปรารถนา(ฆ่าเขาโดยหวัง)ว่า พระผู้เป็นเจ้าของทั้งสองจะทรงเปลี่ยนลูกที่ดีกว่าให้แก่ทั้งสอง มีความบริสุทธิ์กว่าและใกล้ชิดต่อความเมตตา(แก่ทั้งสอง)"
(กะฟิฮฺ 80-81)
- ในฮะดิษ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม สอนเอาไว้ในช่วงที่สามีของนางอุมมุนซาลามะฮฺเสียชีวิต กล่าวว่า
مَا مِنْ عَبْدٍ تُصِيبُهُ مُصِيبَةٌ فَيَقُولُ : إِنَّا لِلَّهِ وَإِنَّا إِلَيْهِ رَاجِعُونَ ، اللَّهُمَّ أَجِرْنِي فِي مُصِيبَتِي ، وَأَخْلِفْ لِي خَيْرًا مِنْهَا ، إِلَّا أَجَرَهُ اللَّهُ فِي مُصِيبَتِهِ ، وَأَخْلَفَ لَهُ خَيْرًا مِنْهَا
"ไม่มีบ่าวคนใดที่เขาประสบภัยบะลาฮฺ เว้นแต่ กล่าวว่า (อินนาลิลลาฮ์ วะอินนาอิลัยฮิรอญีอูน) แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และแน่นอนพวกเราจะกลับไปยังพระองค์
โอ้ อัลลอฮฺ ขอต่อพระองค์ทรงขจัดสิ่งที่ประสบแก่ฉัน และขอพระองค์ทรงทดแทนด้วยสิ่งที่ดีกว่า อัลลอฮฺ นั้นทรงตอบแทนในสิ่งที่เขาประสบและทดแทนในสิ่งที่ดีกว่า"
(มุสลิม)
นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
لَا يَمُوتَنَّ أَحَدُكُم إِلا وَهُوَ يُحْسِنُ الظَّنَّ بِاللهِ
“คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านอย่าได้ตาย นอกจากในสภาพที่เขาคิดต่ออัลลอฮฺในแง่ดี”
(บันทึกโดยมุสลิม)