สิ่งที่ชาวอะลุซซุนนะห์พึงปฏิบัติต่อกัน
  จำนวนคนเข้าชม  2636


สิ่งที่ชาวอะลุซซุนนะห์พึงปฏิบัติต่อกัน


 

เขียนโดย อิสมาอีล กอเซ็ม 

 

มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก 

 

         หากเราจะนับความโปรดปรานของอัลลอฮฺนั้นมีมากมาย จนเราไม่สามารถคณานับได้ และส่วนหนึ่งจากความเมตตาที่อัลลอฮฺได้ทำให้เราเป็นพี่น้องกันในศาสนา คำดำรัสของอัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่ง ความว่า

 

          "และจงรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ ที่มีแต่พวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงให้สนิทสนมกันระหว่างหัวใจของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วย ความเมตตาของพระองค์

          และพวกเจ้าเคยปรากฏอยู่บนปากหลุมแห่งไฟนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากปากหลุมแห่งนรกนั้น ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์ จะทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาโองการของพระองค์เพื่อว่าเพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง"

 

           อายะห์นี้อัลลอฮฺ  ได้เล่าถึงสภาพของ ชนเผ่าเอาซฺ และอัลคอรรอจฺ ที่ในยุคก่อนอิสลามพวกเขาได้เป็นศัตรูกัน แต่เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ได้นำอิสลาม แล้วอัลลอฮฺ  ได้ให้การศรัทธาหล่อหลอมจิตใจของพวกเขา จากการเป็นศัตรูกลายมาเป็นพี่น้องกัน นี่คือความโปรดปรานที่อัลลอฮฺให้มาพร้อมด้วยอิสลาม


อัลลอฮฺ  ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของพวกเขาไว้ในอัลกุรอาน ความว่า


 

          "มุฮัมมัดเป็นร่อซูลของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับเขา เป็นผู้เข้มแข็งกล้าหาญต่อพวกปฏิเสธศรัทธา เป็นผู้เมตตาสงสารระหว่างพวกเขาเอง เจ้าจะเห็นพวกเขาเป็นผู้รูกั๊วะ ผู้สุญูด โดยแสวงหาคุณความดีจากอัลลอฮฺและความโปรดปราน (ของพระองค์) เครื่องหมายของพวกเขาอยู่บนใบหน้าของพวกเขาเนื่องจากร่องรอยแห่งการสุญูด นั่นคืออุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัตเตารอต และอุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัลอินญีล 


          ประหนึ่งเมล็ดพืชที่งอกหน่อหรือกิ่งก้านของมันออกมาแล้วทำให้มันงอกงาม แล้วมันก็เติบโตแข็งแรงและทรงตัวอยู่ได้บนลำต้นของมัน นำความปลื้มปิติมาให้แก่ผู้หว่าน เพื่อที่พระองค์จะก่อความโกรธแค้นแก่พวกปฏิเสธศรัทธา เพราะพวกเขา (มุสลิมีน) และอัลลอฮฺทรงสัญญาบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลายในหมู่พวกเขาว่าจะ ได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง"



          นี่คือคุณลักษณะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม และเหล่าศอหาบะห์ของท่าน พวกเขาจะมีความรักระหว่างกัน ช่วยเหลือซึงกันและกัน เสียสละในหนทางของอัลลอฮ์  เพื่อเชิดชูคำดำรัสของอัลลอฮ์  ให้สูงส่ง พวกเขาไม่ถูกเรียกด้วยชื่อใด นอกจากอัซซุนนะห์ 

