การสังหารหมู่ที่ปฏิบัติโดยยิวต่อพี่น้องปาเลสไตน์
  จำนวนคนเข้าชม  12388

ส่วนหนึ่งของการสังหารหมู่ที่ปฏิบัติการโดยยิวต่อพี่น้องปาเลสไตน์


1. การสังหารหมู่ที่ ดีร์ยาซีน

          กลุ่มก่อการร้ายยิวที่นำโดย  นายเบกิน  นายชารอน  และเดวิด เบนกูเรียน ได้บุกจู่โจมหมู่บ้าน  ดีร์ยาซีน ซึ่งมีประชากรจำนวน  600  คน  ท่ามกลางความเงียบสงัดในคืนหนึ่ง ขณะที่ทุกคนกำลังหลับสนิท  กลุ่มก่อการร้ายยิวก็ได้บุกจู่โจมทุกครัวเรือน  พวกเขาได้เข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมแม้กระทั่งเด็กเล็ก  ผู้หญิง  แม้กระทั่งสัตรีมีครรภ์ก็ถูกคว้านท้องอย่างอนาถ  ใบหูและนิ้วมือของผู้หญิงถูกเฉือนตัดไปเพราะต้องการปล้นสะดมตุ้มหูและแหวนที่นางสวมใส่  ชาวยิวได้กราดยิงชาวบ้านตั้งแต่ตี  2  เที่ยงคืนจนกระทั่งเที่ยงวันรุ่งขึ้น  ทำให้ผู้คนเสียชีวิตจำนวน  360  คน  เหยื่อการก่อการร้ายในครั้งนี้ส่วนมากแล้วคือ  เด็ก  สตรีและคนแก่เฒ่า


2. การสังหารหมู่ที่  กุฟร์ กอซิม  (29/10/1956)

         ทหารก่อการร้ายยิวได้บุกจู่โจมหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อกุฟร์ กอซิม  พร้อมประกาศห้ามพลเมืองออกจากบ้าน  ผู้ใดที่กลับบ้านช้ากว่าที่กำหนดก็ถูกยิงทิ้งอย่างทารุณ  กระสุนของพวกเขาไม่แยกแยะระหว่างเด็กเล็ก  สตรี  คนแก่คนเฒ่า  ทหารก่อการร้ายยิวได้ฆ่าพลเมืองทั้งหมด  49  คนและบาดเจ็บจำนวนมาก


3. การสังหารหมู่ที่หมู่บ้านกิบยะฮฺ     (14/10/1953)

        กิบยะฮฺ   เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีประชากรประมาณ  200  คน  หน่วยก่อการร้ายยิวจำนวน  600  คนพร้อมอาวุธหนัก  ที่นำโดย นายชารอน  ได้บุกจู่โจมหมู่บ้านนี้เป็นเวลานานถึง  32  ชั่วโมงติดต่อกัน  เป็นผลให้บ้านเรือนจำนวน  56  หลังพังย่อยยับ มัสยิดและโรงเรียนถูกถล่มราบคาบ  ผู้เสียชีวิตทั้งชายหญิงและเด็กๆจำนวน  67  คน  และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก


4. การสังหารหมู่ที่มัสยิดอัลอักซอ


         หน่วยก่อการร้ายยิวได้บุกโจมตีมัสยิดอัลอักซอและเข่นฆ่าพี่น้องมุสลิมที่กำลังละหมาดในมัสยิด    อัลอักซอจำนวน  3  ครั้ง  เริ่มตั้งแต่ปีค.ศ. 1990 , 1996 และ 2000  ตามลำดับ


         การฆาตกรรมในปีคศ.  1990  เกิดขึ้นก่อนละหมาดซุฮริเพียงเล็กน้อย สาเหตุมาจากกลุ่มก่อการร้ายยิวจำนวนหนึ่งได้เข้ามาบริเวณมัสยิดอัลอักซอและได้วางศิลารากฐานสร้างโดมสุไลมานตามความเชื่อของพวกเขา  ทำให้มุสลิมที่อยู่บริเวณนั้นไม่พอใจและขัดขวางการกระทำดังกล่าว  กลุ่มก่อการร้ายยิวจึงบุกเข้าไปในมัสยิดอัลอักซอและกราดยิงใส่ผู้ที่กำลังละหมาดทำให้มีผู้เสียชีวิต  21  คน  บาดเจ็บ  150  คน  ถูกจับ  270  คน


