ความสำคัญของละหมาดญามาอะที่มัสยิด
  จำนวนคนเข้าชม  13257


ความสำคัญของละหมาดญามาอะที่มัสยิด 

เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม

 

มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก  

          แน่นอนหากเราจะพูดในเรื่องการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ คงไม่มีใครปฏิเสธว่า การละหมาดมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และการละหมาดฟัรฎู 5 เวลาเป็นสิ่งที่จำเป็นแก่มุสลิมที่บรรลุศาสนะภาวะ มีสติปัญญาสมบูรณ์ เขาจะต้องละหมาดวันละ 5 เวลา 

          เมื่อละหมาดมีความจำเป็น และสำหรับผู้ชายนั้นจะต้องไปละหมาดที่มัสยิดรวมกัน ในประเด็นการละหมาดรวมกันที่มัสยิดบรรดานักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันออกไป ซึ่งเป็นรุกุนหนึ่งจากรุกุนอิสลามที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก อัลลอฮ์ ได้มีบัญญัติให้ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ขึ้นไปรับบทบัญญัติการละหมาดบนชั้นฟ้า และเป็นสิ่งแรกที่คนเราจะถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺ 

 มีรายงานจากอับดุลลอฮ์ บิน อุมัร เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา แท้จริงท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า 

"การละหมาดรวมกัน(ที่มัสยิด) มีความดีงามมากกว่าการละหมาดคนเดียวถึง 27 เท่า "

(บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ )

          นี่คือความประเสริฐของการละหมาดที่มัสยิด ที่ชี้ให้เห็นว่าการละหมาดรวมกันนั้นมีความดีงามและมีความประเสริฐมากกว่าการละหมาดคนเดียว และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ต้องการให้ประชาชาติของท่านละหมาดรวมกันที่มัสยิด ท่านจึงส่งเสริมบรรดามุสลิมให้เห็นความสำคัญของการละหมาดที่มัสยิด ท่านได้กล่าวว่า 

عن عثمان بن عفان رضي الله عنه قال: سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول: " من صلى العشاء في جماعة فكأنما قام نصف الليل ، ومن صلى الصبح في جماعة فكأنما صلى الليل كله " ([11])

          มีรายงานจากท่านอุสมาน เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

"ใครได้ละหมาดอีชาอ์รวมกัน(ญามาฮะ) เสมือนว่าเขาละหมาดครึ่งคืน และใครได้ละหมาดซุบห์รวมกันเสมือนว่าเขาละหมาดทั้งคืน"

(บันทึกโดยมุสลิม )

 

وعن أبي هريرة- رضي اللّه عنه- قال: قال رسول اللّه صلّى اللّه عليه وسلّم: «إنّ أثقل صلاة على المنافقين صلاة العشاء وصلاة الفجر، ولو يعلمون ما فيهما لأتوهما ولو حبوا، ولقد هممت أن آمر بالصّلاة فتقام، ثمّ آمر رجلا، فيصلّي بالنّاس، ثمّ أنطلق معي برجال معهم حزم من حطب إلى قوم لا يشهدون الصّلاة فأحرّق عليهم بيوتهم بالنّار»([12])

          มีรายงานจากอบีอุรัยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เขาได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ได้กล่าว 

          "แท้จริง การละหมาดที่หนักหน่วงแก่บรรดาผู้กลับกลอก ก็คือละหมาด อีชาอ์ และหมาดอัลฟัจรฺ(ละหมาดซุบห์) และหากพวกเขาทราบสิ่งที่มีอยู่ในละหมาดทั้งสองนั้น(ความดีผลบุญ) แน่นอนพวกเขาต้องมาละหมาดทั้งสองนั้น ถึงแม้พวกเขาจะคลานมาก็ตาม 

          และแท้จริงฉันตั้งใจที่จะใช้ให้มีการละหมาดแล้วได้มีการอิกอมะห์ขึ้น หลังจากนั้น ฉันจะใช้ชายคนหนึ่ง ให้เขานำละหมาดแก่ผู้คน แล้วให้ชายกลุ่มหนึ่งไปพร้อมกับฉัน โดยนำมัดไม้ฟืนไปยังกลุ่มชนที่ไม่มาร่วมละหมาดญามาฮะ แล้วฉันจะเผาบ้านของพวกเขาด้วยกับไฟ"

 

          ดังนั้นสำหรับมุสลิมที่ไม่มีอุปสรรคใดๆสมควรอย่างยิ่งที่จะไปละหมาดรวมกันที่มัสยิด ถึงแม้บรรดานักวิชาการอาจจะมีความเห็นแตกต่างกันออกไปในฮุกุมการละหมาดรวมกันที่มัสยิด แต่ที่มีน้ำหนักแล้วการละหมาดญามาฮะรวมกันเป็นวาญิบจำเป็นสำหรับผู้ที่ไม่มีอุปสรรคใดๆ ด้วยกับหลักฐานมากมาย แม้กระทั่งในยามศึกสงครามก็ยังใช้ให้มีการละหมาดรวมกัน และคนในยุคศอหาบะห์พวกเขาให้ความสำคัญในการละหมาดรวมกันที่มัสยิด จนกระทั่งเป็นที่รู้ดีแก่ศัตรูอิสลามถึงข้อนี้ พวกเขาเลยมักจะอาศัยเวลาละหมาดไปสังหารบุคคลสำคัญ เช่น ท่านอุมัร บิน ค็อตตอบ รอฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ถูกสังหารขณะนำละหมาด แม้กระทั่งท่านอาลี ก็ถูกสังหารขณะที่จะละหมาดซุบห์  

