คนตายสามารถยังประโยชน์ให้คนเป็นได้หรือไม่ ?
เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม
มวลการสรรแสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
อัลลอฮฺ ซุบหานาฮูวาตาอาลาได้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มา และสร้างมนุษย์และญินมาเพื่อให้ทำการเคารพภักดีต่อพระองค์ นี่คือหลักความเชื่อของบรรดามุสลิม และการทำการเคารพภักดีนั้นต้องทำเพื่ออัลลอฮฺพียงพระองค์เดียว จะต้องไม่นำสิ่งอื่นมาหุ้นส่วนในการเคารพภักดีต่อพระองค์ และคนเรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ด้วยเวลาที่จำกัด สุดท้ายแล้วทุกคนจะต้องจบชีวิตและจะต้องจากโลกนี้ไป สิ่งที่เหลืออยู่หลังจากความตายก็คือ การงานต่างๆที่เขาได้กระทำไว้ ซึงแน่นอนการงานของคนเรามีทั้งสิ่งที่เป็นการงานที่ดี และสิ่งที่เป็นการงานที่ไม่ดี
"แต่ละชีวิตนั้น จะได้ลิ้มรสแห่งความตาย
และแท้จริงที่พวกเจ้าจะได้รับรางวัลของพวกเจ้าโดยครบถ้วนนั้น คือวันปรโลก
แล้วผู้ใดที่ถูกให้ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้เข้าสวรรค์แล้วไซร้ แน่นอน เขาก็ชนะแล้ว
และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้น มิใช่อะไรอื่นนอกจากสิ่งอำนวยประโยชน์แห่งการหลอกลวงเท่านั้น"
(สูเราะห์อาลอิมรอน ๑๘๕)
"ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ความตายก็ย่อมมาถึงพวกเจ้า
และแม้ว่าพวกเจ้าจะอยู่ในป้อมปราการอันสูงตระหง่านก็ตาม"
(อันนิซาฮฺ ๗๘)
นี่คือสัจธรรมแห่งความตาย ที่ทุกคนไม่สามารถหลีกหนีได้ และแน่นอนคนเราหลังจากตายไปแล้วการงานของเขาก็จบสิ้น คนอื่นไม่สามารถที่จะมาละหมาดแทนเขาได้ ไม่สามารถจะถือศีลอดให้แก่เขา(ยกเว้นการถือศีลอดที่เขาได้บนบานไว้) การงานส่วนมากของเขาจะขาดตอนไป ดังนั้นขณะที่มีชีวิตอยู่ มุสลิมผู้ศรัทธาต้องไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่เขาไม่ได้ฉกฉวยเวลาเหล่านั้นให้ไปทำความดีเพื่ออัลลอฮฺ และการที่คนเราไม่ได้ทำความดีขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ โดยหวังให้คนอื่นทำให้หลังจากที่ตัวเองเสียชีวิตไปแล้วถือว่าเป็นการคิดที่ผิด
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
"เมื่อมนุษย์เราได้สิ้นชีวิตลง การงานของเขาก็สิ้นสุดลง เว้นแต่สามอย่าง คือ
การบริจาคที่ยังถูกใช้ประโยชน์อยู่ หรือความรู้ที่ยังประโยชน์แก่เขา หรือลูกที่ดีที่ขอดุอาให้แก่เขา"
(บันทึกโดย มุสลิม ๑๖๓๑)
มีรายงานจากท่านอนัส รอฎิยัลลอฮูอันฮูเขาได้กล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
"เจ็ดประการที่จะทำให้บ่าวยังคงได้รับผลบุญจากมัน ในขณะที่เขาเสียชีวิตอยู่ในหลุมฝังศพ
♥ ใครที่ได้สอนความรู้
♥ หรือได้ได้ขุดธารน้ำไหล
♥ หรือได้ขุดบ่อน้ำ
♥ หรือได้ปลูกต้นอินทผาลัม(เป็นการยกตัวอย่างต้นไม่อื่นก็ได้บุญเช่นกัน)
♥ หรือสร้างมัสยิด
♥ หรือได้ทิ้งมรดกที่เป็นอัลกุรอ่าน
♥ หรือมีลูกที่คอยขออภัยโทษให้แก่เขา หลังจากที่เขาได้เสียชีวิตไปแล้ว "
