จุดยืนของปัญญาชนต่อประเด็นการผิดพลาดของนักวิชาการ
เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม
มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
ส่วนหนึ่งจากความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ที่มีต่อบรรดาปวงบ่าวของพระองค์ พระองค์ได้ส่งบรรดารอซูลมาทุกยุคทุกสมัย เพื่อทำหน้าที่เรียกร้องมนุษย์มาสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ และได้ศรัทธาต่อพระองค์ ซึ่งจะนำไปสู่การเคารพภักดีต่อพระองค์ในรูปแบบที่ถูกต้อง และรอซูลท่านสุดท้ายที่ทำหน้าที่นี้คือ ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม และหลังจากท่านได้จากโลกนี้ไป ใช่ว่าภารกิจของท่านจะจบสิ้นลง ยังมีทายาทของท่านที่สืบทอดมรดกความรู้ของท่าน ก็คือบรรดาผู้ที่มีความรู้ ที่ทำหน้าที่เจริญรอยตามท่าน ในการทำหน้าที่เผยแผ่บทบัญญัติของอัลลอฮฺ
ดังนั้นการที่ผู้รู้ได้ทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาก็เท่ากับว่าเขาได้ทำหน้าที่อันเดียวกับที่ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ได้กระทำไว้เป็นแบบอย่าง และแน่นอนในความเป็นมนุษย์ผู้รู้ทุกท่านย่อมมีข้อผิดลาด และไม่สามารถที่จะหลีกเหลี่ยงจากความผิดพลาดได้ ซึงความผิดพลาดของคนเราส่วนมากแล้วเกิดจากสาเหตุ
1. เกิดจากการพ่ายแพ้ต่ออารมณ์ใฝ่ต่ำทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิด (บุคคลทั่วไป)
2. เกิดจากการเข้าใจผิดตีความตัวบทคลาดเคลื่อนจากจุดประสงค์ที่ถูกต้องของตัวบท คือเกิดจากข้อคลุมเครือที่เกิดกับตัวเขาเองโดยที่เข้าใจว่าเขาได้กระทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว (เกิดกับผู้รู้บางท่าน)
จากสาเหตุสองประการนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งตัวผู้รู้ และบุคคลทั่วไป เพราะมนุษย์เรานั้นเป็นผู้ที่มีอารมณ์ใฝ่ต่ำเกิดขึ้นได้ รักชอบ หลงใหลในลาภยศ ทรัพย์สินสมบัติ ภรรยาและลูกหลาน ดั่งคำพูดของอัลลอฮ์ ตาอาลา ที่ว่า
"ได้ถูกทำให้สวยงาม (ลุ่มหลง) แก่มนุษย์ซึ่งความรักในบรรดาสิ่งที่เป็นเสน่ห์อันได้แก่ผู้หญิงและลูกชาย,ทองและเงินอันมากมาย และม้าดีและปศุสัตว์ และไร่นา นั่นเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์ชั่วคราวในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้เท่านั้น และอัลลอฮ์นั้นณ พระองค์ คือที่กลับอันสวยงาม"
"และเมื่อคนเรามีความผิดพลาดสิ่งที่ต้องกระทำคือ การตักเตือนชี้แนะตามมารยาทที่อิสลามได้สอนไว้ เราจะไม่ไปซ้ำเติมหรือประจานความผิดพลาดของเขา"
"และเมื่อบรรดาผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของเราได้มาหาเจ้า(มุฮัมมัด) ก็จงกล่าวเถิดว่าขอความปลอดภัยจงมีแด่พวกท่านเถิดพระเจ้าของพวกเจ้าได้กำหนดการเอ็นดูเมตตาไว้บนตัวของพระองค์ว่า ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากระทำความชั่วโดยไม่รู้แล้วเขาสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวหลังจากนั้นและปรับปรุงแก้ไขแล้ว แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตา"
(ซูเราะฮฺ อัล-อันอาม)
