จุดยืนต่อพวกบิดอะฮ์
  จำนวนคนเข้าชม  3507


จุดยืนต่อพวกบิดอะฮ์ 


 

เชค ศอและฮฺ อิบนุ เฟาซาน อัลเฟาซาน ฮะฟิศ่อฮุ้ลลอฮฺ 

 

คำถาม: 

 

          อะไรคือฮุก่มของคนที่ยกย่องและให้เกียรติพวกอุตริ (أهل البدع) และกล่าวสรรเสริญพวกเขาว่า พวกเขานี้เป็นพวกที่น้อมนำเอาบทบัญญัติและคำตัดสินของอิสลามมาใช้ปฏิบัติจริงเป็นรูปธรรม ทั้งๆที่คนๆนี้เอง ก็รู้จักประเด็นการอุตริของคนกลุ่มดังกล่าวดี 

          อีกทั้งในบางครั้งบางโอกาสที่เขาคนนี้ได้พูดถึงคนกลุ่มนั้นในการบรรยายและการเรียนการสอนทั่วๆไปเขาก็จะบอกว่า : แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็ต้องพยายามระวังบางประเด็นและบางเรื่องบางราวที่มีอยู่ที่พวกบิดอะฮฺพวกนี้ 

          หรือไม่เขาก็จะพูดว่า : ทั้งนี้โดยไม่ได้จับจ้องไปที่ประเด็นที่เป็นเรื่องที่พวกบิดอะฮฺ 

          ซึ่งพวกบิดอะฮฺเป็นกลุ่มคนที่คนที่เป็นเจ้าของคำพูดนี้ โดยให้เกียรติกล่าวยกย่องและออกมาให้การปกป้องอยู่ ทั้งด้วยการพูดและการเขียน ซึ่งในนั้นก็มีการบันทึกข้อความที่เป็นการจาบจ้วงต่ออั้ซซุนนะฮฺ มีการบันทึกข้อความที่เป็นการกล่าวหาว่าบรรดาศ่อฮาบะฮฺนั้นอวิชาและมีการบันทึกข้อความที่มีการกระทบกระแทกและเสียดเสียท่านนบี ﷺ เอาไว้ด้วย

          อยากทราบว่าอะไรคือฮุก่มของคนๆนี้ที่เป็นเจ้าของคำพูดนี้ครับ? และไม่ทราบว่าจะต้องมีการออกมาเตือนให้ระวังคำพูดพวกนี้ของเขาด้วยหรือไม่ครับ?


 

คำตอบ: 

 

          ไม่อนุญาตให้มีการเชิดชูและกล่าวชมเชยพวกที่อุตริ  (المبتدعة)  ถึงแม้ว่าที่พวกเขาจะมีอะไรที่เป็นสัจธรรมอยู่ด้วยบ้างก็ตาม เพราะการกล่าวชมเชยและยกย่องจะทำให้ความอุตริของคนพวกนั้นแพร่กระจายไปได้มากขึ้น อีกทั้งยังจะทำให้พวกอุตริพวกในสายตาของพวกเขาด้วยกันเอง กลายเป็นบุคคลสำคัญของอุมมะฮฺนี้ขึ้นมาเลยทีเดียว

          บรรดาสลัฟได้เตือนพวกเราไม่ให้ไว้ใจพวกอุตริ (المبتدعة) ไม่ให้ไปชมเชยและไม่ให้ไปนั่งร่วมกัน  

          ในข้อความหนึ่งที่ท่าน อะซัด อิบนุ มูซา ได้เขียนเอาไว้ได้ระบุว่า “คุณจงระวัง อย่าได้ให้มีพวกอุตริมาเป็นพี่เป็นน้องของคุณ หรือเป็นผู้ที่นั่งร่วมอยู่กับคุณ หรือเป็นสหายของคุณเป็นอันขาด" เพราะข้อมูลในอตีดข้อมูลหนึ่งได้ระบุไว้ว่า

 " من جالس صاحب بدعة، نُزعت منه العصمة، ووكل إلى نفسه، ومن مشى إلى صاحب بدعة، مشى إلى هدم الإسلام"[1]

