พระ เจ้า มี จริง !
อาบีดีณ โยธาสมุทร เรียบเรียง
ข้อยืนยันทางปัญญาที่บ่งบอกว่า “ พระเจ้ามีจริง ”
1. เป็นเพราะการมีขึ้นของสรรพสิ่งหนีไม่พ้นหนึ่งในสามสมมติฐานนี้ ซึ่งสองในสามเป็นอะไรที่ค้านกับสติปัญญาและไกลกับความเป็นจริง สมมติฐานทั้งสามที่พูดถึง คือ
ก. สรรพสิ่งมีขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีใครสร้างมันขึ้นมา จู่ๆก็มีขึ้นมา หาที่มาที่ไปไม่ได้
ข. สรรพสิ่งสร้างตัวของพวกมันเองขึ้นมา
สองข้อนี้คิดยังไงก็ไม่เป็นเหตุเป็นผล ฟังยังไงก็ฟังไม่ขึ้น ปัญญาปกติไม่lสอดรับกับสมมติฐานประมาณนี้อยู่แล้ว
ค. สรรพสิ่งต่างๆ มีขึ้นมาได้เพราะมีผู้สร้าง
ซึ่งข้อนี้ตรงกับความจริงที่สุด ถ้าคิดได้ตามข้อนี้ ก็จะทำให้เราปฏิเสธไม่ได้ว่าพระเจ้าต้องมีอยู่จริงอย่างแน่แท้ไม่ต้องสงสัย
อัลลอฮ์ ตรัสความว่า
"หรือว่าพวกเขาถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่ได้มีใครสร้างพวกเขาขึ้นมา หรือว่าพวกเขาเองที่เป็นผู้สร้าง หรือว่าพวกเขาเองที่สร้างบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดินกันขึ้นมา ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่พวกเขาไม่ยอมเชื่อมั่นต่างหาก"
2. สภาพความเป็นจริงของตัวสรรพสิ่งแต่ละสรรพสิ่งเอง ฟ้องว่าต้องมีพระเจ้าอยู่แน่นอน ลองพิจารณาดู
ก. ตัวเราเอง มนุษย์ลองดูซิว่า ในตัวเรามีระบบที่ซับซ้อนและลงตัวขนาดไหน ระบบเส้นประสาท, ระบบการย่อยอาหาร ,ระบบการสูบฉีดเลือด, ระบบการหายใจ, ระบบของสมองการนึกคิด พิจารณาและต่อยอด, ระบบของการพัฒนาการของร่างกายแต่ละส่วนที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย และอีกนับร้อยนับพันระบบที่มีอยู่ในตัวเรา ระบบที่มีความแยบยลเหล่านี้ จะไม่บ่งบอกเลยหรือว่า มีพระเจ้าที่ทรงความสามารถเปี่ยมล้นที่เป็นผู้ทรงสร้างคนขึ้นมาอยู่จริง !
ข. จงเงยขึ้นไปพิจารณาฟากฟ้าและดวงดาวแล้วก้มลงมาดูผืนดิน ดูซิว่า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมันเป็นประโยชนแก่มนุษย์ขนาดไหน การที่มนุษย์เราสามารถเข้ามาหยิบจับและใช้ประโยชน์จากสรรพสิ่งพวกนี้ได้ไม่ว่าจะในแง่ใดก็แล้วแต่ มันต้องไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน แต่มันควรจะเป็นเพราะของพวกนี้ถูกสร้างมาเพื่อเอื้อแก่การที่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่และดำเนินชีวิตไปได้อย่างสะดวกต่างหาก แล้วถามว่า ใครล่ะที่จะทำให้ฟากฟ้าและผืนดินเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตคนเราได้ ถ้าผู้นั้นไม่ใช่พระเจ้า
"และพระองค์ทรงทำให้สิ่งที่อยู่ในบรรดาฟากฟ้าและสิ่งที่อยู่ในผืนดินเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้พวกเจ้า ซึ่งทั้งหมดนี้มันมาจากพระองค์ แน่นอนว่าในเรื่องนี้ย่อมเป็นสัญญาณสำหรับกลุ่มชนที่ไตร่ตรอง"
♦ ดูท้องฟ้า ดูดวงดาวและดูผืนดิน ก็จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด มันมีคุณสมบัติเฉพาะของตัวมันเอง และมีระบบ ระเบียบของตัวมันเองที่มีความเหมาะสมกับตัวของมัน ฟ้าก็เป็นฟ้าแบบที่ฟ้าเป็นและมีระบบของฟ้าที่ถูกวางเอาไว้ซึ่งเหมาะสมกับการที่มันเป็นฟ้า ดาวและดินก็เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่บ่งบอกว่ามีพระเจ้าอยู่จริงแล้วจะบอกว่าอะไร ?