         สำนักข่าวฝรั่งเศสได้รายงานว่า  “เลือดของเหยื่อการก่อการร้ายได้ไหลเป็นแนวยาวกว่า  200  เมตร  ผู้บาดเจ็บได้แหวกว่ายในทะเลเลือด ผู้คนล้มตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก  มันเป็นภาพที่น่าเวทนาและเศร้าสลดเหนือคำบรรยาย”


         สำหรับการ ฆาตรกรรมที่มัสยิดอัลอักซอครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อ  28 /9/2000  หลังจากที่ชาวมุสลิมได้ประท้วงนายชารอน  พร้อมด้วยทหารก่อการร้ายของเขาที่เข้ามาเยือนมัสยิดอัลอักซอ  เวลาประมาณ  9.00 น.ในเช้าวันศุกร์  ชาวมุสลิมนับหมื่นได้รวมตัวกันที่มัสยิดอัลอักซอเพื่อละหมาดวันศุกร์ ในขณะที่ทหารก่อการร้ายยิวนับหมื่นคนได้ปิดล้อมมัสยิดอัลอักซอ  ก่อนที่ชาวมุสลิมจะละหมาดวันศุกร์เสร็จ  ทหารยิวจำนวน  250 คน ได้บุกเข้าไปในมัสยัดอัลอักซอและกราดยิงผู้ที่กำลังละหมาดอย่างบ้าคลั่ง  เป็นผลให้  7  คนเสียชีวิตและ  250  คนบาดเจ็บสาหัส  หลังจากนั้นเกิดการปะทะอย่างรุนแรงระหว่าง  2  ฝ่าย  หน่วยก่อการร้ายยิวได้ใช้เฮลิคอปเตอร์กราดยิงเข้าไปในมัสยิด  พวกเขาได้ปิดล้อมโรงพยาบาลในบริเวณอัลกุดส์  เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ผู้บาดเจ็บถูกลำเลียงเข้าไปในโรงพยาบาล


5. การสังหารหมู่ที่มัสยิดอิบรอฮีมี  ที่หมู่บ้านอัลคอลีล

         ฆาตกรรมอันน่าสยดสยองนี้เกิดขึ้นวันที่  15  รอมฎอน  1414  (1994)  ขณะที่ชาวมุสลิมกำลังละหมาดซุบฮิและกำลังก้มสุญูด ทันใดก็มีเสียงกำปนาทกึกก้องด้วยเสียงปืนและระเบิดที่หน่วยก่อการร้ายยิวได้กระหน่ำยิงผู้ที่กำลังละหมาด  เป็นเหตุให้คร่าชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจำนวน  350  คน  พวกเขาได้ล้อมมัสยิดอิบรอฮีมีและไม่อนุญาตให้ผู้คนเข้าออกได้  เพื่อสกัดฝูงชนมิให้ปฐมพยาบาลเหยื่อกระสุนที่อยู่ในมัสยิด  หน่วยก่อการร้ายยิวได้กราดยิงมุสลิมที่พยายามเข้ามาช่วยเหลือพี่น้องที่อยู่ในมัสยิด  พวกเขาได้เข่นฆ่าพี่น้องมุสลิมแม้กระทั่งขณะนำศพไปยังสุสานหรือช่วงที่พี่น้องมุสลิมรวมตัวเพื่อบริจาคโลหิตแก่ผู้บาดเจ็บ


6. การสังหารหมู่ที่ค่ายอพยพศ็อบรอ และชาติลลา

         ปฏิบัติการอันป่าเถื่อนนี้เป็นผลจากความร่วมมือระหว่างยิวกับชาวคริสเตียนที่เลบานอน  โดยการนำของนายชารอน  รัฐมนตรีว่าการสงครามของรัฐก่อการร้ายอิสราเอล  เกิดขึ้นในเข้าตรู่วันที่  15/9/1982  โดยที่กองกำลังผสมระหว่างยิวและคริสเตียนได้บุกจู่โจมผู้อพยพทั้ง  2  แห่งที่ ศ็อบรอ และ ชาติลลา การปฏิบัติการอันป่าเถื่อนนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น  36  ชั่วโมง  พวกเขาได้ปิดล้อมค่ายผู้อพยพพร้อมทั้งจู่โจมด้วยสารพัดอาวุธเป็นผลให้มี ผู้เสียชีวิต  3,500  คน  เหยื่อคนหนึ่งที่รอดชีวิตเล่าว่าหน่วยก่อการร้ายได้ใช้มีด  ฟันแทงเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย  พวกเขาได้ขุดหลุมขนาดใหญ่และกลบผู้คนทั้งๆ ที่มีชีวิต  พวกเขาได้บุกเข้าไปยังห้องนอนและเข่นฆ่าไม่เว้นลูกเล็กเด็กแดง แม้กระทั่งหญิงมีครรภ์ก็ถูกคว้านท้องอย่างสยดสยอง  ในขณะที่รถทหารจำนวนหนึ่งได้เข้าไปเหยียบย่ำเต้นท์ที่มีผู้คนอาศัยอยู่จนราบเป็นหน้ากลอง

