เธอคนนี้ คือ ชาวสวรรค์
  จำนวนคนเข้าชม  4610


เธอคนนี้ คือ ชาวสวรรค์

 

อุมมุ อุ้ลยา : แปลและเรียบเรียง

 

         เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่ให้ข้อคิดและข้อเตือนใจเป็นอย่างดี เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอได้รับการรับรองแล้วว่าเป็นชาวสวรรค์

     ท่านอิมามอัลบุคอรีและอิมามมุสลิมบันทึกไว้ในศ่อเฮี๊ยะฮฺของท่านทั้งสองว่า มีรายงานจากท่านอะฏ๊ออฺ อิบนิ อบีร่อบาฮ ว่า : 

ท่านอิบนิ อับบาส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ บอกกับฉันว่า : ฉันจะให้ท่านได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นชาวสวรรค์เอาไหม?  

ฉันตอบว่า : เอาสิ  

ท่านอิบนิ อับบาสกล่าวว่า : ผู้หญิงผิวสีคนนี้ มาหาท่านนบี  

นางบอกว่า : “แท้จริง ดิฉันเป็นโรคลมชัก และเอาเราะฮฺก็มักจะเปิดอยู่เสมอ ขอท่านได้โปรดขอดุอาอฺให้ดิฉันหายป่วยด้วยเถิด”  

ท่านนบี  กล่าวว่า : “หากเธออดทน เธอก็จะได้สวรรค์ แต่หากเธอต้องการ (หายป่วย) ฉันก็จะขอต่ออัลลอฮฺให้เธอหายป่วย”  

นางตอบว่า : “ฉันจะอดทน”  

นางกล่าวต่ออีกว่า : “แท้จริง เอาเราะฮฺดิฉันมักเผยออกมา (เวลาที่หมดสติ) ได้โปรดขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺไม่ให้ดิฉันต้องเปิดเผยเอาเราะฮฺตัวเองด้วยเถิด”  

แล้วท่านนบี  ก็ขอดุอาอฺให้แก่นาง

 

          น่าคิดเหมือนกันว่า เรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงที่มีศรัทธาและความจริงใจ มีหัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์ มีศาสนา มีความละอาย ซึ่งเธอต้องประสบกับบะลาอฺอันหนักหน่วงที่สร้างความทุกข์ร้อน และเป็นปัญหาสำหรับเธอ และทำให้เธอตัดสินใจมาพบท่านนบี  เพื่อขอให้ท่านขอดุอาอฺให้เธอหายจากโรคที่เธอเป็น แต่ท่านนบี  กลับแนะนำเธอในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น นั่นก็คือ การอดทนต่อโรคภัยที่เธอกำลังประสบ เพื่อที่เธอจะได้รับสรวงสวรรค์เป็นการตอบแทน และแล้วเธอก็ขอเลือกสวรรค์ เลือกสถานที่กลับไปอันวิจิตรงดงามแทนการหายป่วย 

 

          หากแต่เธอยังคงรู้สึกไม่สบายใจที่เอาเราะฮฺของเธอเปิด และร่างกายบางส่วนของเธอถูกเผยออกมาเวลาที่โรคกำเริบ ซึ่งเธอไม่ได้ต้องการจะให้เป็นเช่นนั้น เพราะความที่เธอมีอีหม่านและความละอายอย่างมาก จึงทำให้เธอรู้สึกเป็นกังวลและไม่สบายใจมาโดยตลอด และทำให้เธอกล้าเอ่ยขอกับท่านนบี  ว่า “แต่ว่าเอาเราะฮฺดิฉันเผยออกมา” หมายความว่า เป็นสิ่งที่เธอคงไม่สามารถอดทนต่อได้ ถึงแม้ว่าความจริงแล้วมันจะเป็นเรื่องที่เธอไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น และควบคุมไม่ได้ก็ตาม ท่านนบี  ก็ขอดุอาอฺให้เธอ หลังจากนั้น เวลาที่เธอมีอาการเอาเราะฮฺของเธอก็ไม่ถูกเผยให้เห็นอีกเลย อันเนื่องมาจากดุอาอฺของท่านนบี 

 

