การขอดุอาหรือขอวิงวอนต่ออัลลอฮ์ ถือเป็นอิบาดะหฺที่ยิ่งใหญ่
แปลเรียบเรียง อับดุลบารีย์ นาปาเลน
การขอดุอาหรือการขอวิงวอนต่ออัลลอฮ์ เป็นการนอบน้อมสักการะและการแสดงออกถึงความต่ำต้อย แสดงออกถึงความยากจนและความอ่อนแอ จึงไม่อนุญาติของจากสิ่งอื่นนอกจากพระองค์เท่านั้น
ด้วยกับการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ์ และเป็นการปฏิบัติตามอัลกุรอ่านและฮาดิษที่ซอเฮี๊ยะ ที่การขอดุอาอฺ หรือการขอวิงวอนจำเป็นจะต้องขอจากอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว
การขอดุอาจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น มันก็คือสิ่งเร้นลับ และไม่มีใครรู้สิ่งเร้นลับใดๆได้นอกจากอัลลอฮ์ เท่านั้น
"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินจะรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัย นอกจากอัลลอฮ์
และพวกเขาจะไม่รู้ว่า เมื่อใดพวกเขาจะถูกให้ฟื้นคืนชีพ”
( อัน-นัมล์ - Aya 65)
แม้กระทั้งท่านนบี เองมิได้มีความสามารถที่จะรู้สิ่งเริ้นลับต่างๆได้ เว้นแต่ด้วยกับการลงมาด้วยวะหฺยูเท่านั้น
"พระผู้ทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับ ดังนั้นพระองค์จะไม่ทรงเปิดเผยสิ่งเร้นลับของพระองค์แก่ผู้ใด"
(อัล-ญิน - Aya 26)
"นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงยินดีจากรอซูล ดังนั้นพระองค์จะทรงส่งผู้พิทักษ์เฝ้าดูแลข้างหน้าและข้างหลังเขา"
(อัล-ญิน - Aya 27)
และพระองค์ยังได้สั่งให้ท่านนบี กล่าวว่า
“จงกล่าวเถิดว่า (มุอัมมัด) ว่าฉันไม่มีอำนาจที่จะครอบครองประโยชน์ใด ๆ และโทษใด ๆ ไว้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ตัวของฉันได้ นอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น และหากฉันเป็นผู้ที่รู้สิ่งเร้นลับแล้ว แน่นอนฉันก็ย่อมกอบโกยสิ่งที่ดีไว้ มากมายแล้ว และความชั่วร้ายก็ย่อมไม่ต้องฉันได้ ฉันมิใช้ใครอื่น นอกจากผู้ตักเตือนและผู้ประกาศข่าวดีแก่กลุ่มชนที่ศรัทธาเท่านั้น”
(อัล-อะอฺรอฟ - Aya 188)
การขอดุอาต่ออัลลอฮ์ มันคือสิ่งเร้นลับที่พระองค์เท่านั้นทรงรอบรู้และทรงได้ยิน
"ที่โน่นแหละ ซะกะรียาได้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขาโดยกล่าวว่า
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดได้ประทานแก่ข้าพระองค์ซึ่งบุตรที่ดีคนหนึ่งจากที่พระองค์
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินคำวิงวอน"
(อาล อิมรอน - Aya 38)
พระองค์ได้สั่งใช้ปวงบ่าวให้ขอจากพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้นในหลายๆโองการ เช่น พระองค์ตรัสความว่า
"และพระเจ้าของพวกเจ้าตรัสว่า จงวิงวอนขอต่อข่า ข้าจะตอบรับแก่พวกเจ้า
ส่วนบรรดาผู้โอหังต่อการเคารพภักดีข้านั้น จะเข้าไปอยู่ในนรกอย่างต่ำต้อย"
(ฆอฟิร - Aya 60)
และพระองค์ตรัสความว่า
"และแท้จริงบรรดามัสยิดนั้นเป็นของอัลลอฮฺ ดังนั้น พวกเจ้าอย่าวิงวอนขอผู้ใดเคียงคู่กับอัลลอฮฺ"
(อัล-ญิน - Aya 18)
"และว่าแท้จริงเมื่อบ่าวของอัลลอฮฺ (มุฮัมมัด) ยืนขึ้นกล่าววิงวอนขอต่อพระองค์พวกเขา (ญิน) ก็ได้ห้อมล้อมเขาอย่างหนาแน่น"
(อัล-ญิน - Aya 19)
"จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ว่า แท้จริงฉันวิงวอนขอต่อพระเจ้าของฉัน และฉันจะมิตั้งผู้ใดเป็นภาคีต่อพระองค์"
(อัล-ญิน - Aya 20)
"จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า แท้จริงฉันไม่มีอำนาจที่จะให้โทษและให้คุณแก่พวกท่าน"
(อัล-ญิน - Aya 21)
"จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า ไม่มีผู้ใดจะคุ้มครองฉันให้พ้นจาก (การลงโทษของ) อัลลอฮฺได้ และฉันจะไม่พบที่พึ่งอันใดอื่นจากพระองค์เลย"
(อัล-ญิน - Aya 22)
"เว้นแต่ฉันจะเผยแผ่ (สิ่งที่ได้รับ) จากอัลลอฮฺ และสาส์นของพระองค์
และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์ แท้จริงสำหรับเขานั้นคือไฟนรก เป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล"
(อัล-ญิน - Aya 23)
และตรัสอีกความว่า
"หรือผู้ใดเล่าจะตอบรับผู้ร้องทุกข์ เมื่อเขาวิงวอนขอต่อพระองค์ และทรงปลดเปลื้องความชั่วร้ายนั้น และทรงทำให้พวกเจ้าเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน จะมีพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์ อีกหรือ ? ส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าจะใคร่ครวญ”
(อัน-นัมล์ - Aya 62)
ส่วนการขอดุอาจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ ถือได้สิ่งนั้นมาเป็นภาคีต่อพระองค์ เป็นชีริกใหญ่ในการกร้าบใหว้ ที่ยกพวกเขาเหล่านั้นมาเสมอเหมือนกับพระองค์ในการเป็นเจ้าและอำนาจ ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งถูกสร้างที่อ่อนแอ ไม่สามารถให้คุณหรือให้โทษต่อผู้ใดได้
"จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “พวกท่านจงวิงวอนต่อบรรดาที่พวกท่านอ้าง (ว่าเป็นพระเจ้า) อื่นจากอัลลอฮฺ
พวกมันมิได้ครอบครองแม้แต่น้ำหนักเพียงเท่าธุลีในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และพวกมันมิได้มีหุ้นส่วนในทั้งสองนั้น
และสำหรับพระองค์นั้นมิได้มีผู้ช่วยเหลือมาจากพวกมัน"
(สะบะอ์ - Aya 22)
พระองค์ได้ทรงห้ามขอดุอาอฺจากสิ่งอื่นในหลายๆโองการด้วยกัน เช่น
"และเจ้าอย่าวิงวอนสิ่งใดอื่นจากอัลลอฮ์ที่ไม่อำนวยประโยชน์แก่เจ้า และไม่ให้โทษแก่เจ้า
และหากเจ้ากระทำเช่นนั้น แท้จริงเจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้อธรรม"
(ยูนุส - Aya 106)
"และหากอัลลอฮฺจะทรงให้ทุกข์ภัย ประสบแก่เจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดปลดเปลื้องมันได้ นอกจากพระองค์ และหากพระองค์ทรงปรารถนาความดีแก่เจ้าแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดกีดกันความโปรดปรานของพระองค์ได้ พระองค์จะทรงให้มันประสบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ และพระองค์จะเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ"
(ยูนุส - Aya 107)
และตรัสความว่า
"ดังนั้นเจ้าอย่าได้วิงวอนพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับอัลลอฮ์ มิฉะนั้นเจ้าจะเป็นหนึ่งในหมู่ผู้ถูกลงโทษ"
(อัช-ชุอะรออ์ - Aya 213)
และได้ตรัสเกี่ยวกับผู้ที่ขอจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ ว่าพวกเขานั้นคือผู้ที่หลงผิด
"และใครเล่าจะหลงทางมากยิ่งไปกว่าผู้ที่วิงวอนขออื่นจากอัลลอฮฺที่มันจะไม่ตอบรับ (การวิงวอนของ) เขาจนถึงวันกิยามะฮฺ และพวกมันยังเฉยเมย(ไม่ได้รู้)ต่อการวิงวอนขอของพวกเขา"
(อัล-อะห์กอฟ - Aya 5)
"และเมื่อมนุษย์ถูกรวมให้มาชุมนุมกัน พวกมันจะเป็นศัตรูกับพวกเขาและจะเป็นผู้ปฏิเสธการเคารพบูชาของพวกเขา"
(อัล-อะห์กอฟ - Aya 6)
และตรัสความว่า
"และผู้ใดวิงวอนขอพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์ โดยไม่มีหลักฐาน(ทางนำ)พิสูจน์แก่เขาในการนี้ แท้จริงการคิดบัญชีของเขาอยู่ที่พระเจ้าของเขา แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะไม่ประสบความสำเร็จ"
(อัล-มุอ์มินูน - Aya 117)
และอัลลอฮได้ทรงตรัสถึงการขอดุอาจากสิ่งอื่นนั้นคือการตั้งภาคีต่อพระองค์
"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ท่านได้เห็นพวกท่านแล้วมิใช่หรือ ?