          และอายะห์ต่างๆเหล่านี้ยังเป็นการชี้ถึงความประเสริฐของเหล่าศอหาบะห์ ที่อัลลอฮฺ  ได้นำคุณลักษณะของพวกเขามากล่าวไว้ในอัลกุรอ่าน ดังนั้นใครที่ได้ด่าทอเหล่าศอหาบะห์ และกล่าวหาว่าเหล่าศอหาบะห์ รอฎิยัลลอฮูอันฮุม ได้ตกมุรตัด ออกจากศาสนา เท่ากับพวกเขาได้ตอบโต้ไม่ยอมรับคำดำรัสของอัลลอฮฺ  โดยในอายะห์นี้อัลลอฮได้รับรองเหล่าศอหาบะห์ ถึงความประเสริฐและความดีงามของพวกเขา และในหมู่ศอหาบะห์พวกเขาเป็นผู้ที่อ่อนโยนนอบน้อมถ่อมตน นี่คือแนวทางของชาวอะลุซซุนนะห์ในยุคของเหล่าศอหาบะห์ ขออัลลอฮ์  ได้ทรงพอพระทัยแก่พวกเขา 


         แต่หากเรามาดูชาวอะลุซซุนนะห์ในปัจจุบัน มีการกล่าวหาที่นำไปสู่ความเกลียดชังมากมาย มีการติดตามข้อผิดพลาดในประเด็นบางประเด็นจนนำไปสู่การความเกลียดชัง มีการตอบโต้กันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น พื้นฐานเดิมไม่มีใครสามารถที่จะรอดพ้นความผิดพลาดกัน และบรรดาผู้ที่มีความรู้ชาวซุนนะห์ไม่มีใครมีเจตนาที่จะบิดเบือนหลักคำสอนของอิสลาม แต่บางครั้งความผิดพลาดอาจจะเกิดจากหลายปัจจัย อาจจะเป็นเพราะมีความมั่นใจกับหลักฐานที่มีอยู่ แต่ไม่มั่นใจกับหลักฐานที่มีอยู่กับผู้รู้ที่เห็นต่างกับเขา จนเป็นเหตุให้ผู้รู้สองท่านมีความเห็นต่างกัน หรือบางครั้งเข้าใจจุดประสงค์ของหลักฐานคลาดเคลื่อนไป หรือบางครั้งความผิดพลาดเกิดจากข้อคลุมเครือ และอื่นๆจากนี้ 


         เมื่อเราประจักษ์ชัดว่าพวกเขามีความผิดพลาดในเรื่องนั้นๆ เราไม่ต้องไปติดตามในประเด็นที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ชี้แจงข้อผิดพลาดของพวกเขาบนพื้นฐานของความรู้ที่ถูกต้องไม่ใช่เกิดจากการคาดเดา และรับความรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าเขามีความผิดพลาดประเด็นหนึ่ง แล้วเราไปเตือนผู้คนให้ออกห่างจากการรับความรู้จากพวกเขาในประเด็นอื่นที่ถูกต้อง


 โดยที่ท่านเชค อับดุลมัวะซิน อัลอับบาด ฮาฟาซอฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า 

          จากคำตักเตือน (ของท่าน) แก่ชาวอะลุซซุนนะห์ คนหนึ่งคนใดจากพวกเขา(ชาวซุนนะห์)ได้มีความผิดพลาด ก็ให้ทำการชี้แจงบอกกล่าวข้อผิดพลาดของพวกเขา และอย่าพยายามติดตามหาข้อผิดพลาด และอย่าได้ปลีกตัวออกห่างจากพวกเขา อันเนื่องจากความผิดพลาดดังกล่าว ให้เราเอาประโยชน์จากเขา โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีใครที่มีความรู้มากไปกว่าเขา 

จากหนังสือ رفق أهل السنة بأهل السنة หน้าที่ 286

           จากคำพูดของท่านเชค อับดุลมัวะซิน ฮาฟิซอฮุลลอฮฺ ได้ตักเตือนชาวซุนนะห์เมื่อเห็นพี่น้องในซุนนะห์มีความผิดพลาดในประการใด ให้ทำการตักเตือนกันด้วยความบริสุทธิ์ และยังคงเป็นพี่น้องกัน ไม่ออกจากกันและยังคงช่วยเหลือร่วมมือกันในสิ่งที่เป็นคุณงามความดี และไม่เอาความผิดพลาดบางประการของนักวิชาการเหล่านั้น มาเตือนผู้คนไม่ให้รับความรู้จากเขาในสิ่งที่ถูกต้อง 