อายะห์นี้อัลลอฮฺได้อภัยโทษให้แก่บ่าวของพระองค์ที่ได้กระทำความผิด โดยไม่รู้และเขาได้สำนึกกลับตัวจากความผิด และจากอายะห์นี้เป็นการชี้ให้เห็นถึงคุณลักษณะของอัลลอฮฺ ที่มีต่อบ่าวของพระองค์ ก็คือความเมตตา ดังนั้นในการเป็นมนุษย์ย่อมมีความผิดพลาด และการที่นักวิชาการคนหนึ่งผิดพลาดในศาสนาใช่ว่าเขาเจตนาที่จะทำลายศาสนา บางครั้งอาจจะเกิดจากข้อคลุมเครือ หรือบางครั้งอาจจะเข้าใจจุดประสงค์ของตัวบทคลาดเคลื่อน หากเราพบว่าเขาผิดพลาดในฮุกุมของอัลลอฮฺ นักวิชาการท่านอื่นก็สามารถจะชี้แจงข้อผิดพลาดนั้นๆได้
และเมื่อพบว่านักวิชาการท่านนั้นผิดพลาดในหลักการ บรรดาคนที่รับความรู้จากนักวิชาการท่านนั้นจำเป็นต้องละทิ้งประเด็นที่ผิดพลาด ไม่ใช่ยึดถือตัวบุคคลจนไม่แยกแยะผิดถูก และบางครั้งด้วยกับการยึดติดกับตัวบุคคลจนไปตำหนิด่าทอกับนักวิชาการที่มาชี้แจงข้อผิดพลาดของนักวิชาการที่ตนเลื่อมใส แต่บุคคลที่ชี้แจงความผิดพลาดของนักวิชาการจะต้องไม่ใช้สำนวนดูถูกเหยียดหยามด่าทอ ไปลดเกียรตินักวิชาการหรือตำหนิติเตียนโจมตีใส่ร้าย หรือนักวิชาการที่เตือนนักวิชาการที่ผิดพลาด จะต้องไม่เรียกร้องผู้คนไม่ให้รับความรู้จากเขาในประเด็นที่ถูกต้อง
ท่านผู้ทรงความรู้ อิบนุลก็อยยิม ขออัลลอฮโปรดเมตตาต่อท่าน
"ใครที่มีความรู้ในบทบัญญัติศาสนา และในความเป็นจริงเป็นที่ทราบกันแท้จริงบุคคลที่ทรงเกียรติ สำหรับเขานั้นต่ออิสลามและบรรดามุสลิมมีต่ำแหน่งที่เป็นที่ยอมรับ แต่บางครั้งความบกพร่องจากความผิดพลาดเขาได้รับการอภัย และได้รับผลบุญเนื่องจากการวินิจฉัยของเขา ไม่อนุญาตให้ไปนำความผิดพลาดในเรื่องนั้น หรือไปทำลายต่ำแหน่งของเขา(ทำลายความน่าเชื่อถือ) ให้ถูกลดคุณค่าจากจิตใจของบรรดามุสลิม"
จากหนังสือ เอียะลามอัลมูวักกีอีน 3/295
แน่นอนนักวิชาการที่เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้คนอย่างกว้างขวางเมื่อเกิดความผิดพลาดในฮุกุมของอัลลอฮฺ นักวิชาการที่ทำการชี้แจง จะต้องมีความละเอียดอ่อนรอบคอบในสำนวนการชี้แจง จะต้องไม่ใช้สำนวนด่าทอ ตำหนิ หรือไปลดความน่าเชื่อถือของนักวิชาการท่านนั้นๆ
สำหรับในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นฟิตนะห์แห่งยุคที่มีการตอบโต้กันระหว่างนักวิชาการ ผู้ที่ออกมาทำการชี้แจงข้อผิดพลาดของนักวิชาการท่านหนึ่งๆ โดยใช้สำนวนตำหนิด่าทอ จนใครได้ยินการชี้แจงจะรู้สึกว่านักวิชาการคนนั้นไม่เหลือความดีอยู่เลย เสมือนว่าความดีที่ทำมามากมายหมดสิ้นไป ด้วยกับข้อตำหนิบางประการ และยังเรียกร้องผู้คนไม่ให้ไปรับความรู้ในประเด็นที่ถูกต้อง การกระทำนี้ถือว่าเป็นการค้านกับแนวทางของชาวสลัฟ และไม่ยอมแพ้จากนักวิชาการที่เตือนในความผิดพลาด เมื่อรับรู้ความผิดพลาดของนักวิชาการที่ตัวเองให้ความเชื่อถือ จึงไม่ยอมปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องที่ชี้แจงไว้ และยังคงปฏิบัติตามสิ่งที่ผิดเพราะยึดติดในตัวบุคคล
สำหรับแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องก็คือ ยังคงให้เกียรตินักวิชาการในประเด็นที่ผิดพลาด ไม่ไปลบลู่หรือลดความน่าเชื่อถือ และไม่ปฏิบัติตามในสิ่งที่ผิดพลาด แต่ยังคงรับความรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง
ดังนั้นบรรดาผู้รู้ก็เป็นปถุชนคนธรรมดาที่ไม่สามารถจะรอดพ้นจากความผิดพลาดได้ และด้วยเหตุนี้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม จึงได้สอนให้ประชาชาติของท่านได้มีการตักเตือนกัน
จากท่านอบู รุก็อยยะฮฺ นั่นคือ ตะมีม อิบนุ เอาสฺ อัด-ดารีย์ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ เล่าว่า:
ท่านนบี ﷺ กล่าวว่า “ศาสนาคือ การตักเตือน”
พวกเราถามว่า: เพื่อใครล่ะ ?
