บัญชีความดีของ"อุสมาน อิบนุ อัฟฟาน"ณ อัลลอฮ์
อาดัม เปลี่ยนอำรุง
-♣- คุณรู้มั้ยว่า...ปัจจุบันมีบ่อน้ำที่ใช้ชื่อ "อุสมาน อิบนุ อัฟฟาน" อยู่ในธนาคารแห่งหนึ่งที่ซาอุดิอาระเบีย!!"
-♣- แล้วคุณรู้หรือไม่ว่า...มีโครงการสวนอินทผลัมขนาดใหญ่ซึ่งใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการจัดการอย่างครบวงจรโดยใช้ชื่อของท่านเช่นกัน??"
-♣- หรือว่าท่านทิ้งมรดกไว้ให้ทายาทดำเนินการในเรื่องนี้!!!
ภายหลังที่ชาวมุฮาญิรีนได้อพยพจากมักกะฮ์ไปมะดีนะฮ์ นั่นทำให้จำนวนมุสลิมในมะดีนะฮ์มีเพิ่มขึ้น กระนั้น พวกเขายังคงขาดแหล่งน้ำในการอุปโภคบริโภค เวลานั้นแหล่งน้ำหลักที่หล่อเลี้ยงชาวเมืองมะดีนะฮ์คือ "บ่อน้ำรูมะฮ์" ซึ่งถือเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ แต่ปัญหาของชาวเมืองก็คือ บ่อน้ำแห่งนี้ครอบครองโดยชาวยิวหน้าเลือดจนแม้แต่น้ำหยดเดียวเขาก็ไม่ยอมให้ใครใช้ฟรีๆ
เมื่อท่านอุสมาน อิบนุ อัฟฟานทราบเรื่องดังกล่าว เขาจึงไปหาชายชาวยิวคนนั้นเพื่อเจรจาขอซื้อบ่อน้ำรูมะฮ์ ในตอนแรกชาวยิวปฏิเสธที่จะขายมัน ท่านอุสมานจึงต่อรองกลับไปว่า ท่านจะขอซื้อมันเพียงครึ่งเดียวก็ได้ โดยให้สลับวันถือครองบ่อน้ำคนละวัน แต่ละคนมีสิทธิในการขายน้ำในบ่อในวันของตน
ยิวผู้นั้นคิดในใจว่า หากท่านอุสมานมาร่วมเป็นหุ้นส่วนถือครองบ่อน้ำ ราคาของน้ำคงพุ่งสูงขึ้นเป็นแน่ เพราะประสบการณ์การค้าของท่านอุสมานได้ประจักษ์แล้วว่าการสร้างผลกำไรอันมากมาย เขาจึงตกลงตามข้อเสนอของท่านอุสมาน
เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่คิด...ยอดขายน้ำของชาวยิวลดลงเรื่อยๆจนไม่มีคนมาซื้อน้ำกับเขาอีก เขาแปลกใจมากจึงหาสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร เขาพบว่าในวันของท่านอุสมาน ท่านจะอุทิศมันไปเพื่ออัลลอฮ์ ผู้คนจะออกกันไปตักน้ำในบ่อเก็บเอาไว้ใช้ตามความจำเป็นโดยไม่ต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนใดๆ ดังนั้น คนทั้งหมดจึงใช้น้ำในวันของท่านอุสมาน และไม่มีใครไปซื้อน้ำในวันของชาวยิว เมื่อชาวยิวรู้สึกว่าตนกำลังจะขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆเขาจึงตัดสินใจเสนอขายสิทธิทั้งหมดในบ่อน้ำให้แก่ท่านอุสมาน ซึ่งท่านก็รับซื้อมันไว้ด้วยราคาสูงถึง 2 หมื่นเหรียญทองคำ (ดิรฮัม) แล้วอุทิศ (วะกัฟ) บ่อน้ำนี้แด่อัลลอฮ์เพื่อให้บรรดามุสลิมได้ใช้กัน
จากนั้นไม่นาน ซอฮาบะฮ์ท่านหนึ่งได้เสนอขอซื้อบ่อน้ำจากท่านด้วยราคาที่สูงขึ้นเป็น 2 เท่า
ท่านบอกกับเขา "ให้ราคาฉันสูงกว่านี้อีกซิ"
เขาจึงบอกว่า "ถ้างั้นฉันให้สูงกว่าเดิม 3 เท่า"
ท่านจึงบอกกับเขา "ให้ราคาฉันสูงกว่านี้อีกซิ"
การต่อรองดำเนินต่อไปจนกระทั่งผู้ขอซื้อยื่นราคาสุดท้ายที่ 9 เท่า แต่ท่านอุสมานก็ยังคงปฏิเสธ ซอฮาบะฮ์คนนั้นรู้สึกแปลกใจมากกับท่าทีของท่านอุสมาน
เขาจึงพูดกับท่านว่า "ฉันว่าไม่มีใครอีกแล้วที่จะให้ราคาบ่อน้ำนี้สูงไปกว่าฉันอีก!!"