         นี่คือเสี้ยวหนึ่งของมหกรรมการก่อการร้ายของยิวที่มีต่อพี่น้องมุสลิมชาวปาเลสไตน์  นับตั้งแต่การก่อตั้งรัฐอันธพาลอิสราเอลเมื่อปี  ค.ศ.  1948  พี่น้องมุสลิมปาเลสไตน์ยังไม่เคยหลับตาพักผ่อนจากการทำลายล้างที่รุนแรงและเหี้ยมโหดที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  พวกเขาไม่มีสิทธิที่จะใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์แม้กระทั่งในบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง  พวกเขาถูกไล่ล่าจองล้างจองผลาญ แม้กระทั่งต้องกระเสือกกระสนเข้าพำนักในศูนย์อพยพที่มีสหประชาชาติเป็นผู้ดูแลอุปถัมภ์ ซึ่งก็กลายเป็นสุสานดีๆนี่เอง  คำสุภาษิตที่ว่าหนีเสือปะจระเข้  ดูเหมือนว่าจะน้อยไปสำหรับชะตาชีวิตของชาวปาเลสไตน์


         รัฐอันธพาลอิสราเอล ไม่ผิดอะไรกับคนบ้าคลั่ง ไร้สติ ซาดิสม์ แต่ที่น่าตกใจมากกว่านี้ เด็กบ้าคนนี้ได้รับการเอาใจใส่และดูแลเป็นอย่างดีจากผู้เป็นพ่อคือสหรัฐอเมริกา ทุกครั้งที่เด็กบ้าคนนี้ไปอาละวาดแสดงความป่าเถื่อนต่อพี่น้องชาวปาเลสไตน์ และสังคมโลกพากันรุมประณาม  เราจะเห็นว่าจะมีคุณพ่อใจทรามคอยชมดูอยู่ห่างๆ และพร้อมปกป้องลูกเกเรของตนอยู่เสมอ มีรายงานยืนยันว่า ระหว่างปี 1972 ถึง1996 สหรัฐอเมริกาใช้สิทธิวีโต้ในที่ประชุมสหประชาชาติจำนวน 30 ครั้งเพื่อยับยั้งมิให้สังคมโลกประณามรัฐบาลทมิฬอิสราเอลตามมติสหประชาชาติ นายเบนกูเรียน เคยกล่าวว่า มติสหประชาชาติหรือมติที่ประชุมใดๆ ขอให้ถือเป็นนวนิยายในตำราที่ถูกบันทึกในกระดาษเท่านั้น  ไม่มีทางที่จะสร้างแรงกดดันต่ออิสราเอล ใดๆ ทั้งสิ้น และอิสราเอลไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อตกลงเหล่านั้น


         ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2552 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ 14 ประเทศได้ประณามการโจมตีของรัฐอันธพาลอิสราเอล พร้อมสั่งให้มีการหยุดยิงและถอนทหารจากฉนวนกาซ่าโดยทันที มีประเทศเดียวเท่านั้นที่ได้แสดงจุดยืนอย่างเสมอต้นเสมอปลายเกี่ยวกับเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้ด้วยการงดออกเสียง เข้าข้างลูกเกเรของตนอย่างน่าเกลียดและไร้ยางอายที่สุด ประเทศนั้นคือสหรัฐอเมริกา ผู้สถาปนาตนเองเป็นตำรวจโลกและผู้ปราบปรามก่อการร้ายทั่วโลกยกเว้นรัฐอันธพาลอิสราเอล


