ความรุนแรงไม่มีในอิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  3793


ความรุนแรงไม่มีในอิสลาม


 

เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม

 

มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก

 

         หากเราจะนับความโปรดปรานที่อัลลอฮ์  ได้ประทานมาให้เรานั้น มันมากมายเกินจะคณานับได้ ส่วนหนึ่งของความโปรดปรานคือ ความสงบสุขของบ้านเมือง หากเราไปดูในอัลกุรอานที่อัลลอฮ์  ได้กล่าวถึง ความสงบสุขความปลอดภัยมีอยู่หลายๆ อายะห์ด้วยกัน

 

          "และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีมได้วิงวอนว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์โปรดทรงให้ที่นี่เป็นเมืองที่ปลอดภัย และประทานบรรดาผลไม้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่ชาวเมืองนั้นด้วย คือ ผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกจากพวกเขา

         พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธการศรัทธา ข้าจะให้เขาได้รับความสำราญชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภายหลังข้าจะบีบบังคับให้เขาไปสู่การทรมานแห่งขุมนรก และเป็นจุดหมายปลายทางอันชั่วช้ายิ่ง"
 

(อัล-บะเกาะเราะฮ - Ayaa 126)

 

         จากอายะห์ข้างต้น ท่านนบี อิบรอฮีมอะลัยอิสสลามได้เริ่มในการวิงวอนขอของท่าน ด้วยการขอให้มีความสงบปลอดภัย หลังจากนั้นท่านได้ขอเรื่องของปัจจัยยังชีพต่างๆ จะเห็นได้ว่าสังคมใดที่มีความสงบ ความปลอดภัย สังคมนั้นจะมีความเจริญ มีปัจจัยยังชีพมากมาย หากเราไปดูประเทศที่มีภัยสงคราม มีการสู้รบ ประชาชาชนจะอยู่ด้วยความลำบาก ไม่สามารถประกอบอาชีพได้เป็นที่มาของการขาดแคลนอาหาร ยารักษาโรค และจะมีการสูญเสียชีวิตจากการสู้รบ และจากการบาดเจ็บ และปัญหาสังคมจะตามมามากมาย ไม่ว่าการลักขโมย การก่ออาชญากรรม และอีกมากมายที่ส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์เรา 

 

         ดังนั้นการสร้างความสงบและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จึงเป็นสิ่งที่สังคมสมควรร่วมมือกัน เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และแน่นอนอิสลามเป็นศาสนาหนึ่งที่เรียกร้องผู้คนให้ช่วยกันสร้างสังคมให้มีความปลอดภัย และให้เกิดสันติสุข อิสลามปฏิเสธการก่อการร้ายในทุกๆรูปแบบ 

 

          ปัจจุบันมีการกระทำที่รุนแรงมากมาย ที่ความรุนแรงเหล่านั้นถูกเชื่อมโยงว่าเป็นคำสอนของอิสลาม ซึงบางครั้งผู้กระทำการรุนแรงเป็นมุสลิม หรือความรุนแรงต่างๆเหล่านั้นเกิดในประเทศมุสลิม เช่น การลอบวางระเบิดในสถานที่ ที่มีผู้คนพลุกพล่าน จนเป็นเหตุให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต การกระทำเหล่านี้ถึงแม้ว่าผู้ที่กระทำอาจจะเป็นมุสลิม ก่อนที่จะตัดสินว่ามันเป็นคำสอนของอิสลาม ต้องดูก่อนว่าการกระทำเหล่านี้ใครเป็นคนทำ และกลุ่มไหนบ้างที่ออกมาอ้างความรับผิดชอบ 

         มีเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นแล้วไม่มีกลุ่มใดออกมารับผิดชอบ เพียงที่คาดเดาว่าน่าจะเป็นการกระทำของคน กลุ่มนั้นๆ ซึ่งบางครั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถูกนำไปเชื่อมโยงกับมุสลิม และนำไปใส่ร้ายมุสลิม จนเป็นเหตุให้ผู้คนเข้าใจอิสลามไปในทางที่ผิด ซึ่งในคำสอนของอิสลามนั้นไม่ได้สอนให้ใช้ความรุนแรง ทำลายเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์

หลักฐานในอัลกุรอาน

         "อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนาและพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม"

(อัล-มุมตะหะนะฮฺ - Ayaa 8)

          จากอายะห์นี้อัลลอฮ์  ไม่ได้ห้ามที่เราจะปฏิบัติในสิ่งที่ดีๆ แก่บุคคลต่างศาสนา โดยที่มีเงื่อนไขว่าคนเหล่านั้นไม่ได้ต่อต้านศาสนาให้ร้ายแก่อิสลามและบรรดามุสลิม หมายถึงบรรดาที่ผู้คนละศาสนากับเรา ที่อยู่ร่วมกันโดยไม่มีการละเมิดซึงกันและกัน


