สอนลูกเรื่องมลาอิกะฮฺ
  จำนวนคนเข้าชม  9314


สอนลูกเรื่องมลาอิกะฮฺ


 

โดย... อุมมุ อุ้ลยา  


          อันดับแรกที่พ่อแม่ต้องสอนลูกให้รู้ คือ การรู้จักพระเจ้า พระผู้สร้าง ผู้ให้ชีวิต ผู้ทรงสิทธิ์หนึ่งเดียว ในการได้รับการเคารพภักดี โดยไม่มีภาคีใดๆ ร่วมกับพระองค์ ผู้ทรงเห็นในทุกสภาพการณ์ ทรงได้ยินแม้ไม่ได้เอ่ยปาก ทรงรอบรู้แม้สิ่งที่อยู่ภายใต้จิตสำนึก การปูพื้นฐานด้านการศรัทธาที่ถูกต้อง จึงนับเป็นอิฐก้อนแรกของชีวิตลูก เพื่อวางรากฐานของชีวิตให้มั่นคงบนหนทางที่ถูกต้องตลอดชีวิตของเขา



          รุก่นศรัทธาข้อที่สองรองจากการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ  คือ การศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮฺของพระองค์ เราผ่านการท่องจำประโยคนี้ซ้ำๆ แต่เรารู้จักและมีความเข้าใจอย่างไรเกี่ยวกับบรรดามลาอิกะฮฺของพระองค์ การสอนลูกเรื่องมลาอิกะฮฺ ไม่ใช่การบอกเล่าเหมือนเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ แต่คือการบอกสอนเพื่อย้ำเตือนให้เขาได้รู้ว่า บรรดามลาอิกะฮฺมีอยู่จริง เป็นบ่าวของอัลลอฮฺจริงๆ ได้รับมอบหมายหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และจักรวาลนี้จริงๆ และที่สำคัญ คือ สอนให้เขารู้ว่าเราจำเป็นต้องรักบรรดามลาอิกะฮฺเหล่านั้นจริงๆ


         การศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮฺเป็นหนึ่งในหกข้อของรุก่นอีหม่าน อีหม่านของเราจะถูกต้องสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อ เราเชื่อ ศรัทธา และยอมรับ ในรุก่นทั้งหกประการโดยไม่ยกเว้นข้อหนึ่งข้อใด หากขาดหรือไม่ยอมรับแม้เพียงข้อเดียว ก็ไม่ถือว่าบุคคลผู้นั้นเป็นมุอฺมินผู้ศรัทธา เพราะเสาหลักที่รองรับการศรัทธาของเขาไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง อีหม่านจะคงอยู่ไม่ได้หากมีรุก่นไม่ครบองค์ประกอบ เหมือนกับที่อาคารบ้านเรือนไม่อาจตั้งตระหง่านอยู่ได้หากไร้ซึ่งเสาคอยค้ำยัน ฉันใดก็ฉันนั้น อีหม่านทั้ง 6 ประการนี้มีระบุไว้ในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ  ที่ว่า

 

“แต่ทว่าคุณธรรมนั้น คือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลก

และศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮฺ บรรดาคัมภีร์และบรรดานบีทั้งหลาย” 
 

(อัลบะก่อเราะฮฺ :177)
 

และสำหรับการศรัทธาต่อกำหนดสภาวการณ์ระบุไว้ในดำรัสที่ว่า

 

“แท้จริงเราได้บังเกิดทุกสิ่งขึ้นมาตามกำหนด”

(อัลก่อมัร : 49)

ในหะดีษของท่านนบี  ได้ระบุสำทับเช่นเดียวกัน ว่า

         “อัลอีหม่านคือ การที่ท่านศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ต่อบรรดามลาอิกะฮฺของพระองค์ ต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ ต่อบรรดาร่อซู้ลของพระองค์ ต่อวันสิ้นโลก และคือการที่ท่านศรัทธาต่อกำหนดสภาวการณ์ ทั้งดีและร้าย” 

(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรี)

          การศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮฺ ถือเป็นหนึ่งในการศรัทธาต่อเรื่องเร้นลับ เรื่องที่เกินความสามารถของปัญญาและผัสสะมนุษย์ จึงนับเป็นเรื่องยากและท้าทายสำหรับคนที่ตกเป็นเบี้ยล่างของปัญญา อารมณ์และเหตุผลนิยม (Rationalism) เพราะอิสลามไม่ใช่ศาสนาที่นำหลักตรรกะและเหตุผลนิยมเป็นที่ตั้ง แต่อิสลามหมายถึงการยอมสยบ ยอมจำนน และน้อมรับในพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าโดยดุษฎี ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงมีบัญชาให้มนุษย์ใช้สติปัญญาคิดไตร่ตรอง พินิจพิจารณาในดำรัสของพระองค์ ในหลักฐานจากพระองค์ที่อยู่แวดล้อมตัวตนของมนุษย์ เพื่อประจุแห่งศรัทธาจะได้ส่องสว่างในหัวใจของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา

         หน้าที่ของเราในฐานะบ่าวของอัลลอฮฺ  คือจำเป็นต้องเชื่อมั่นและศรัทธาว่า บรรดามลาอิกะฮฺเป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์ เป็นบ่าวผู้ทรงเกียรติ และเป็นพลพรรคผู้จงรักภักดีต่ออัลลอฮฺ แม้ว่าตาเราจะไม่เคยเห็น หูเราจะไม่เคยได้ยิน กายเราจะไม่เคยสัมผัส แต่ศรัทธาคือหน้าที่ของหัวใจมุอฺมิน ที่ต้องเชื่อมั่นอย่างจริงจังและหนักแน่น โดยไม่ลังเลและไม่สงสัยเคลือบแคลงใดๆ ทั้งสิ้น

         คุณลักษณะของบรรดามลาอิกะฮฺ บรรดามลาอิกะฮฺถูกบังเกิดมาจากรัศมี มีปีก มีจำนวนมาก ไม่มีเพศชายหรือหญิง ไม่กินไม่ดื่ม ไม่เหนื่อยไม่นอน มีหน้าที่รับใช้และปฏิบัติตามบัญชาของอัลลอฮฺ เป็นบ่าวที่มีคุณธรรม มีมารยาท เป็นที่ไว้วางใจ เชื่อฟังและภักดีต่อพระองค์ตลอดเวลา มีพละกำลังล้นเหลือด้วยอนุมัติของพระองค์

อัลกุรอานระบุถึงคุณลักษณะของบรรดามลาอิกะฮฺไว้ว่า

“แต่ทว่าพวกเขา (มะลาอิกะฮฺ) เป็นบ่าวผู้มีเกียรติ

* พวกเขาจะไม่ชิงกล่าวคำพูดก่อนพระองค์ และพวกเขาจะปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ *

พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา

และพวกเขาจะไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใดนอกจากผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย

และเนื่องจากความเกรงกลัวพระองค์พวกเขาจึงเนื้อตัวสั่น”

(อัลอัมบิยาอฺ: 26-28)

          นอกจากนี้ อัลลอฮฺ  ยังทรงชี้แจงไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ให้ได้ทราบว่า พระองค์ทรงมีบรรดา มลาอิกะฮฺเป็นกองกำลัง เป็นพลรบอันยิ่งใหญ่มหึมาที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพิภพ บรรดามลาอิกะฮฺของพระองค์ทรงกำลังและห้าวหาญสามารถจัดการชาวเมืองผู้ปฏิเสธศรัทธาได้ทั้งเมือง 

          ดังตัวอย่างของท่านญิบรีล อลัยฮิสสลาม ที่ท่านยกบ้านเมืองของกลุ่มชนท่านนบีลู๊ฏ อลัยฮิสสลาม กลุ่มชนที่มีความวิปริตทางเพศ โดยใช้แค่เพียงปลายปีกของท่าน ยกแผ่นดินขึ้นไปจนมลาอิกะฮฺที่อยู่บนชั้นฟ้าต่างได้ยินเสียงเห่าหอนของสุนัขและเสียงไก่ขัน จากนั้นท่านก็ทำการพลิกคว่ำแผ่นดิน ตามติดด้วยบัญชาแห่งห่าฝนหินกระหน่ำซ้ำเติมพวกเขาเพื่อให้ธรณีกลืนกินเหล่าผู้ฝ่าฝืนสกปรกโสมมไปจนสิ้น หรือจากตัวอย่างเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียวจากท่านญิบรีล อลัยฮิสสลาม ก็สามารถทำให้พวกษะมู๊ดกลุ่มชนนบี ซอและห์ อลัยฮิสสลาม มอดม้วยดับสูญประดุจเศษไม้แห้งกระจุยกระจายได้เช่นกัน