ความบังเอิญหรือ !
"และในผืนแผ่นดิน มันเป็นสัญญาณสำหรับบรรดาบุคคลที่เชื่อมั่น และในตัวของพวกเจ้าเอง พวกเจ้าไม่ได้เห็นกันบ้างเลยหรือ? และในฟากฟ้า ก็มีสิ่งที่เป็นปัจจัยสำหรับพวกเจ้าอยู่ และมีสิ่งที่พวกเจ้าได้ถูกสัญญาเอาไว้ อยู่ในนั้น"
ค. ลองดูสรรพสิ่งอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจาก ฟ้า ดาว และ ดิน ตั้งแต่สิ่งเล็กๆ อย่างแมลงเพลี้ยตัวน้อยจนกระทั้งถึงวาฬตัวยักษ์ เราจะพบว่า แต่ละสิ่งล้วนได้รับเรือนร่างที่เหมาะสมกับการเป็นอยู่อย่างที่สมควรเป็นทั้งสิ้น
♦ มดก็มีร่างแบบมดที่เหมาะสมกับการเป็นมด ลิงก็มีร่างแบบลิงที่เหมาะสมกับการเป็นลิง เต่า, หอยทาก, ปูเสฉวน,ปลาลิ้นหมา และอื่นๆ ทั้งหมดล้วนได้รับเรือนร่างที่คู่ควรและเหมาะสมกับชีวิตทั้งสิ้น ลองคิดดูว่า ถ้าวันนึงแมวน้อยข้างบ้านต้องมาอยู่ในร่างของหอยทากอืดอาด มันจะใช้ชีวิตยังไง จะจับหนูกินได้ไหม ถ้าต้องมามีรูปร่างเป็นหอยทากแบบนี้ทั้งๆที่มันคือแมว มันจะยังสามารถมาแอบนอนบนโซฟานุ่มๆของคุณได้อีกไหม มันจะเข้ามาคลอเคลียแข้งขาของคุณได้อีกไหม ?
ดังนั้น การที่แต่ละสรรพสิ่งได้มามีเรือนร่างมีความเหมาะสมกับวิถีชีวิตของมัน เหมาะสมกับความเป็นอย่างที่ควรจะเป็น ถ้าสิ่งนี้ไม่บ่งบอกว่า มีพระเจ้าผู้ทรงสมบูรณ์แบบ ผู้ทรงรอบรู้และเชี่ยวชาญอย่างที่สุด ที่ทรงสรรสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาอย่างสมดุลและลงตัวอยู่จริง แล้วจะให้คิดเป็นอย่างไรอื่นได้อีก โอ้ผู้ปราดเปรื่องด้วยปัญญาทั้งหลาย?
อัลลอฮ์ ตรัสความว่า
"มันพูดขึ้นว่า แล้วพระเจ้าของพวกเจ้าทั้งสองคนคือใครกัน ? มูซา
เขา(มูซา)จึงพูดว่า พระเจ้าของเรา คือ พระผู้ทรงให้ทุกสรรพสิ่งมีรูปลักษณ์ของมัน ถัดจากนั้นพระองค์ก็ทรงให้การชี้แนะแก่พวกมัน"
3. ผลลัพธ์และร่องรอยแห่งความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อสรรพสิ่งต่างๆ บ่งบอกว่า ต้องมีพระเจ้าที่ทรงเป็นเจ้าของความเมตตาอยู่จริง
"ดังนั้น เจ้าจงมองไปที่ร่องรอยแห่งความเมตตาของอัลลอฮฺซิว่า พระองค์ทรงทำให้ผืนดินกลับขึ้นมามีชีวิตชีวาอีกครั้งได้อย่างไรกัน หลังจากที่มันได้แห่งตายไปแล้ว แบบนั้นนั่นแหละที่พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงทำให้คนตายฟื้นคืนชีพขึ้น และพระองค์คือ ผู้ทรงสามารถกระทำได้ทุกสิ่ง"
ก. เคยเห็นหรือเคยรับฟังมาบ้างใช่ไหมว่า พระองค์ได้ทรงตอบรับคำวิงวอน และคำอธิษฐานของใครต่อใครที่ทำการวอนขอ
ข. เคยสังเกตไหมว่า ทำไมเวลาที่เราเดือดเนื้อร้อนใจ เวลาที่ไม่รู้จะออกทางไหนดี ทำไมใจเราถึงมุ่งขึ้นไปขอพึ่งพิง ขอการช่วยเหลือจากสิ่งที่มีอำนาจสูงสุด ที่สามารถจัดการเรื่องของเราและปลดเปลื้องทุกๆปัญหาให้หมดสิ้นไปได้ ซึ่งย่อมไม่ใช่คนแน่นอน และต้องไม่ใช่สิ่งถูกสร้างที่ยังต้องพึ่งพึงและอาศัยผู้อื่นอยู่ แต่ต้องเป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์ที่สุดในทุกด้านเท่านั้น แล้วเขาคือใคร ?