7. การเผามัสยิดอัลอักซอ

           แผนการอันชั่วร้ายประการหนึ่งของหน่วยก่อการร้ายยิวคือแผนการทำลายมัสยิดอัลอักซอเพื่อสร้างโดมสุไลมานตามความเชื่อที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นมา

          การเผามัสยิดอัลอักซอเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี  1969  โดยเด็กหนุ่มคริสเตียนได้เข้าไปจุดไฟเผามัสยิดอัลอักซอทำให้แท่นมิมบัรศอลาหุดดีนถูกไฟไหม้  และเนื้อที่มัสยิดประมาณ  1,500  ตร.ม.  ได้รับความเสียหาย  รัฐบาลอิสราเอลได้จับกุมหนุ่มคริสเตียนคนนั้น  และแสดงละครตบตาว่าหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีสติไม่สมประกอบ  จึงปล่อยตัวไป  มีรายงานยืนยันว่าขณะที่ไฟไหม้มัสยิดอัลอักซอนั้น  น้ำประปาถูกตัดขาดและไม่มีใครสามารถมาดับไฟได้แม้กระทั่งรถดับเพลิงประจำเมืองกุดส์


          พลันที่ยิวประกาศเป็นประเทศอิสราเอลตามสนธิสัญญาบัลฟอร์เมื่อปีค.ศ.1917 แรบไบ  คนหนึ่งพร้อมด้วยสมาชิกไซออนิสต์ได้ยื่นหนังสือต่อรัฐบาลอังกฤษ เพื่อเข้าไปครอบครองเมืองกุดส์ โดยมีวัตถุประสงค์ทำลายมัสยิดอัลอักซอและสร้างโดมสุไลมานแทนที่


         เมื่อปีค.ศ.1930 แรบไบชาวโรมาเนีย ชื่อโรซันเบอร์กได้ส่งหนังสือถึงประธานสภาชะรีอะฮฺอิสลาม และประธานผู้พิพากษาแห่งปาเลสไตน์โดยเรียกร้องให้ส่งมอบมัสยิดอัลอักซอแก่ยิว เพื่อจะได้สร้างโดมสุไลมานและศาสนสถานยิวอื่นๆ แทนที่ เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความโกรธแค้นแก่ชาวปาเลสไตน์เป็นอย่างมาก


          เมื่อปีค.ศ. 1967 เดวิด เบนกูเรียนได้ประกาศอย่างอหังการว่า ไม่มีความหมายใดๆ สำหรับอิสราเอลหากปราศจากกุดส์ และไม่มีคุณค่าใดๆ สำหรับกุดส์หากไม่สามารถกระชากสถานที่สร้างโดมอิสมาอีลจากคนอาหรับ


            ชาวยิวแอบอ้างว่าสถานที่สร้างมัสยิดอัลอักซอและมัสยิมโดม(ทรงแปดเหลี่ยม)ในปัจจุบันนั้น เคยเป็นที่ตั้งของโดมสุไลมาน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่จะทำลายทั้งสองมัสยิดดังกล่าว เพื่อสร้างโดมสุไลมานแทนที่


           มีคนถามนักประวัติศาสตร์ชาวอิสราเอลคนหนึ่ง เกี่ยวกับผลสุดท้ายของมัสยิดโดมและมัสยิดอัลอักซอ จะเป็นเช่นไรหากมีการสร้างโดมสุไลมานขึ้นมาแทนที่ นักประวัติศาสตร์คนนั้นตอบว่า จะต้องมีการศึกษาต่อไป แต่บางทีอาจเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนสามารถทำลายมัสยิดของชาวมุสลิมก็เป็นได้


          นอกจากนี้ หน่วยก่อการร้ายยิวโดยเฉพาะหน่วยราชการลับ Mossad เป็นหน่วยที่มีชื่อเสียงด้านทารุณกรรมนักโทษที่ผิดวิสัยของมนุษย์  โดยเฉพาะนายชารอน ที่เป็นจอมซาดิสม์ซึ่งหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในทุกครั้งที่เขาเห็นการทารุนกรรมของเหยื่อ

 

ที่มา : จากหนังสือ"ปาเลสไตน์ แผ่นดินที่ไร้ประชาชน เพื่อทรชนผู้ไม่มีแผ่นดิน"

ผู้เขียน : มัสลัน มาหะมะ

الكاتب : مرسلان محمد

สถาบันอัสสลาม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา