การแสดงละครเพื่อเป็นสื่อเรียกร้องผู้คนมาสู่ศาสนา
แปลโดย อิสมาอีล กอเซ็ม
มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
การเชิญชวนผู้คนมาสู่ศาสนา คือสิ่งที่มีความจำเป็นของผู้ที่มีความรู้ต้องทำหน้าที่เรียกร้องเชิญชวนผู้คนมาสู่ศาสนา แต่การเผยแผ่ศาสนานั้นมีสื่อและวิธีการมากมายในการเผยแผ่ศาสนา ไม่ว่าด้วยกับการบรรยาย การเขียนบทความ และแต่งหนังสือ และอีกมากมายที่เป็นสื่อในการเผยแผ่ศาสนา โดยเฉพาะในโลกปัจจุบันมีสิ่งต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทีวี จานดาวเทียม เฟสบุค ไลน์ ทวิตเตอร์ซึงสื่อออนไลน์ต่างๆเหล่านี้ เราสามารถนำมันมาเป็นสื่อในการเผยแผ่ศาสนา และสื่อที่เป็นภาพและเสียงย่อมที่จะส่งผลต่อผู้ชมมากกว่าสื่อที่เป็นตัวอักษรงานเขียนต่างๆ
จะเห็นได้จากปัจจุบันได้มีการบันทึกคลิปวีดีโอจากอาจารย์ทั้งหลายที่บรรยายตามงานต่างๆ มีการแพร่คลิปไปในโลกออนไลน์ที่เข้าถึงผู้คนหลายพันหลายหมื่นคน จากการที่บรรยายตามมัสยิดบางครั้งมีคนไม่กี่คน แต่เมื่อนำคลิปบรรยายมาเผยแผ่ในอินเตอร์เน็ตสามารถสื่อสารไปยังผู้คนมากมาย และทำให้ผู้คนได้รับรู้ในเรื่องราวศาสนาที่ง่ายขึ้น คนที่ไม่มีเวลามาฟังสดๆ ก็สามารถดูย้อนหลังได้ นี่คือความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อปวงบ่าวของพระองค์ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร
มีนักเผยแผ่บางกลุ่มได้พยายามที่คิดที่ใช้สื่อสมัยใหม่ที่นำมาประยุกต์สอดแทรกคำสอนอิสลามเข้าไปสื่อเหล่านั้น เช่น การใช้สื่อละครที่มีการแสดงตามบทบาทต่างๆ ที่ได้แทรกเนื้อหาอิสลามไปในละคร และจากการนำสื่อนี้มาใช้ทำให้มีมุมมองของนักวิชาการด้านศาสนาที่มีความเห็นขัดแย้งกัน โดยที่นักวิชาการบางท่านมีความเห็นที่อนุญาตให้นำสื่อละครมาใช้เพื่อเป็นการเผยแผ่อิสลาม และนักวิชาการบางท่านก็ไม่อนุญาตให้นำละครมาเป็นสื่อในการเผยแผ่โดยเด็ดขาด
แน่นอนทั้งสองฝ่ายทีอนุญาตและไม่อนุญาตนั้นย่อมมีหลักฐานมาสนับสนุนทัศนะของตัวเอง แต่อยู่ที่ว่าหลักฐานของฝ่ายไหนที่ถูกต้องและมีน้ำหนักมากกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นเราต้องกลับไปรวบรวมทัศนะต่างๆ และหาข้อสรุปให้เป็นแนวปฏิบัติที่ถูกต้องที่สุดให้แก่พี่น้องมุสลิม
เราสามารถสรุปทัศนะความเห็นของนักวิชาการเกี่ยวกับเรื่องการนำละครมาเป็นสื่อในการเผยแผ่ศาสนาได้สองทัศนะด้วยกัน
นักวิชาการต่างมีความเห็นตรงกันในเรื่องการแสดงที่เรียกร้องไปสู่มารยาทที่เลวทราม และเรียกร้องไปสู่การเปิดเผยเอาเราะห์การแสดงโป้เปลือย และเรียกร้องมาสู่การเลียนแบบบรรดาผู้ปฏิเสธ เรียกร้องไปสู่ความรุนแรง การดูถูกอิสลามและมุสลิม และเผยแผ่แนวคิดที่หลง และมารยาทที่ไม่ดีงามต่างๆ และการแสดงที่เกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับมาลาอิกะห์ และเกี่ยวข้องกับศอหาบะห์อาวุโส และเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับว่า เป็นสิ่งที่ต้องห้าม