ค. เคยสังเกตสภาพการดำเนินชีวิตของคนเราไหม? เคยเห็นและเคยได้ยินกันมาแล้วใช่ไหมครับว่า หลายครั้งที่คนทำไม่ดี โดนชำระและตอบแทนผลการทำผิดของตน ให้แบกรับมันอย่างที่เป็นทันทีในช่วงชีวิตนี้เลย และเช่นกัน คนดีๆหลายคนก็มีโอกาสได้ดื่มด่ำกับผลการทำดีของตนให้ได้เห็นในช่วงชีวิตเหมือนกัน สิ่งนี้เป็นเรื่องจริงที่เป็นที่ยอมรับกันว่ามันเกิดขึ้นจริง จนมีผู้ตั้งเป็นภาษิตไว้เตือนสติผู้คนว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"
จึงอยากถามว่า การตอบแทนผลงานต่างๆ เหล่านี้ ถ้ามันไม่ใช่ผลแห่งความเมตตาและความยุติธรรมของพระเจ้าแล้ว มันจะเป็นของใครได้อีก? เรื่องราวตรงนี้ถ้าไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่าพระเจ้ามีอยู่จริง แล้วจะให้บอกว่าอะไร? จะบอกว่า ความบังเอิญอีกอย่างนั้นหรือ?
4. จิตใต้สำนึกมนุษย์บอกอยู่เสมอว่า "พระเจ้ามีอยู่จริง" เราโกหกตัวเองไม่ได้ ลองกลับไปคิดทบทวนและคุยกับตัวเองอย่างซื่อสัตย์ แล้วคุณจะพบความจริงในเรื่องนี้ อินชาอัลลอฮ์
อัลลอฮ์ ตรัสความว่า
"บรรดาทูตของอัลลอฮ์ ที่ถูกส่งมาหาพวกเขากล่าวกับพวกเขาว่า เรื่องเกี่ยวกับอัลลอฮฺ พระผู้ทรงสร้างบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดินขึ้นมาอย่างนั้นหรือ ที่รู้สึกสงสัยแคลงใจกัน? พระองค์ทรงเรียกร้องพวกเจ้าเพื่อพระองค์จะได้ทรงอภัยโทษให้แก่บาปทั้งหลายของพวกเจ้า และเพื่อที่จะได้ทรงชะลอเวลาให้แก่พวกเจ้าจนถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้"
5. บรรดาคัมภีร์ที่พระองค์ประทานลงมาให้ และบรรดาทูตของพระองค์ที่ทรงส่งมาหาพวกเรา ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งยืนยันชั้นยอดที่บ่งบอกว่า “พระเจ้ามีอยู่จริง”
ก. อัลกุรอ่าน คัมภีร์เล่มสุดท้ายที่พระองค์ประทานลงมาเกี่ยวกับคัมภีร์เล่มนี้ พระองค์ได้เรียกร้องและท้าทายผู้ที่รู้สึกสงสัยและแคลงใจว่า คัมภีร์เล่มนี้มาจากพระเจ้าจริงหรือ ? ตลอดจนผู้ที่ปฏิเสธและกล่าวหาว่า อัลกุรอ่านเป็นคัมภีร์ที่มาจากพระเจ้านั้นเป็นเรื่องเหลวไหล
พระองค์ท้าทายให้พวกเขาไปรวมหัวร่วมมือกันประพันธ์คัมภีร์ขึ้นมาใหม่ ให้เหมือนและเทียบชั้นกับอัลกุรอ่านให้ได้อย่างไม่มีที่ติ แค่บทสั้นๆบทเดียว ซึ่งบทที่สั้นที่สุดในอัลกุรอ่าน มีแค่สามวรรคที่เสมอเหมือนกับอัลกุรอ่านในทุกแง่มุมเท่านั้น ทำมาให้ได้ถ้าคิดว่าตัวเองคิดถูก แต่ก็ไม่มีทำได้ตามคำท้านี้ ทั้งๆที่เวลาก็ล่วงเลยมาแล้วนับพันปี และแรงกระตุ้นที่ให้กระทำอย่างนั้น เพื่อหาอะไรซักอย่างมายืนยันว่าอัลกุรอ่านคือ เรื่องเหลวไหล ก็ยังคงมีอยู่เต็มอกของผู้ที่ปฏิเสธตลอดมา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะทำตามคำท้าทายนี้ และจะไม่มีวันทำได้ สิ่งนี้บ่งบอกว่า อัลกุรอ่าน มาจากพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งมันก็เป็นการยืนยันไปในตัวด้วยเช่นกันว่า พระเจ้าต้องมีอยู่จริงอย่างแน่นอน