ท่านอุสมานตอบกลับไปว่า "มี ซิ !..อัลลอฮ์ ยังไงหล่ะ ที่พระองค์จะทรงตอบแทนการทำความดี 1 ความดีให้มากถึง 10 เท่า"
บรรดามุสลิมในยุคต่อๆมายังคงได้ใช้ประโยชน์จากบ่อน้ำที่ท่านอุสมานได้วะกัฟทิ้งไว้ จากนั้น บริเวณรอบๆบ่อเริ่มมีต้นอินทผลัมงอกเงยขึ้น...ในยุคออตโตมันต้นอินทผลัมเหล่านั้นได้รับการดูแลจนเติบโตจากทางราชการ เรื่อยมาจนถึงสมัยการปกครองของราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย ภารกิจดังกล่าวก็ยังคงได้รับการสานต่อจนจำนวนต้นอินทผลัมมีเพิ่มขึ้นเป็นหลายพันต้น
ปัจจุบัน ทางการซาอุดิอาระเบียได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรทำหน้าที่วิจัยพันธุ์อินทผลัม ผลิต ต่อยอด และจัดจำหน่ายผลอินทผลัมซึ่งได้จากสวนดังกล่าวไปตามท้องตลาด โดยรายได้ถูกจัดสรรใช้กิจการศาสนา ทั้งการดูแลเด็กกำพร้า คนยากจน สร้างหรือบูรณะปรับปรุงมัสยิด ฯลฯ ซึ่งมีกระทรวงศาสนสมบัติ (เอาก็อฟ) กำกับดูแลอยู่
ซุบฮานั้ลลอฮ์ ! ! ที่เล่ามามันคือเรื่องของผู้ที่ได้ทำการค้ากับอัลลอฮ์ ซึ่งผลของมันยังคงยาวนานต่อเนื่องมามากกว่า 14 ศตวรรต จนเราจินตนาการไม่ออกถึงภาคผลของมันในบัญชี ณ ที่อัลลอฮ์ ได้
ด้วยเหตุนี้เอง ท่านรอซูล จึงกล่าวว่า "ทุกๆนบี จะมีคนสนิท และคนสนิทของฉันในสวรรค์คือ อุสมาน"
เราแปลกใจไหมว่าเหตุใด "คนตาย" จึงจะเลือกทำ "ศอดาเกาะฮ์" หากกลับมามีชีวิตได้ ดังที่อัลลอฮ์ ตรัสว่า
فَيَقُولَ رَبِّ لَوْلَا أَخَّرْتَنِي إِلَىٰ أَجَلٍ قَرِيبٍ فَأَصَّدَّقَ
"ดังนั้น คนที่ตายแล้วจะกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
มาตรว่าพระองค์ท่านทรงผ่อนผันให้แก่ข้าพระองค์อีกชั่วเวลาเพียงเล็กน้อย ข้าพระองค์ก็จะไปทำการบริจาค (ซอดาเกาะฮ์)"
ทั้งนี้ เพราะคนตายได้ตระหนักในตอนนั้นแล้วว่า สิ่งนี้จะยังประโยชน์แก่เขาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเขาจะจากดุนยานี้ไปแล้วก็ตาม