หน้าที่ต่างๆ ของบรรดามลาอิกะฮฺ

          บรรดามลาอิกะฮฺแต่ละท่านล้วนต่างมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากอัลลอฮฺ  ด้วยกันทั้งสิ้น พวกท่านจะกล่าวรำลึกถึงพระองค์ แซ่ซ้องสดุดีและอิบาดะฮฺภักดีต่อพระองค์อยู่ตลอดเวลา มีมลาอิกะฮฺบางท่านเท่านั้นที่พระองค์ทรงระบุนามและแจ้งหน้าที่ให้ได้ทราบ อาทิ 


     ♦ ท่านญิบรีล อลัยฮิสสลาม มีหน้าที่รับผิดชอบในการนำวะฮียฺจากอัลลอฮฺ  มอบให้แก่บรรดาร่อซู้ลของพระองค์ ท่านเป็นบ่าวผู้ทรงกำลัง มีเกียรติ มีฐานะ ณ ที่พระองค์ เป็นบ่าวผู้ภักดีซื่อสัตย์และเป็นที่ไว้วางพระทัย


     ♦ ท่านมีกาอีล อลัยฮิสสลาม รับผิดชอบเรื่องฟ้าฝนและพืชพันธุ์ บริหารให้ฝนตกในที่ๆ พระองค์ทรงมีบัญชา


     ♦ ท่านอิสรอฟีล อลัยฮิสสลาม มีหน้าที่เป่าสังข์ในวันกิยามะฮฺ เพื่อให้ทุกชีวิตจบสิ้นและฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่ วิญญาณทุกดวงจะโบยบินกลับสู่ร่างในหลุมอีกครั้ง เพื่อลุกขึ้นเดินออกมารวมตัวกัน ณ ทุ่งมะฮฺชัร

          มลาอิกะฮฺทั้ง 3 ท่านนี้ นับได้ว่าเป็นมลาอิกะฮฺที่มีหน้าที่เกี่ยวพันกับการให้มีชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น ท่านญิบรีลเกี่ยวกับวะฮียฺ ซึ่งวะฮียฺก็คือชีวิตชีวาของหัวใจของผู้ศรัทธา ท่านมีกาอีลมีหน้าที่เกี่ยวกับน้ำฝน ซึ่งก็คือการคืนชีวิต คืนความชุ่มชื้นให้ผืนแผ่นดินที่แห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา และสุดท้ายท่านอิสรอฟีล รับผิดชอบเรื่องการเป่าสังข์ ประกาศเรียกให้วิญญาณทุกดวงกลับคืนสู่ร่างเพื่อฟื้นชีพอีกครั้งเพื่อมารับการตอบแทน ทั้ง 3 ท่านนี้จึงนับได้ว่าเป็นมลาอิกะฮฺที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันเนื่องมาจากภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่พวกท่านต้องดูแลรับผิดชอบ


     ♦ ค่อศะนะตุ ญะฮันนัม คือบรรดามลาอิกะฮฺที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนรก คอยดูแลจัดการตระเตรียมการลงทัณฑ์ไว้แก่ชาวนรก มีจำนวนทั้งหมด 19 ท่าน


     ♦ มาลิก รับผิดชอบเฝ้าประตูนรก


     ♦ ริฎวาน รับผิดชอบเฝ้าประตูสวรรค์


     ♦ มะละกุ้ลเมาตฺ มีหน้าที่ปลิดวิญญาณเมื่อถึงอะญั้ล


     ♦ อัลมุอักกิบ๊าต คือ บรรดามลาอิกะฮฺผู้เฝ้าติดตามทำหน้าที่อารักขาคุ้มกันภัยให้กับมนุษย์ตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ  เพื่อปกป้องเขาให้พ้นจากภยันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น อัลลอฮฺ ทรงกำหนดให้มลาอิกะฮฺทำหน้าที่พิทักษ์คุ้มครองเขาให้ได้รับความปลอดภัย หากเหตุการณ์นั้นๆ ยังไม่ใช่กำหนดอาญั้ลของเขาก็จะยังไม่มีสิ่งใดมาปลิดชีวิตของเขาได้ เพราะมีมลาอิกะฮฺคอยคุ้มกันระวังภัยให้อยู่ทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง


     ♦ นอกจากนี้ ยังมีมลาอิกะฮฺที่ทำหน้าที่คอยจดบันทึกการงานของมนุษย์ ทั้งความคิดความตั้งใจ คำพูด การกระทำและการแสดงออก ซึ่งมนุษย์ทุกคนจะมีมลาอิกะฮฺ 2 ท่านประจำอยู่ทางด้านขวาและซ้าย คอยบันทึกความดีความชั่วที่เขาได้กระทำอยู่ตลอดเวลา มลาอิกะฮฺด้านขวาจดบันทึกความดี ซึ่งทุกความดีจะถูกทบทวีเพิ่มค่าเป็นสิบเท่าตัว ส่วนมลาอิกะฮฺด้านซ้ายจะจดบันทึกความชั่วไว้เท่ากับความผิดที่เขาได้ทำลงไป มลาอิกะฮฺทั้งสองข้างจะอยู่กับเขาตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไร จะเดินทางหรือพำนักอยู่กับที่ จะนั่งจะนอน นอกจากในบางสถาการณ์เท่านั้นที่ท่านไม่ร่วมอยู่ด้วย เช่น เมื่อทำธุระในห้องน้ำ เป็นต้น


    ♦ นอกจากนี้ยังมีมลาอิกะฮฺที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับทารกในครรภ์มารดา บันทึกริสกี กำหนดอาญั้ล และการงานของเขา บันทึกว่าเขาจะมีชีวิตที่สุขสบายหรือรันทดยากลำบากตามบัญชาของอัลลอฮฺ 


     ♦ มีมลาอิกะฮฺที่รับผิดชอบในเรื่องการแบกบัลลังก์ ซึ่งมีอยู่ 4 ท่าน แต่ในวันกิยามะฮฺจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 8 ท่าน 


     ♦ และยังมีมลาอิกะฮฺที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับท้องทะเลและมหาสมุทร แม่น้ำลำคลอง ลมพายุ ตลอดจนภารกิจอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และจักรวาล ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ เพียงองค์เดียวเท่านั้น


          พร้อมกันนี้เราสามารถบอกเสริมกับเด็กๆ ได้ว่า มลาอิกะฮฺใจดีกับมนุษย์อย่างเรามากมาย เป็นผู้ที่จริงใจกับมนุษย์ที่สุด เพราะผู้ที่คอยหลอกลวง คดโกงมนุษย์ที่สุดนั้นคือ ชัยฏอน มารร้าย ที่คอยหาทางยุแหย่กระซิบกระซาบให้เราหันเหจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ  และการปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์ มลาอิกะฮฺจะแซ่ซ้องสดุดีสรรเสริญอัลลอฮฺ  และขออภัยโทษให้แก่ผู้ศรัทธาบนหน้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่สามารถจัดการไม่ให้ชัยฏอนเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนม ก็คือการรำลึกถึงอัลลอฮฺ  อยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ 

        คนที่รำลึกถึงอัลลอฮฺ  มลาอิกะฮฺจะมาอยู่ห้อมล้อมเขา ขอพรขออภัยโทษให้กับเขา ทุกครั้งที่เขาอ่านอัลกุรอ่าน ทุกครั้งที่เขาเจราจาพูดคุยในเรื่องศาสนา ทุกครั้งที่เขาศึกษาหาความรู้อ่านตำรับตำราเกี่ยวกับเรื่องศาสนาเท่ากับว่าเขาอยู่ในการรำลึกถึงพระองค์ ชัยฏอนจะถูกกีดกันและตีตัวออกห่าง เพราะที่ใดมีมลาอิกะฮฺที่นั้นจะไม่มีชัยฏอน ชัยฏอนชอบที่ๆ มีเสียงเพลง เสียงดนตรี และการละเล่นครื้นเครงที่ทำให้คนหลงลืม แต่มลาอิกะฮฺไม่เข้าอยู่ร่วมในสถานที่แห่งนั้น ชัยฏอนจะเข้าอยู่ในบ้านที่ไม่มีการอ่านอัลกุรอ่าน บ้านที่มีสุนัขและรูปภาพ แต่มลาอิกะฮฺไม่ร่วมอยู่ด้วยเป็นอันขาด

         การย้ำเตือนกับเด็กบ่อยๆ จะฝึกให้เขาตระหนักอยู่เสมอว่า หากอยากให้มลาอิกะฮฺอยู่ด้วย ขอดุอาอฺให้ ขออภัยโทษให้ ต้องประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร หากไม่อยากให้ชัยฏอนอยู่ใกล้จะต้องทำอย่างไร การศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮฺจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เพราะผลลัพท์จากการศรัทธาจะทำให้เขาตระหนักรู้ ตื่นตัวและเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา 

          หากเรารู้ว่ามีคนคอยสอดแนมพฤติกรรมของเราอยู่ทุกฝีก้าว คอยติดตามทุกการเคลื่อนไหว ตามสัญชาติญาณของมนุษย์แล้วก็มักจะกลัวการจับผิดการจับจ้อง จึงต้องระวังตัวเองและเตรียมพร้อมเพื่อให้ถูกเก็บข้อมูลไปแต่ในด้านที่ดีทั้งสิ้น การติดตามสังเกตุการณ์และลงบันทึกประจำวันของมลาอิกะฮฺมีอยู่จริง และเป็นความจริงที่เราจะต้องพบกับบันทึกเล่มนั้นเพื่อเป็นสักขีพยานต่ออัลลอฮฺ  ในวันที่คำพูดแก้ตัวใดๆ ไม่อาจเอื้อประโยชน์อะไรได้เลย คำที่เราพูด สิ่งที่เราพิมพ์หรือเขียน ภาพที่ตามอง เสียงที่หูฟัง ของที่มือหยิบจับ ที่ๆ เท้าก้าวย่าง ล้วนคือความเคลื่อนไหวที่ถูกเก็บข้อมูลเอาไว้ทั้งหมดไม่ทางด้านขวาก็ด้านซ้าย ไม่มีอะไรจะมาปิดบังซ่อนเร้นหรือขัดขวางการบันทึกอันละเอียดถี่ถ้วนและตรงไปตรงมานี้ได้ ซึ่งมันคือหลักฐานอันชัดแจ้งในวันแห่งการพิพากษา

อัลลอฮฺ  ตรัสยืนยันไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า :

“จงรำลึกถึงขณะที่มลาอิกะฮฺผู้บันทึกสองท่านบันทึก ท่านหนึ่งนั่งทางด้านขวา และอีกท่านนั่งทางด้านซ้าย
ไม่มีคำพูดคำใดที่เขากล่าวออกมา เว่นแต่ใกล้ๆ เขานั้น มี (มะลัก) ผู้เฝ้าติดตาม ผู้เตรียมพร้อม (ที่จะบันทึก)

(ก็อฟ :17-18)

“และแท้จริง มีผู้คุ้มกันรักษาพวกเจ้าอยู่ คือ (มลาอิกะฮฺ) ผู้ทรงเกียรติ ผู้คอยบันทึก พวกเขารู้ในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ”

(อัลอินฟิฏอร 10-12)


เป้าหมายสำคัญของการเรียนรู้เรื่องมลาอิกะฮฺ

          การสอนเด็กๆ ให้รู้จักบรรดามลาอิกะฮฺนอกจากจะทำให้เด็กรู้สึกระแวดระวัง ตื่นตัว และเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อไม่ให้ต้องถูกบันทึกในเรื่องที่ส่งผลให้ได้รับการลงโทษแล้ว ประเด็นสำคัญที่ลืมไม่ได้เช่นกัน ก็คือ เพื่อให้พวกเขารักบรรดามลาอิกะฮฺของพระองค์จริงๆ เพราะอัลลอฮฺ  ทรงรักและพึงพอพระทัยในตัวพวกท่าน จึงจำเป็นที่เราจะต้องรักพวกท่านเหล่านั้น เนื่องเพราะพวกท่านเป็นบ่าวที่มีคุณธรรมที่สุดและมีเกียรติอันสูงส่ง ณ ที่พระองค์ และจำเป็นที่เราในฐานะบ่าวจะต้องรักผู้ที่พระองค์ทรงรักและรังเกียจผู้ที่พระองค์ทรงรังเกียจและเป็นศัตรูกับพระองค์ ใครที่เป็นศัตรูกับบรรดามลาอิกะฮฺ หรือจงเกลียดจงชังพวกท่าน อัลลอฮฺ  ก็จะทรงเป็นศัตรูกับเขาผู้นั้นด้วยเช่นกัน


          ขออัลลอฮฺ  โปรดทรงให้เราและลูกหลานของเราเป็นผู้มีศรัทธาอย่างแท้จริง มีความรู้ที่ยังประโยชน์ มีการงานที่ดีที่เป็นที่ตอบรับ ณ ที่พระองค์ และเป็นผู้ที่ได้รับบันทึกแห่งผลงานทางด้านขวาด้วยเถิด อามีน

 




หนังสืออ้างอิง : อัลอีมาน บิ้ล มลาอิกะฮฺ วะ อะซะรุฮู ฟี หยาติ้ลอุมมะฮฺ โดย เชค ซอและหฺ อิบนิ เฟาซาน อัลเฟาซาน ฮะฟิศ่อฮุ้ลลอฮฺ