อัลลอฮ์ ตรัสความว่า
"และถ้าหากพวกเจ้ารู้สึกแคลงใจกับสิ่งที่เราได้ประทานลงมาแก่บ่าวของเรา พวกเจ้าก็จงนำสักซูเราะฮฺ(บท)หนึ่งที่เสมอเหมือนกันกับสิ่งนี้มาให้ได้ซิ และจงไปเรียกพลพรรคของพวกเจ้าที่นอกเหนือไปจากอัลลอฮฺให้มาช่วยกันด้วย ถ้าหากพวกเจ้าเป็นพวกที่พูดจริง ดังนั้น ถ้าหากพวกเจ้าทำกันไม่ได้ และมันจะไม่มีทางที่พวกเจ้าจะทำมันได้ด้วย พวกเจ้าก็จงยำเกรงต่อไฟนรกเอาไว้ให้ดี ซึ่งเชื้อเพลิงของมันคือ คนและหิน ซึ่งมันถูกเตรียมเอาไว้สำหรับพวกที่ปฏิเสธ"
ข. ข้อมูลที่ปรากฏในคัมภีร์และข้อมูลที่ท่านทูตของอัลลอฮฺ ﷺ ได้เอามาบอกเอาไว้นั้น ล้วนเป็นข้อมูลที่สมบูรณ์แบบ ไม่ได้เป็นข้อมูลที่สับสนและสวนทางกันเองแต่อย่างใด ซึ่งถ้าหากเป็นข้อมูลที่อยู่ในหมวดของเรื่องราวหรือข่าวคราว ข้อมูลในหมวดนี้ทั้งหมด ล้วนเป็นข้อมูลที่ตรงกับข้อเท็จจริงและเป็นความจริงทั้งสิ้น ส่วนถ้าอยู่ในหมวดของบทบัญญัติ ข้อมูลในหมวดนี้ทั้งหมดก็ล้วนเป็นข้อมูลที่เรียกได้ว่าเป็นบทบัญญัติที่มีความลงตัวและเที่ยงธรรมที่สุดทั้งสิ้นด้วย
สิ่งนี้บ่งบอกว่า ถ้าหากผู้ประทานคัมภีร์เหล่านี้ลงมาและผู้ที่ส่งบรรดาฑูตเหล่านี้มาหาพวกเราไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งแล้ว ก็คงจะไม่มีใครอื่นแล้วที่จะทำเช่นนี้ได้
ค. เรื่องราวที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติซึ่งปรากฏกับบรรดาผู้เป็นทูตของอัลลอฮฺ ตามที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์และตามที่ได้มีการรายงานเล่าถึงเหตุการณ์โดยผู้รายงานที่เป็นที่เชื่อถือและมีคุณลักษณะตรงตามเงื่อนไขของเกณฑ์การรับข้อมูล ทั้งหมดนี้ล้วนบ่งบอกถึงการมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้า
ง. ความสมบูรณ์แบบของบรรดาทูตของอัลลอฮฺ ซึ่งล้วนอยู่ในสภาพที่เหมาะแก่การเข้ามาทำหน้าที่เผยแผ่สารจากพระเจ้า สิ่งนี้บ่งบอกว่า ที่พวกท่านเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ได้เป็นเพราะพวกท่านถูกเจาะจงเลือกสรรขึ้นมาให้ทำหน้าที่นี้ ซึ่งนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยืนยันในการมีอยู่จริงของพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่
จ. ผลลัพธ์อันแสนประเสริฐที่ปรากฏกับผู้ที่จำนนต่อคำสอนในคัมภีร์และในแบบฉบับของทูตของพระเจ้า ﷺ นั้น ย่อมเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าต้องมีอยู่จริงอย่างไร้ข้อสงสัย