อัลลอฮ์ ตรัสความว่า

          "และเมื่อเจ้าอยู่ในหมู่พวกเขา แล้วเจ้าได้ให้มีการปฏิบัติละหมาดขึ้นแก่พวกเขา ดังนั้น กลุ่มหนึ่งจากพวกเจาก็จงยืนละหมาดร่วมกับเจ้า และก็จงเอาอาวุธของพวกเขาถือไว้ด้วย ครั้นเมื่อพวกเขาสุยูดแล้ว พวกเขาก็จงอยู่เบื้องหลังของพวกเจ้าและอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังมิได้ละหมาดก็จงมา และจงละหมาดร่วมกับเจ้า

          และจงยึดถือไว้ซึ่งการระมัดระวังของพวกเขา และอาวุธของพวกเขา บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น หากว่าพวกเจ้าละเลยอาวุธของพวกเจ้า และสัมภาระของพวกเจ้าแล้ว พวกเขาก็จะจู่โจมพวกเจ้าอย่างรวดเร็ว

          และไม่มีบาปใด ๆ แก่พวกเจ้า-หากว่าที่พวกเจ้ามีความเดือดร้อน เนื่องจากฝนตกหรือพวกเจ้าป่วย-ในการที่พวกเจ้าจะวางอาวุธของพวกเจ้า และพวกเจ้าจงยึดถือไว้ ซึ่งการระมัดระวังของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺทรงเตรียมไว้แล้ว ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย"

ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ (An-Nisaa) อายะห์ 102

          และอีกมากมายจากหลักฐานที่มาสนับสนุนในเรื่องความเป็นในการละหมาดญามาฮะ เช่นอายะห์ข้างต้นแม้ภาวะสงครามอัลลอฮ์ ยังมีบทบัญญัติให้ละหมาดรวมกัน ซึงเรียกว่า การละหมาดในยามที่กลัว ดังนั้นผู้ศรัทธาอย่าได้เพิกเฉยต่อการละหมาดรวมกันที่มัสยิด เพราะคุณลักษณะหนึ่งของบรรดาผู้กลับกลอก คือ การไม่มาละหมาดที่มัสยิด 

 

         ดังนั้นบรรดานักศึกษา ครูบาอาจารย์สมควรอย่างยิ่งที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้คนในเรื่องการมาละหมาดรวมกันที่มัสยิด เพื่อเราจะได้รับความดีอันมากมาย และบทบัญญัติของอัลลอฮฺไม่สร้างความเดือดร้อนแก่มนุษย์อย่างแน่นอน หากคนเราปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาด้วยการยึดมั่น เคร่งครัดในหลักศาสนา ประโยชน์ต่างๆจะเกิดแก่ตัวของเขา และการที่อัลลอฮ์ ได้มีบทบัญญัติอันหนึ่งย่อมมีประโยชน์แก่มนุษย์แน่นอน

 

ประโยชน์ที่จะได้รับจากการละหมาดรวมกันที่มัสยิด 

 

     1. สร้างความสามัคคีความร่วมมือในสังคมมุสลิม จากการที่ผู้คนมาละหมาดรวมกันที่มัสยิด มีอิหม่ามนำละหมาด มันสะท้อนถึงความมีเอกภาพในสังคมมุสลิม 

 

     2. แต่ละคนได้รู้หน้าที่ของตัวเองอิหม่ามได้รู้หน้าที่การเป็นผู้นำของเขา ไม่ใช่แค่นำผู้คนเฉพาะเรื่องการละหมาด อิหม่ามต้องนำผู้คนในสิ่งที่เป็นความดีที่มีคำสั่งจากอัลลอฮฺและรอซูล และมะมูมก็ต้องเป็นผู้ตามอิหม่ามผู้นำในสิ่งที่อิหม่ามขอความร่วมมือ โดยที่สิ่งนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ 

 

     3. ได้เกิดการช่วยเหลือกันระหว่างมุสลิมจากการที่ผู้คนมาละหมาดรวมกันที่มัสยิดได้ทำความรู้จักกัน และมีความสนิทสนมกันอันจะก่อให้เกิดการร่วมมือช่วยเหลือซึงกันและกัน เช่น คนที่มาละหมาดมัสยิดอย่างสม่ำเสมอเมื่อเขาหายหน้าจากมัสยิด บางครั้งอาจจะเพราะความเจ็บป่วย แน่นอนเพื่อนๆก็ต้องถามหา และนำมาซึงการไปเยี่ยมเยียนและช่วยเหลือกัน 

 

     4. การละหมาดแสดงออกซึงสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ของอิสลาม 

 

     5. การละหมาดคือสิ่งที่มาสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างคนจนและคนรวย ไม่ว่าคนจะมีตำแหน่งอะไรเมื่อมาละหมาดรวมกัน ต้องเข้าแถวเดียวกัน ชิดๆกันโดยไม่แบ่งชั้นวรรณะและสีผิว ดังนั้นการละหมาดถือว่าเป็นวิธีหนึ่งที่มาสลายการแบ่งแยกชนชั้น และอีกมากมายที่เป็นประโยชน์จากการละหมาด

 

          ดังนั้นมุสลิมทั้งหลายอย่าเพิกเฉยต่อการละหมาดรวมกันที่มัสยิด เพราะการที่เราไม่ไปละหมาดญามาอะที่มัสยิดจะทำให้ความดีมากมายผ่านพ้นเราไป