ท่านเชคอัลบานีย์ได้รับรองหะดีษนี้เป็นหะดีษที่ดี จากหนังสือ ซอเอียะอัตตัรฆีบ นี่คือความดีบางอย่างที่ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วจะได้รับประโยชน์ สรุปคือ ผู้ที่ตายไปแล้วนั้นสามารถได้รับประโยชน์บางอย่างจากคนที่มีชีวิตอยู่ แต่ผู้ที่มีชีวิตอยู่ไม่สามารถที่จะให้ผู้ที่ตายไปแล้วช่วยเหลือเขาได้ ไม่ว่าผู้ที่ตายไปแล้วจะเป็นใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นนบี หรือบรรดาคนดีๆ ที่เป็นคนรักของอัลลอฮ พวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถจะยังประโยชน์ใดๆให้กับเราได้
ประเด็นของคนเป็นไปขอความช่วยเหลือจากคนตายจะมีฮุกุมข้อตัดสินอย่างไรในการกระทำเช่นนั้น
การอิบาดะห์นั้น จะต้องมอบให้อัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียวไม่มีหุ้นส่วนใดๆ ในการเคารพภักดีต่อพระองค์ ดังนั้นเหมือนที่เราทราบกันดีว่า คนที่เสียชีวิตไปแล้วมีความต้องการแก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่นต้องการดุอาคำวิงวอนของผู้ที่มีชีวิตอยู่ให้วิงวอนต่ออัลลอฮฺให้แก่เขา เพราะเขาได้เสียชีวิตไปและไม่สามารถจะกระทำการงานใดๆได้แล้ว ตัวของเขาเองก็ไม่สามารถจะช่วยเหลือตนเองได้ จะให้มาช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร
ดังนั้นใครที่มีหลักความเชื่อว่า คนที่ตายไปแล้วไม่ว่าจะเป็นบรรดานบี หรือบรรดาคนดีๆที่อัลลอฮฺทรงรัก สามารถให้คุณให้โทษแก่เขาได้ ถือว่าเป็นหลักความเชื่อที่ทำให้เสียอิสลาม เช่น การไปขอดุอาต่อคนตาย การบนบานต่อคนตาย การเชือดสัตว์พลีให้แก่คนตายโดยมีหลักความเชื่อว่าคนตายเหล่านั้นสามารถปลดเปลื้องความทุกข์ของเขาได้ สามารถตอบรับความต้องการต่างๆของเขาได้ แน่นอนการเชื่อเช่นนั้นเป็นการตั้งภาคีที่ใหญ่ที่ทำให้ออกจากศาสนาอิสลาม
สำหรับการขอความช่วยเหลือจากผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วจะมีสองรูปแบบด้วยกัน
1. การที่คนที่มีชีวิตอยู่มีความเชื่อว่า ผู้ตายนั้นสามารถยังประโยชน์ให้กับเขาได้ ไม่ว่าการตอบรับดุอาอ์ หรือช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่เขาได้ หรือมีความเชื่อว่าคนที่ตายไปนั้นจะให้คุณให้ประโยชน์แก่เขาได้ หากเขามีความเชื่อเช่นนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ทำให้ออกจากอิสลาม
" หรือว่าพวกเจ้าได้ยึดเอาบรรดาผู้ช่วยเหลืออื่นจากอัลลอฮฺ
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดทั้ง ๆ ที่พวกมันมิได้มีอำนาจใด ๆ และพวกมันก็ไม่มีสติปัญญากระนั้นหรือ?"¹
(ซูเราะฮฺ อัซซุมัร 43)
(1) อิบนฺ กะซีร กล่าวไว้ในตัฟซีรของเขาว่า อันนี้เป็นการประณามพวกมุชริกีนในการยึดเอารูปปั้นและเจว็ดเป็นผู้ช่วยเหลืออื่นจากอัลลอฮฺ โดยปราศจากหลักฐานและข้อพิสูจน์ใด ๆ มันไม่มีอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีสติปัญญา ไม่ได้ยิน ไม่เห็น ยิ่งกว่านั้นมันเป็นสิ่งไม่มีชีวิต มีสภาพเลวร้ายยิ่งกว่าปศุสัตว์ทั้งหลายเสียอีก
ท่านชัยคุลอิสลาม รอฮิมาอุลลอฮฺได้กล่าวว่า