           “ใครที่นั่งร่วมกับพวกบิดอะฮฺ การปกปักคุ้มครองจะถูกถอนออกมาจากเขา และเขาก็จะถูกฝากไว้กับตัวของเขาเอง และใครที่ออกเดินก้าวย่างไปหาพวกบิดอะฮฺ ก็เท่ากับว่าเขาได้ย่างก้าวออกเดินเข้าสู่การทำลายล้างอัลอิสลามเสียแล้วนั่นเอง”

          พวกบิดอะฮฺนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการเตือนให้ระวังพวกเขาเอาไว้และจำเป็นที่จะต้องออกห่างไว้ด้วย ถึงแม้ว่าจะมีอะไรที่เป็นสัจธรรมอยู่ด้วยบ้างก็ตาม เพราะส่วนใหญ่ของพวกที่หลงทางก็ล้วนมีอะไรที่เป็นสัจธรรมอยู่กับตัวบ้างด้วยกันทั้งนั้น  แต่ในเมื่อตราบใดที่พวกเขายังมีเรื่องที่เป็นการอุตริบิดเบือน/ต่อเติมศาสนาอยู่ ตราบใดที่พวกเขายังมีการสวนทางอยู่ และตราบใดที่พวกเขายังมีชุดความคิดที่ไม่ดีๆอยู่ ก็ไม่อนุญาติให้ไปสรรเสริญและชมเชยพวกเขา และไม่อนุญาตให้ทำเป็นมองไม่เห็นการอุตริของพวกเขาด้วย เพราะพฤติกรรมแบบนี้ถือเป็นการส่งเสริมให้เรื่องอุตริบิดอะฮฺ สามารถแพร่กระจายและขยายตัวออกไปได้และยังเท่ากับเป็นการดูแคลนต่อเรื่องราวที่เป็นซุนนะฮฺอีกด้วย

          ด้วยกับพฤติกรรมเช่นนี้นี่เองที่จะส่งผลทำให้พวกอุตริกลายเป็นพวกที่มีความโดดเด่นขึ้นมา และกลายมาเป็นแนวหน้าของอุมมะฮฺในที่สุด -ขออัลลอฮฺโปรดอย่าให้มันเป็นอย่างนั้นเลย- ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเตือนให้มีการระวังเอาไว้

          จริงๆแล้วในตัวของบรรดาบุคคลชั้นนำของอุมมะฮฺ พวกท่านต่างปราศจากการก่อการอุตริบิดเบือนที่ต่างก็มีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย ก็ถือว่า เป็นการพอเพียงแก่อุมมะฮฺอยู่แล้ว -วะลิ้ลลาฮิ้ลฮัมดฺ- ซึ่งพวกท่านเหล่านี้เป็นบรรดาบุคคลต้นแบบ

           ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำการดำเนินตามบุคคลที่เที่ยงตรงอยู่บนแนวทางอัซซุนนะฮฺ ที่ปลอดและปราศจากประเด็นที่เป็นบิดอะฮฺ  ส่วนสำหรับคนที่เป็นพวกอุตริบิดอะฮฺนั้น ก็เป็นหน้าที่เราจะต้องมีการเตือนให้ระแวดระวังเอาไว้ และจะต้องกล่าวปรามกลุ่มคนนั้นด้วย และเพื่อให้ตัวของเขาและคนที่คล้อยตามเขาได้รู้สึกถึงความผิดพลาด

          สำหรับกรณี ของการที่พวกเขาเองก็มีสัจธรรมอยู่ด้วยบ้างนั้น เรื่องนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอนุโลมให้มีการกล่าวชมเชยพวกเขาเกินกว่าผลประโยชน์ที่มีได้แต่อย่างใด ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่ามีกฏเกณฑ์หนึ่งของศาสนา ที่ได้กำหนดไว้ว่า

" إن درء المفاسد مقدم على جلب المصالح"[2]

“การปิดกั้นเรื่องที่เป็นผลเสีย ย่อมต้องมาก่อนการแสวงหาเรื่องที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ขึ้นเสมอ”