ท่านนบี ﷺตอบว่า “เพื่ออัลลอฮฺ เพื่อคัมภีร์ของพระองค์ เพื่อศาสนาทูตของพระองค์ เพื่อบรรดาผู้นำมุสลิม และเพื่อบรรดามุสลิมทั่วไป”
(หะดีษบันทึกโดยมุสลิม )
การตักเตือนกันให้เกิดสิ่งที่ดีๆ เตือนกันให้เคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ ให้ถูกต้อง เตือนกันให้ได้ปฏิบัติตามท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม และให้ได้เข้าใจอัลกุรอ่าน เตือนกันให้เชื่อฟังผู้นำ และเตือนบุคคลทั่วไปด้วยกับการสอนพวกเขาให้เข้าใจคำสอนของศาสนา ให้ได้ปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์
สำหรับการตักเตือนนั้นต้องมีจุดประสงค์ดังต่อไปนี้
1. ต้องตักเตือนด้วยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ
2. ในการตักเตือนมีจุดประสงค์ให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขและเจตนาที่จะให้มีสิ่งที่ดีๆเกิดขึ้น
3. เพื่อต้องการให้สิ่งที่ถูกต้องเกิดขึ้น
ท่านอิหม่ามอัชชาฟีอียฺ รอฮิมาอุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า
"คำพูดที่ถูกต้องของฉันอาจจะผิดพลาดก็ได้ และคำพูดที่ผิดพลาดของบุคคลอื่นจากฉันอาจจะถูกต้องก็ได้ และไม่ว่าฉันจะโต้แย้งกับใคร ฉันจะขอต่ออัลลอฮฺให้ความจริงปรากฎจากคำพูดของฉัน หรือจากคำพูดของบุคคลที่โต้แย้งกับฉัน"
4. และจะต้องระวังสำนวนการตักเตือนที่ยิ่งทำให้ผู้ที่ถูกตักเตือน ยิ่งหนักแน่นที่จะอยู่กับความผิดพลาด และยิ่งทำสิ่งที่ผิดพลาดเพิ่มมากขึ้นอีก
การตักเตือน คือ เพื่อต้องการให้เกิดความดีและความบริสุทธิ์ และทุกคนย่อมต้องการคำตักเตือนและคำชี้แนะ เพราะทุกคนมีความบกพร่อง ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่เป็นการวินิจฉัยจากบรรดาอิหม่ามมัสฮับต่างๆ หรือจะเป็นผู้รู้คนใด และภายหลังพบว่ามีคนมาชี้แจงความผิดพลาดของนักวิชาการเหล่านั้นด้วยกับหลักฐานที่ถูกต้อง เราจำเป็นต้องละทิ้งคำพูดของบรรดานักวิชาการแต่ยังคงให้เกียติรต่อนักวิชาการเหล่านั้น ไม่ไปลบลู่หรือด่าทอพวกเขา ขอดุอาต่ออัลลอฮฺ ได้เมตตาแก่พวกเขา และอภัยโทษต่อข้อบกพร่องและความผิดพลาดของพวกเขา
ขออัลลอฮ์ ได้ประทานทางนำที่ถูกต้องและให้เราได้เจริญตามแนวทางของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม และเหล่าศอหาบะห์ของท่าน อามีน