ไม่มีบทบัญญัติทางศาสนาในการเป็นเยี่ยมหลุมฝังศพ ว่าด้วยความต้องการของคนเป็นแก่คนที่ตาย ไม่ว่าจะเป็นการขอจากคนตาย หรือใช้คนตายเป็นสื่อกลางในการขอ แต่บทบัญญัติในการเยี่ยมหลุมฝังศพก็เพื่อให้คนเป็นได้ยังประโยชน์แก่คนตาย เช่นการขอดุอาให้แก่พวกเขา อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งได้ทรงเมตตาด้วยกับการขอดุอานี้ และการทำดีแก่เขา และให้อัลลอฮฺให้เขา(ผู้ตาย)ได้ยืนหยัดในการงานของเขา
(จากหนังสือ มัจมัวะฟาตาวา ๒๗/๗๑)
2. ในการที่เขาไปขอกับคนตายให้ช่วยวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺให้แก่เขา โดยที่เขาไม่ได้มีความเชื่อว่าคนตายจะสามารถบันดาลสิ่งที่เขาขอได้ เขาเพียงใช้คนตายเป็นสาเหตุให้เขาได้เราสิ่งที่เขามีความต้องการ แต่เขาเชื่อว่าผู้ที่ให้คุณให้โทษคืออัลลอฮฺ ซุบหานาฮูวาตาอาลา การกระทำเช่นนั้น ไม่ถือว่าเป็นการตั้งภาคีใหญ่ อยู่ในประเภทของการตั้งภาคีเล็ก แต่มันสุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่การตั้งภาคีใหญ่
ท่านเชค อิบนู อุซัยมีนรอฮิมาอุลลอฮฺได้กล่าวว่า
การขอต่อคนตายให้ขอวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ กับการขอต่อคนตาย(โดยตรง) ให้ได้รับความต้องการต่างๆ สองอย่างนั้นมีความแตกต่างกัน
♦ หากใครได้ขอต่อผู้ตายให้เขาได้รับความต้องการต่าง ๆ (ขอโดยตรงจากคนตาย) การกระทำเช่นนั้นถือว่า เป็นการตั้งภาคีใหญ่
♦ แต่หากเขาได้ขอต่อผู้ตายให้ช่วยขอต่ออัลลอฮฺ การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการอุตริและเป็นความหลงผิด เนื่องจากคนที่ตายไปแล้ว การงานของเขาก็สิ้นสุดลง
การขอดุอาอ์เป็นส่วนหนึ่งจากการงาน ดังนั้นทำไมท่านจึงขอต่อเขา(ผู้ตาย)ในสิ่งที่เขาไม่มีความสามารถ เมื่อท่านไปยังผู้ตาย แล้วท่านกล่าวว่า ท่านจงวิงวอนต่ออัลลอฮฺให้แก่ฉัน แน่นอนเขาจะไม่วิงวอนขอต่ออัลลอฮฺให้แก่ท่าน และในการกระทำดังกล่าว หากท่านกล่าวที่หลุมฝังศพของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ท่านนบีได้โปรดขอความช่วยเหลือให้แก่ฉัน การกระทำนี้เป็นที่ต้องห้ามและเป็นการอุตริที่ถูกปฏิเสธ แต่ว่าหากท่านกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺได้โปรดให้ฉันรอดพ้นจากไฟนรก หากกระทำอย่างนั้นเป็นการตั้งภาคีที่ใหญ่
สรุป
การขอจากคนตายทั้งสองรูปแบบเป็นที่ต้องห้ามและเป็นสิ่งอันตรายแก่หลักความเชื่อของมุสลิม เพราะเป็นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ และแน่นอนใครที่กระทำการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺไม่ว่าจะเป็นภาคีใหญ่ที่ทำให้เสียอิสลาม และภาคีเล็กที่ไม่ทำให้เสียอิสลาม แต่ถึงแม้เป็นการตั้งภาคีเล็กแต่อาจจะพัฒนาเป็นการตั้งภาคีใหญ่ได้ หากทำอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้ขจัดมันออกไปจากการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ
ดังนั้นการทำความเข้าใจต่อหลักความเชื่ออิสลามเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่บรรดามุสลิมต้องให้การเอาใจใส่เป็นอันดับแรก เพราะการมีหลักความเชื่อที่ถูกต้องจะส่งผลให้การงานของเราเป็นการงานที่ดี และจะทำให้มีความบริสุทธิ์ใจในการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ และจะทำให้เราปลอดภัยจากไฟนรกในโลกหน้าด้วยความเมตตาของอัลลอฮฺ