         ในการเป็นปฏิปักษ์กับพวกบิดอะฮฺนั้น ถือได้ว่าเป็นการปิดกั้นเรื่องที่เป็นความเสียหายมิให้มาประสบกับอุมมะฮฺ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีน้ำหนักมากกว่าสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ที่มีอยู่ ตามที่ได้มีการแอบอ้างกันเอาไว้  ถ้าหากมันเป็นเช่นนั้นจริง และถ้าหากว่าเราไปยึดถือตามแนวคิด(หมายถึงความคิดที่ว่า พวกบิดอะฮฺก็มีดีเหมือนกัน พูดถึงเรื่องๆดีๆของเขาบ้าง เก็บของดีๆของเขาไว้บ้างก็ได้ -ผู้แปล-) ก็คงจะไม่สามารถไปตัดสินใครแม้แต่คนเดียวได้เลยว่า หลงหรือเป็นบิดอะฮฺ เพราะคนที่เป็นบิดอะฮฺทุกคนก็ล้วนมีเรื่องที่ถูกอยู่บ้าง และมีการเคร่งครัดจริงจังกับศาสนาอยู่บ้าง

          คนที่เป็นบิดอะฮฺไม่ได้เป็นกาเฟร และไม่ได้เป็นคนที่ขัดแย้งกับบทบัญญัติทุกๆข้อแต่อย่างใด แต่เขาเป็นคนที่เป็นพวกบิดอะฮฺก่อการอุตริในแค่บางประเด็น หรือในหลายๆประเด็นส่วนใหญ่เท่านั้นเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าในกรณีที่มีการอุตริในเรื่องของอะกีดะฮฺ (หลักศรัทธา) และ มันฮัจ (แนวทางในการดำเนินศาสนา) อันนี้ก็ยิ่งเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะคนๆนี้จะกลายมาเป็นคนที่เป็นแนวหน้าและเป็นแบบอย่าง และเมื่อถึงตอนนั้น การอุตริก็จะแพร่กระจายออกไปท่ามกลางอุมมะฮฺ แล้วเขาผู้นี้ก็จะเข้ามากระตุ้นให้พวกบิดอะฮฺกระทำการแพร่กระจายเรื่องอุตริให้ขยายวงกว้างออกไปในที่สุด

          จากที่กล่าวมานี้ จึงสรุปได้ว่า คนที่ไปชมเชยพวกบิดอะฮฺ และทำให้ผู้คนรู้สึกคลุมเครือ ด้วยการพูดถึงสัจธรรมที่คนพวกนั้นพอจะมีอยู่บ้างนั้น บุคคลๆนี้หนีไม่พ้นสองกรณี คือ ถ้าเขาไม่เป็น 

     (1) คนที่ไม่มีความรู้เรื่องแนวทางของสลัฟและท่าทีของพวกท่านต่อพวกอุตริ ซึ่งในกรณีของคนที่โง่เขลาไม่รู้เรื่องเช่นนี้ ไม่อนุญาตให้เขาออกมาพูด และไม่อนุญาตให้บรรดามุสลิมไปฟังเขาด้วย 

     (2) คนที่มีนัยซ้อนเร้นแอบแฝงอยู่ เพราะเขาเองก็รู้ถึงอันตรายของบิดอะฮฺและรู้จักอันตรายของพวกที่เป็นบิดอะฮฺอุตริต่อเติมศาสนาอยู่แก่ใจ แต่ว่าเขาเป็นคนที่มีนัยซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ นั่นคือ เขาเองต้องการที่จะทำให้เรื่องบิดอะฮฺมันกระจายตัวออกไปให้ได้นั่นเอง

         อย่างไรก็แล้วแต่ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่อันตรายทั้งสิ้น และถือเป็นเรื่องที่ไม่อนุญาตที่จะทำเป็นเบาความกับเรื่องบิดอะฮฺ และพวกที่เป็นบิดอะฮฺก่อการอุตริบิดเบือนศาสนาเป็นอันขาด ไม่ว่าจะในกรณีใดๆ ก็ตาม



อาบีดีณ โยธาสมุทร แปลและเรียบเรียง