         ผู้หญิงชาวสวรรค์คนนี้ เอาเราะฮฺถูกเผยออกมาเพราะเป็นโรคลมชัก ซึ่งได้รับการผ่อนผันและไม่ถือเป็นบาปแต่อย่างใด และเธอเองก็ไม่ได้ยินดีที่จะเปิดเผยเอาเราะฮฺ และไม่สบายใจอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกผู้หญิงที่ตั้งใจเปิดเผยเอาเราะฮฺตัวเอง แต่งกายประเจิดประเจ้อ จึงนับว่ามาจากโรคอีกชนิดหนึ่งที่พวกเธอกำลังเป็นกันอยู่ นั่นก็คือ “ภาวะหมดสติ คล้อยตามอารมณ์” อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก อีหม่านที่อ่อนแอ ไม่สนใจศาสนา และละทิ้งความละอาย

 

          อิมาม อิบนิ ก็อยยิม อัลเญาซียะฮฺ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้อธิบายถึงโรคชนิดนี้ไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อ “ซาดุ้ล มอ๊าด” เป็นการบรรยายถึงสภาพผู้คนในยุคของท่านเอง แล้วนับประสาอะไรหากท่านได้เห็นสภาพของผู้คนในยุคนี้ ท่านบรรยายไว้ว่า 

          “ สิ่งที่ส่งผลครอบงำให้จิตใจสกปรกโสมม ก็คือ ความไม่สนใจในศาสนา หัวใจและลิ้นขาดการรำลึก การขอความช่วยเหลือ และขอความคุ้มครองตามแบบฉบับของท่านนบี  จิตใจที่สกปรกโสมมนี้จึงมุ่งเข้าหาคนที่ปราศจากอาวุธป้องกันตัว หรือบางทีเขาอาจจะโป๊เปลือย จึงส่งผลให้มีสภาพเช่นนี้ และหากที่ปกคลุมถูกเปิดเผยออกมา ท่านจะเห็นว่าหัวใจคนส่วนมากล้วนหมดสติ คล้อยตามจิตใจที่สกปรกโสมม ซึ่งมันจะชักจูงเขาไปตามแต่ที่มันต้องการ โดยไม่อาจหักห้ามหรือคัดค้านมันได้ และจะไม่รู้สึกตัวจนกว่าจะแยกออกจากกันหรือได้รับการตรวจรักษาโดยละเอียด 

หนทางเยียวยารักษาภาวะหมดสตินี้ก็คือ การให้สติปัญญาของเราอยู่เคียงคู่กับการศรัทธาต่อสิ่งที่บรรดาร่อซู้ลได้นำมา ให้สวรรค์และนรกเป็นปณิธานที่อยู่ตรงหน้า เป็นกิบลัตของหัวใจ หากพระองค์ทรงประสงค์ให้บ่าวได้รับความดี พระองค์ก็จะทรงทำให้เขาฟื้นคืนสติ กลับมารู้สึกตัว และมองเห็นว่า ผู้คนรอบข้างเขาซ้ายขวาต่างหลับไหลขาดสติ ในสภาพที่เหลื่อมล้ำแตกต่างกันไป บ้างกลายเป็นคนวิกลจริต บ้างอาจมีสติฟื้นคืนมาเล็กน้อยแต่ก็กลับไปขาดสติเช่นเดิม และบ้างอาจทำเหมือนคนมีสติ แต่แล้วก็กลับไปทำคล้ายคนถูกครอบงำตามเดิม”

 

          อิมาม อิบนิล ก็อยยิม ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ บอกไว้โดยที่ท่านยังไม่ทันจะได้เห็นฟิตนะฮฺอย่างมากมาย และไม่ทันจะได้เห็นสภาพของผู้คนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน ที่อีหม่านถูกพัดพาโหมกระหน่ำ ศีลธรรมสั่นคลอน และความละอายมลายหายสิ้น ใครที่ไม่ยึดเอาบังเหียนแห่งหลักการศาสนา และทางนำของท่านนบี  เอาไว้ เขาก็จะกลายเป็นคนขาดสติ และติดบ่วงโรคร้าย สังเวยชีวิตให้กับฟิตนะฮฺ และตกเป็นทาสของอารมณ์ใฝ่ต่ำ

 