         ดังนั้น การก่อเหตุสร้างความรุนแรงเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่ใช่เป็นคำสอนของอิสลามอย่างแน่นอน หากเราศึกษาประวัติศาสตร์อิสลาม เราจะพบว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ได้กำชับแก่บรรดาทหารมุสลิม ขณะที่ออกไปทำสงคราม ห้ามฆ่าเด็ก สตรี คนชรา นักบวช ห้ามตัดต้นไม้ ทำลายบ้านเรือน ศาสนสถาน ดังนั้นสงครามใดก็ตามที่ได้ปฏิบัติไปตามรูปแบบของอิสลาม จะทำให้ความสูญเสียน้อยลง 


          หากเราดูการทำสงครามในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะการทำสงครามของชาติมหาอำนาจ ที่เข้ามาสู่ตะวันออกกลาง สงครามอิรัค อัฟกานิสสถาน ประชาชาชนที่เป็นพลเรือนได้ถูกสังหารจำนวนมากมาย ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม บ้านเรือนถูกทำลาย โรงเรียน มัสยิด และผู้ที่พิการจนไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้ อีกมากมาย ชีวิตของประชากรมุสลิมเสมือนว่า เป็นชีวิตที่ไร้คุณค่า การเข่นฆ่ามุสลิมจำนวนมากไม่เคยถูกหยิบยกมาพูดถึง จากประเทศที่เจริญแล้ว ประเทศที่พวกเขา มักจะกล่าวอ้างอยู่เสมอว่า พวกเขาเป็นประเทศที่ส่งเสริมประชาธิปไตย ไม่มีใครรับผิดชอบกับความเสียหายในประเทศอิสลาม จากการรุกรานของชาติมหาอำนาจ และไม่เคยมีประเทศประชาธิปไตย ประเทศใดที่ออกมาประจานการรุกรานของชาติมหาอำนาจ ที่เข้าไปรุกรานอัฟกานิสถาน และอิรัค เพียงแค่อ้างว่า เพื่อต้องการขจัดกลุ่มก่อการร้าย และอาวุธชีวะภาพที่เป็นภัยคุกคามของโลก สุดท้ายเมื่อเรากลับมาดูอิรัค และอัฟกานิสถานก็ไม่สามารถ มีความสงบและไม่สามารถเกิดประชาธิปไตยตามที่กล่าวอ้างได้ 


         ♥ อิสลามไม่มีคำสอนที่ก่อการร้าย กลุ่มต่างที่ได้กระทำการที่เป็นภัยคุกคามของโลกนั้น เป็นการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในสังคม มนุษย์นั้นถือว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางของอัลกุรอาน และแนวทางของท่านนบี มูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม หลายคนคงเข้าใจว่าอิสลาม เป็นศาสนาที่ชอบทำสงคราม ชอบสร้างปัญหาให้แก่สังคม ตรงไหนมีมุสลิม ตรงนั้นมีแต่ปัญหา การสู้รบ ความรุนแรง

          คำว่าประชาธิปไตย ก็คือการให้เสรีภาพความเท่าเทียมในการเป็นมนุษย์ ที่หลายคนกล่าวอ้าง แต่เมื่อเรามาดูมุสลิมที่อาศัยในประเทศที่เป็นต้นแบบของประชาธิปไตย อย่างฝรั่งเศส แต่มุสลิม ถูกกัดกันทางเสรีภาพ เช่น ห้ามมุสลิมสวมใส่ฮิญาบ แบบนิกอบ การปกปิดใบหน้า และยังออกกฎหมายเอาผิดแก่บุคคลที่ กระทำเช่นนั้นในที่สาธารณะ หากเป็นการเคารพเสรีภาพกันจริง ก็ต้องให้สิทธิในการแสงออกที่ไม่ได้เป็นการทำร้ายสังคม 


          ♥ อิสลามกล้าท้าทายให้มวลมนุษยชาติ นำอิสลามมาแก้ปัญหาที่เกิดในกลุ่มของมนุษย์ เพราะ อัลลอฮ์ ซุบหานาฮูวาตาอาลา คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ทั้งหมดมา พระองค์ย่อมรู้ดีถึงหลักการที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์ พระองค์จึงกำหนดกฎเกณฑ์ข้อบังคับมา เพื่อผลประโยชน์ที่แท้จริงของมนุษย์ เป้าหมายหลักของบทบัญญัติอิสลาม มีสองประการด้วยกัน คือ นำประโยชน์มาสู่มนุษย์ และปกป้องมนุษย์จากความเสียหาย นี่คือ จุดประสงค์หลักๆของบทบัญญัติอิสลาม 


         บทบัญญัติแต่ละข้อที่อัลลอฮ์  กำหนดมาย่อมสมเหตุ สมผล และไม่ค้านต่อความรู้กับธรรมชาติที่บริสุทธิ์ หลายคนที่พยายามโยงอิสลามกับความรุนแรง โยงอิสลามกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่นการนำบทบัญญัติอิสลามที่ว่าด้วยกับ การคลุมฮิญาบปกปิดร่างกายของบรรดาสตรีมุสลิม ว่ามันเป็นหลักการที่มาลิดรอนสิทธิสตรี เป็นสิ่งที่มาสร้างความยากลำบากแก่สตรี  ในโลกที่เจริญมีความก้าวหน้าแต่สตรีอิสลามถูกปิดกั้นจากหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น ถูกปิดกั้นจากการประกอบอาชีพ การทำงาน การแสดงที่ต้องได้รับสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชาย แต่หากบุคคลที่มีจิตใจที่เป็นกลาง ไม่อคติก่อนที่เขาจะตำหนิหลักการอิสลาม เขาสมควรที่จะทำการศึกษาหลักการอิสลามในแต่ละข้อให้รู้ถึงรายละเอียดที่แท้จริง หากเขาศึกษาหลักการอิสลามจนทราบถึงรายละเอียดที่แท้จริง เขาจะพบว่ามีการกล่าวหาอิสลามมากมายที่ไม่เป็นความจริง เพราะเขารู้จักอิสลามแบบผิวเผินไม่ได้ศึกษาอิสลามต้นตอ และเป็นการศึกษาที่ถูกรูปแบบขั้นตอน 


          ในปัจจุบันชาติตะวันตกที่อ้างสิทธิมนุษยชน มนุษย์มีเสรีภาพเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มันเป็นแค่เพียงการกล่าวอ้าง มีมุสลิมจำนวนมากในหลายประเทศที่ถูกรุกรานโดยชาติมหาอำนาจ โดยอ้างว่าต้องการปลดปล่อยชาติที่ถูกกดขี่ข่มเหงจากผู้นำที่อธรรม และเพื่อขจัดภัยคุกคามของโลกในประเทศบางประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบตะวันออกกลาง แต่ในความเป็นจริงแล้วชาติมหานอำนาจอ้างสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นข้ออ้าง เพื่อเข้ามาแสวงหาทรัพยากรในประเทศนั้นๆ และเมื่อเข้ามาก็ได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนคนในประเทศนั้นๆ ไม่ว่าด้วยกับการทิ้งระเบิดทำลายบ้านเรือน ประชาชนผู้บริสุทธิ์ จากบรรดาสตรี เด็กๆ คนชรา จำนวนมากที่ต้องสังเวยชีวิตให้แก่ปฏิบัติการครั้งแล้วครั้งเหล่า ของประเทศมหาอำนาจ และผู้บริสุทธิ์ถูกจับตัวไปจองจำ ทำร้ายร่างกาย ผู้หญิงถูกข่มขืน ถูกละเมิดทางเพศ ถูกทารุณกรรมทางร่างกายและจิตใจ


           ♦ กี่มากน้อยแล้วที่มีการอ้างว่า โจมตีผู้ก่อการร้าย และผลลัพธ์ที่ออกมา ก็คือ ผู้ก่อการร้าย มีอายุ ตั้งแต่อายุ 1 เดือนขึ้นไป เด็กน้อยสังเวยชีวิตไปจำนวนมาก ภายใต้เหตุผลการก่อการร้าย ชีวิตมุสลิมถูกสังหารไปจำนวนหลายล้าน เป็นเด็กจำนวนมาก แต่ไม่เคยมีชาติที่เรียกร้องผู้คนในเรื่องสิทธิมนุษยชน ออกมาแสดงการประจานการกระทำที่ป่าเถื่อนเหล่านี้ หรือชีวิตมุสลิมเป็นแค่เพียงเศษขยะที่ไม่มีค่าอันใด


         การตายของเด็กน้อยในปาเลสไตน์ ไม่เคยมีชาติมหาอำนาจออกมาประจาน การกระทำที่ป่าเถื่อนของผู้กระทำที่ไร้ความเป็นมนุษย์ การกระทำของรัฐบาลซีเรีย อิรัค ที่โจมตีประชาชนของตัวเองรายวัน โดยใช้เหตุผลเดียวกัน คือ ปราบผู้ก่อการร้าย โดยที่ผู้ก่อการร้ายยังเป็นคนกลุ่มเป้าหมายเดิม คือเด็กน้อยที่จบชีวิต คนแล้ว คนเล่า แต่กลับมองว่าพวกเขาสมควรตายเพราะเป็นลูกหลานของผู้ก่อการร้าย

 


...อิสลามไม่ใช้ศาสนาของการก่อการร้าย...

...ในไม่ช้าชาวโลกคงตาสว่างว่าตัวนี้ผู้ก่อการร้ายตัวจริงคือใคร และทุกคนคงมีคำตอบอยู่ในใจ...