แต่หากการแสดงละครที่ปราศจากสิ่งที่หันเหออกจากสิ่งที่ถูกต้อง และสิ่งที่นำไปสู่ความเสียหาย พวกเขามีทัศนะที่แตกต่างกันออกไป
ทัศนะที่หนึ่ง อนุญาตโดยมีเงื่อนไข
นักวิชาการที่มีความเห็นเช่นนั้น เชค รอชีดริฎอ อิบนู ญิบรีล อิบนูหะมีด อิบนู อุซัยมีน และ อัลกอรอฎอวีย์ และสมาชิกบางท่านของมูญัมมะฮฺฟิกฮียะห์ เช่น ท่าน เชค ฮัจญ์ อัชชีต มูอัมหมัด อัซซานีย์ ด็อกเตอร์อัตติญานีย์ อัลฟัรฟูร และท่านอัลกิยาธ และคนอื่นๆ โดยที่ออกฟาตาวานี้โดย ดารุลอิฟตาฮของอียิปต์ โดยที่ที่บรรดานักวิชาการที่อนุญาตในเรื่องนี้
หลักฐานข้อที่หนึ่ง ถือว่าเดิมๆ เป็นที่อนุญาต เมื่อไม่มีหลักที่มาระบุห้ามโดยชัดเจน โดยที่เหมือนที่ทราบกันดีว่าการแสดงละครนั้นได้มีมานานแล้วตั้งแต่ยุคโรมัน และกรีก และอิสลามก็ไม่ได้มาห้ามในเรื่องนี้
ข้อแย้งหลักฐาน
ตามคำกล่าวอ้างดังกล่าวนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะมีหลักฐานที่ห้ามในเรื่องดังกล่าวมากมาย ที่จะนำเสนอต่อไป และการห้ามนั้นเกี่ยวข้องกับกับการแสดงและร่องรอยของมัน จะบอกว่าไม่มีหลักฐานได้อย่างไร
ชี้แจงข้อโต้แย้งดังกล่าว
หลักฐานไม่ได้ห้ามเรื่องการแสดงโดยตรง แต่มาระบุถึงสิ่งไม่ดีงามที่จะเกิดขึ้นจากการแสดง ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีความจำเป็นต้องค้นคว้าเพื่อหาทางออกของความขัดแย้ง
หลักฐานที่สอง สำหรับผู้ที่อ้างการแสดงเป็นที่อนุญาต
เป็นการเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นแก่บรรดานบี และเหล่าศอหาบะห์ ที่มาลาฮิกะห์ได้แปลงกายมาในรูปของบุคคลอื่น
หลักฐานที่มีปรากฏในอัลกุรอ่าน
فَاتَّخَذَتْ مِن دُونِهِمْ حِجَابًا فَأَرْسَلْنَا إِلَيْهَا رُوحَنَا فَتَمَثَّلَ لَهَا بَشَرًا سَوِيًّا
"แล้วนางได้ใช้ม่านกั้นให้ห่างพ้นจากพวกเขาแล้วเราได้ส่งวิญญาณของเรา (ญิบรีล) ไปยังนางแล้วเขาได้จำแลงตนแก่นาง ให้เป็นชายอย่างสมบูรณ์"
และอีกมากมายจากตัวอย่างที่ มาลาฮิกะห์มาหานบีต่างๆในสภาพที่แปลงกายเป็นคน เช่นมาท่านนบี ฮิบรอฮีม และท่านนบี ลูต อะลัยอิมัสสลาม และมาลาฮิกะห์ที่มานั้นก็มาทำการสนทนากับท่านนบีต่างๆ ไม่ว่าเรื่องของการเคารพภักดีต่อพระเจ้า และเรื่องอื่นมาเพื่อนำหลักการมาบอกกล่าวแก่บรรดานบี เช่น
إِنَّ ثَلَاثَةً فِي بَنِي إِسْرَائِيلَ أَبْرَصَ وَأَقْرَعَ وَأَعْمَى فَأَرَادَ اللَّهُ أَنْ يَبْتَلِيَهُمْ فَبَعَثَ إِلَيْهِمْ مَلَكًا
"แท้จริงมีชายสามคนจากบนี อิสรออีลที่เป็นโรคเรื้อน คนหัวโล้น(ไม่มีผม) และคนตาบอด อัลลอฮฺต้องการที่จะทดสอบพวกเขา แล้วอัลลอฮ์ได้ส่งมาลาฮิกะห์มายังพวกเขา"
แย้งหลักฐานดังกล่าว
การนำการแปลงกายของมาลาฮิกะห์มาเป็นหลักฐานสำหรับการแสดงนั้น ถือว่าเป็นการเปรียบที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากมาลาอิะกะห์พวกเขานั้นมีความสามารถในการแปลงกาย