หากการลงโทษของอัลลอฮ์ มายังพวกท่าน หรือวันกิยามะฮ์ได้มายังพวกท่าน
อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือที่พวกท่านจะวิงวอนขอหากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง"
(อัล-อันอาม - Aya 40)
"มิได้ เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกท่านจะวิงวอนขอ แล้วพระองค์ก็จะทรงปลดเปลื้องสิ่งที่พวกท่านวิงวอนให้ช่วยเหลือ หากพระองค์ทรงประสงค์ และพวกเจ้าก็จะลืมสิ่งที่พวกเจ้าให้มีภาคีขึ้น"
(อัล-อันอาม - Aya 41)
และตรัสความว่า
"จงกล่าวเถิด(มุอัมมัด)ว่า ใครเล่าจะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากบรรดาความมืดของทางบก และทางทะเล โดยที่พวกเจ้าวิงวอนขอต่อเขาด้วยความนอบน้อม และแผ่วเบาว่า ถ้าหากพระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากสิ่งนี้แล้ว แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็จะเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้กตัญญูรู้คุณ"
(อัล-อันอาม - Aya 63)
"จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าอัลลอฮ์จะช่วยพวกท่านให้รอดพ้นจากมัน และพ้นจากความทุกข์ยากทั้งมวล
แต่แล้วพวกท่านก็ให้มีภาคีขึ้นอีก(ต่อพระองค์)"
(อัล-อันอาม - Aya 64)
และตรัสความว่า
"ดังนั้นเมื่อพวกเขาขึ้นขี่เรือ พวกเขาวิงวอนต่ออัลลอฮ์เป็นผู้บริสุทธิ์ใจในการขอพรต่อพระองค์ ครั้นเมื่อพระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้ขึ้นบกแล้ว พวกเขาก็ตั้งภาคีต่อพระองค์อีก"
(อัล-อันกะบูต - Aya 65)
"เพื่อพวกเขาจะเนรคุณต่อสิ่งที่เราได้ประทานแก่พวกเขา และเพื่อพวกเขาจะได้หลงระเริงแล้วพวกเขาก็จะได้รู้กัน"
(อัล-อันกะบูต - Aya 66)
และตรัสความว่า
"พระองค์ทรงให้กลางคืนคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวัน และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางคืน และทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์ (แก่มนุษย์) ทุกสิ่ง(เหล่านั้น)จะโคจรไปตามวาระที่ได้กำหนดไว้ นั่นคือ อัลลอฮฺพระเจ้าของพวกเจ้า อำนาจการปกครองทั้งมวลเป็นสิทธิ์ของพระองค์ และสิ่งที่พวกเจ้าวิงวอนขออื่นจากพระองค์นั้นพวกมันมิได้ครอบครองสิ่งใดแม้แต่เยื่อบางหุ้มเมล็ดอินทผลัม"
(ฟาฏิร - Aya 13)
"หากพวกเจ้าวิงวอนขอพวกมัน พวกมันจะไม่ได้ยินการวิงวอนขอ ของพวกเจ้า ถึงแม้พวกมันได้ยินพวกมันก็จะไม่ตอบรับพวกเจ้า และในวันกิยามะฮฺพวกมันจะปฏิเสธการตั้งภาคีของพวกเจ้า และไม่มีผู้ใดแจ้งแก่เจ้าได้นอกจากพระผู้ทรงรอบรู้ ตระหนักยิ่ง"
(ฟาฏิร - Aya 14)
และตรัสถึงผู้ที่ขอวิงวอนจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ นั้นจะเป็นเหตุให้ลงในนรก
"และเมื่อทุกขภัยใด ๆ ประสบแก่มนุษย์ เขาก็จะวิงวอนขอต่อพระเจ้าของเขาเป็นผู้หันหน้าเข้าสู่พระองค์อย่างนอบน้อม
ครั้นเมื่อพระองค์ทรงประทานความโปรดปรานจากพระองค์ให้แก่เขา เขาก็ลืมสิ่งที่เขาได้เคยวิงวอนขอต่อพระองค์มาแต่ก่อน
และเขาได้ตั้งภาคีคู่เคียงกับอัลลอฮฺเพื่อให้หลงจากทางของอัลลอฮฺ
จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ท่านจงร่าเริงเพียงระยะหนึ่งต่อการปฏิเสธของท่านเถิด แท้จริงท่านนั้นอยู่ในหมู่ชาวนรก"
(อัซ-ซุมัร - Aya 8)
ขอจากอัลลอฮ์ ให้เราทุกคนเป็นผู้ให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ ในการเป็นเจ้า มีความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ และขอคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากการตั้งสิ่งอื่นมาเป็นภาคีต่อพระองค์ (อามีน)