          มุสลิมะฮฺทั้งหลาย ลองพิจารณาตัวคุณเองกับผู้หญิงผิวสีคนนี้ เธอบอกกับท่านนบี  ว่า “แท้จริง เอาเราะฮฺดิฉันมักเผยออกมา ได้โปรดขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺ ไม่ให้ดิฉันต้องเปิดเผยเอาเราะฮฺตัวเองด้วยเถิด” ที่เธอพูดเช่นนี้ เป็นเพราะเธอเกรงว่าเอาเราะฮฺของเธอจะเปิด ทั้งๆ ที่เธอถูกผ่อนผัน ไม่ถือโทษ แล้วพวกคุณล่ะสตรีมุสลิมะฮฺ คุณเป็นอย่างไรกันบ้าง ? 

          เมื่อผู้หญิงทั้งหลายขาดสติ –อันเนื่องมาจากคล้อยตามอารมณ์- พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่างๆ จะเข้ามาแทนที่ ดังที่เราพบเห็นพวกเธอตามประเทศมุสลิม บ้านเมืองของผู้มีศรัทธาทั่วทุกสารทิศ ที่เธอจะเปิดเผยเอาเราะฮฺ แต่งกายประเจิดประเจ้อ ไม่คลุมศีรษะ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์สตรีมุสลิมะฮฺ นับตั้งแต่สมัยศ่อฮาบียะฮฺผู้ทรงเกียรติ และผู้ที่ดำเนินตนตามรอยทางของพวกท่านเหล่านั้นอย่างดีงาม พวกนางคือสตรีแห่งอัลอีหม่าน คือผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งความมีสัจจะ รักนวลสงวนตัว และมีความละอาย 

          แต่ปัจจุบันนี้ ผู้หญิงกลับขาดสติไร้สัมปัชชัญญะ ไม่แยแสใดๆ กับการอวดโฉมประชันความงาม เธอคนนั้นเปิดอก เธอคนนี้เปิดคอ เธออีกคนเผยเส้นผม อีกคนโชว์เรียวขา กระทั่งเปิดเผยเอาเราะฮฺและแต่งกายประเจิดประเจ้อ 

ศรัทธาไม่อาจหักห้ามยับยั้งเธอ เธอกล้าทำอย่างไร้ยางอาย และปราศจากการยำเกรงต่ออัลลอฮฺ 

ผู้หญิงเหล่านั้น เคยนึกถึงวันฟื้นคืนชีพ นึกถึงการยืนอยู่ต่อหน้าอัลลอฮฺบ้างหรือไม่ ?! 

ต่อจากนั้น สิ่งที่พวกเธอต้องพบคือ การคิดบัญชีสอบสวน 

คือ การลงโทษตอบแทนในพฤติกรรมและความผิดทุกประการที่พวกเธอเคยทำเอาไว้ 

อะไรกันหรือที่ทำให้พวกเธอหลงออกไปจากการมีศรัทธา ? 

สิ่งใดกันที่ล่อลวงพวกเธอให้สลัดทิ้งความละอาย ? 

อะไรกันที่ทำให้พวกเธอจมดิ่งสู่ความต่ำต้อยไร้เกียรติอย่างที่สุด ? 

รู้สึกตัวกันได้แล้ว เพื่อที่พวกเธอจะได้ช่วยชีวิตตัวเองให้พ้นจากภาวะหมดสติเช่นนี้....


          ขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮฺ  ผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นนาย ผู้ทรงคุ้มครองดูแล และผู้ทรงสูงส่งเกรียงไกร ขอพระองค์โปรดประทานความรักนวลสงวนตัว ความละอาย และการปกปิดมิดชิดให้แก่เธอ เพื่อพิทักษ์ปกป้องตัวของเธอ ทะนุถนอมความละอายของเธอ และรักษาประคับประครองอีหม่านของเธอ
 

ความสำเร็จนี้ อยู่ในพระหัตถ์ของอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น

 

 

แปลโดยสรุป จากหนังสือ เมาอิศ่อตุ้น นิซาอฺ หน้า 28-33 

เขียนโดย เชค อับดุรร๊อศศ๊าก อับดุลมุฮฺซิน อัลบัดร์ ฮะฟิศ่อฮุ้ลลอฮฺ