          ดังนั้นชาวอะลุซซุนนะห์สมควรที่จะหมกหมุ่นในเรื่องของวิชาความรู้ ไม่ใช่หมกหมุ่นที่จะพยายามรวบรวมข้อผิดพลาดของบรรดาผู้ที่มีความรู้ ในความผิดพลาดบางประเด็น แล้วเตือนผู้คนไม่ให้รับความรู้จากเพียงข้อผิดพลาดบางประเด็นของเขา จนลุกลามไม่รับในส่วนที่เป็นความรู้ที่ถูกต้อง ดังนั้นเมื่อเราเห็นว่าผู้รู้ท่านนั้นมีความผิดพลาดในเรื่องใด เราได้ทำการเตือนในเรืองนั้น แต่หลังจากการเตือนความเป็นพีน้องของเราก็ยังคงอยู่ และบางครั้งหลังจากที่เราเตือนผู้รู้บางท่านที่เราเห็นว่า เขามีความผิดพลาดในบางประเด็น และหลังจากเราเตือนแล้วผู้รู้ท่านนั้น ไม่รับการตักเตือนจากเรา ซึงบางครั้งสาเหตุที่ทำให้ผู้รู้ท่านนั้นไม่รับการตักเตือน ก็เนื่องจากเขามีความมั่นใจกับหลักฐานที่มีอยู่ และไม่มั่นใจในหลักฐานที่เราได้นำไปเตือนว่าเป็นหลักฐานที่ถูกต้อง หรือสาเหตุอื่นๆนอกเหนือจากนี้ 


          สิ่งที่พึงระวังอีกประการหนึ่ง คือในกลุ่มคนหนุ่มที่กำลังศึกษาหาวิชาความรู้ ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่มาคอยจับผิดความผิดพลาดของผู้รู้ ซึงหน้าที่ของคนหนุ่มต้องทำหน้าที่ของตัวเอง คือพยายามทุ่มเทในการศึกษาหาวิชาความรู้ ไม่ว่าความรู้ในการอ่านอัลกุรอ่านให้ถูกต้อง และท่องจำอัลกุรอ่าน เรียนรู้ความหมายของอัลกุรอ่าน และเรียนรู้หะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ท่องจำ ทำความเข้าใจแล้วนำมาปฏิบัติ เรียนรู้ภาษาอาหรับ ให้รู้หลักภาษาที่ถูกต้อง เพราะการเรียนรู้ภาษาอาหรับเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เราได้เข้าใจอัลกุรอ่าน และอัลหะดีษให้ดียิ่งขึ้น และเรียนรู้มารยาทของชาวซุนนะห์ในการศึกษาหาวิชาความรู้ เรียนมารยาทของชาวอะลุซซุนนะห์ในการปฏิบัติตัวต่อบรรดาผู้ที่มีความรู้ 

          ปัจจุบันสิ่งที่น่าเสียใจอย่างหนึ่งสำหรับคนหนุ่มที่พวกเขายังอยู่ในวัยของการศึกษา ที่พวกเขาหมกหมุ่นอยู่กับอินเตอร์เน็ตและมุ่งเน้นแต่การหาข้อผิดพลาดบางประการของนักวิชาการซุนนะห์ จนกระทั่งความผิดพลาดของนักวิชาการซุนนะห์เหล่านั้น ไม่มีใครที่รอดพ้นจากการตำหนิของเขา และจากข้อผิดพลาดบางประการ ยังลุกลามไปในการเตือนไม่ให้รับความรู้ของนักวิชาการเหล่านนั้นทั้งหมด 

 

ท่านเชค อับดุลมัวะซิน ฮาฟาซออุลลอฮฺ ได้กล่าวในประเด็นนี้ไว้ว่า 

          ฉันขอสั่งเสียและเตือนบรรดาคนหนุ่ม คือการหมกหมุ่นติดตามอยู่กับการเก็บรวบรวมมุ่งเน้นหาข้อผิดของบรรดาผู้แสวงหาวิชาความรู้ ในเวปไซต์ต่างๆในอินเตอร์เน็ต และเตือนผู้คนให้ระวัง(หมายถึงจากความผิดพลาดหนึ่งทำให้ไม่รับความรู้ที่ถูกต้อง) โดยที่เชค มูฮัมหมัด บิน สุไหลหมาน อัลอัชกอร ท่านได้มีความผิดพลาดที่น่าเกลียด ในการไปลบลู่เกียรติของศอหาบะห์ อบีบักเราะห์ รอฎิยัลลอฮูอันฮู และบรรดาสายรายงานของท่าน และเช่นกัน เขาได้ให้ความสำคัญในการแต่งตั้งผู้หญิงให้เป็นผู้นำ ในประเด็นที่ผู้หญิงสามารถมีส่วนร่วมในการเป็นผู้นำได้ และได้มีผู้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งทำการตอบโต้ชื่อว่า (การปกป้องศอหาบะห์อบีบักเราะห์ และสายรายงานต่างๆของท่าน และหลักฐานที่ชี้แจงถึงการห้ามผู้หญิงมาเป็นผู้นำเหนือผู้ชาย ) 

          ฉันขอเตือนถึงความผิดพลาดที่น่าเกลียดอันนี้ (คำพูดของเชค อับดุลมัวะซิน) แต่ฉันไม่ได้ห้ามหนังสืออื่นๆของเขาที่มีประโยชน์ แม้กระทั่งในสายรายงานของอิหม่ามบุคคอรีย์และมุสลิม และสายรายงานอื่นๆจากสายรายงานของท่านทั้งสอง มีตัวผู้รายงานที่ถูกกล่าวถึงว่าทำบิดฮะ แต่ทั้งที่ถูกกล่าวว่าทำบิดฮะห์ แต่สายรายงานของเขาถูกรับ แต่บรรดาผู้รู้ก็มีการเตือนให้ออกห่างจากบิดฮะห์นั้นๆ 

จากหนังสือ رفق أهل السنة بأهل السنة หน้าที่ 286 -287


          จากคำพูดของท่านเชค อับดุลมัวะซิน ฮาฟิซออุลลอฮฺ ได้มีความเป็นธรรมในการตัดสินความผิดพลาดของตัวบุคคล สิ่งที่ผิดพลาดก็ว่าไปตามผิด และสิ่งที่ถูกต้องก็นำมาปฏิบัติ ไม่ได้เหมารวมด้วยกับความผิดพลาดบางอย่าง จนนำไปสู่การไม่รับความรู้ที่ถูกต้อง


          ดังนั้นฟิตนะห์ความวุ่นวายที่ชาวซุนนะห์ได้ถูกทดสอบระหว่างกันในขณะนี้คือ การกล่าวถึงข้อตำหนิซึงกันและกัน จนนำไปสู่การแยกออกจากกัน ไม่ร่วมมือกัน ปลีกตัวออกจากกันโดยสิ้นเชิง จึงเป็นโอกาสให้เหล่าผู้ที่ไม่หวังดีต่อชาวอะลุซซุนนะห์ฉวยโอกาสที่เรามัวมาทะเลาะกัน เป็นช่องทางในการโจมตีใส่ร้ายชาวอะลุซซุนนะห์ สุดท้ายก็ทำให้เราอ่อนแอ หากเรายังคงหมกหมุ่นกับเรื่องนี้ยิ่งทำให้เราอ่อนแอ และเราจะแตกแยกกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 




สุดท้ายนี้ขออัลลอฮฺได้ประทานความสามัคคีและความเป็นพี่น้องแก่ชาวอะลุซซุนนะห์ และขจัดความไม่ดีงามต่างๆให้หมดไปจากชาวอะลุซซุนนะห์