ฉ. การที่ทูตของอัลลอฮฺ ทุกๆท่านล้วนเชิญชวญผู้คนไปสู่สิ่งเดียวกัน อย่างเป็นเสียงเดียวกันทั้งหมด นั้นคือเชิญชวนให้ผู้คนมาทำการสักการะ วิงวอน เทิดทูนและภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น และห้ามไม่ให้พวกเขาไปมอบสิ่งเหล่านี้ให้แก่ผู้อื่นที่นอกเหนือไปจากพระองค์ เพราะสิทธิอันถูกต้องที่ปวงบ่าวจะมอบการกระทำให้ นอกจากผู้ที่เป็นพระเจ้าเท่านั้น สิ่งนี้บ่งบอกว่า ทุกท่านถูกสั่งมาให้ทำหน้าที่ และผู้ที่กำหนดหน้าที่มาให้พวกท่านก็เป็นผู้ออกคำสั่งผู้เดียวกัน ซึ่งผู้นั้นก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น
♦ เมื่อรับทราบแล้วว่า การมีอยู่จริงของพระเจ้า เป็นความจริงที่คนที่มีสติปัญญาให้การยอมรับกันอย่างไร้ข้อกังขา สิ่งที่จะต้องรับทราบต่อจากนั้นก็คือ ต้องรับรู้และยอมรับว่า มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่เหมาะจะให้เราก้มหัวให้ มีแต่พระองค์เท่านั้นที่ถือสิทธิ์อันถูกต้องที่เราจะทำการสักการะ, เคารพเทิดทูน, วิงวอน, ขอความช่วยเหลือและให้การภักดี เราจะไม่เอาสิทธิตรงนี้ไปมอบให้แก่สิ่งอื่นเป็นอันขาด เพราะนั่นคือ การอธรรมและเป็นพฤติกรรมที่โง่เง่าไร้เหตุผลที่สุด ซึ่งไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการเป็นคนที่มีสติปัญญา
อัลลอฮ์ ตรัสความว่า
"จงพูดว่า ผู้อื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮฺหรือ ที่พวกคุณใช้ให้ฉันสักการระและภักดี ?
พวกโง่เขลาทั้งหลาย แน่นอนว่า ได้มีการบัญชามาให้เจ้าและบรรดาผู้ที่มาก่อนเจ้าว่า
ถ้าหากเจ้าตั้งภาคีขึ้นมาล่ะก็ ผลงานที่เจ้าได้ทำมาก็จะเป็นโมฆะ
และเจ้าก็จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของพวกที่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน
แต่เจ้าจงสักการะและภักดีต่ออัลลอฮฺเท่านั้น และจงเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาบุคคลผู้กตัญญู
และพวกเขาไม่ได้รู้จักเกียรติของอัลลอฮฺตามที่คู่ควรแก่พระองค์กันเลย
ทั้งๆที่ผืนดินทั้งหมดนั้น มันเป็นเพียงกำพระหัตถ์หนึ่งของพระองค์เท่านั้นในวันกิยามะฮฺ
และฟากฟ้าทั้งหลายจะถูกม้วนพับลงด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ และพระองค์ทรงสูงส่งจากสิ่งที่พวกเขาตั้งกันขึ้นมาเป็นภาคีร่วมกับพระองค์"
وصلى الله على محمد وآله وصحبه أجمعين
(ข้อมูลส่วนใหญ่ จาก البراهين العقلية على وحدانية الرب ووجوه كماله ของเชค อับดุ้รเราะฮฺมาน บิน นาศิ้ร อั้ซซ้ะอฺดี้ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ)