วิเคราะห์อัลกุรอานซูเราะฮฺ อัลมุมตะหินะฮ์ อายะห์ที่ 8
ในบริบทของความสมานฉันท์ระหว่างมุสลิมกับชนต่างศาสนิก
บทนำ
มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์สังคมที่ประเสริฐที่สุด เนื่องจากพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ให้เป็นผู้มีสติปัญญา มีความคิดสร้างสรรค์ และมีความรับผิดชอบ ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว มนุษย์จึงมีสัญชาตญาณใฝ่สันติมากกว่าความรุนแรง สัญชาตญาณนี้ได้เกื้อหนุนให้มนุษย์แสวงหาความเป็นมิตรมากกว่าความเป็นศัตรู แสวงหาความสามัคคีปรองดองมากกว่าความแตกแยก และแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยมากกว่าการประทุษร้าย และเข่นฆ่า ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติจึงมีช่วงระยะเวลาแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติมากกว่า ช่วงระยะเวลาของการสู้รบ และการนองเลือด สัญชาตญาณใฝ่สันติของมนุษย์ดังกล่าวเป็นสัญชาตญาณ เดิมอันบริสุทธ์ ที่องค์พระผู้อภิบาลได้เนรมิต และสร้างสรรค์ไว้ในตัวของมนุษย์ และยังได้หนุนเสริมสัญชาตญาณของมนุษย์ดังกล่าวด้วยแนวทางอิสลาม แนวทางแห่งความมั่นคง ความปลอดภัย ความสันติ และความสมานฉันท์ ผ่านทางศาสนทูตต่างๆที่พระองค์ได้ทรงคัดเลือก และแต่งตั้งเขาเหล่านั้นยังหมู่ชนทั้งหลาย และผ่านทางคัมภีร์ต่างๆที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาจากฟากฟ้า อันมีคัมภีร์อัลกุรอานเป็นคัมภีร์เล่มสุดท้าย
อัลกุรอาน กับหลักการสมานฉันท์
จากการสำรวจ และพิจารณาโองการต่างๆในอัลกุรอานพบว่า โองการทุกโองการในอัลกุรอาน ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมาย และเจตนารมณ์ เพื่อให้มนุษย์บรรลุสู่ความสงบสุข และความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินทั้งสิ้น หลักการสมานฉันท์จึงเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญ ที่อัลกุรอานได้ประกาศ และเรียกร้อง ดังตัวอย่างที่สำคัญต่อไป
1. หลักการ تعارف ความสมานฉันท์บนความหลากหลาย
อัลกุรอานได้ระบุถึงความหลากหลายของมนุษย์ไว้สองด้าน คือ :
1.) ความหลากหลายทางชีวภาพ ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในอายะห์ที่ 13 ซูเราะฮฺ อัลหุญรอต ว่า:( وَجَعَلْنَاكُمْ شُعُوبًا وَقَبَائِلَ لِتَعَارَفُوا ) (13) سورة الحجرات
และเราได้ให้พวกเจ้ามีหลายชาติพันธุ์ เพื่อจะได้ทำความรู้จักซึ้งกันและกัน(49:13)
2.) ความหลากหลายทางภาษา วัฒนธรรม และสีผิว ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในอายะห์ที่ 22 ซูเราะฮฺอัรรูมว่า:(وَمِنْ آيَاتِهِ خَلْقُ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ وَاخْتِلَافُ أَلْسِنَتِكُمْ وَأَلْوَانِكُمْ إِنَّ فِي ذَلِكَ لَآيَاتٍ لِّلْعَالِمِينَ) (22) سورة الروم
และหนึ่งในสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ คือการสร้างชั้นฟ้า และแผ่นดิน และการแตกต่างของภาษา (วัฒนธรรม) และผิวพรรณของสู่เจ้า แท้จริงในนั้นมีสัญญาณสำหรับปวงผู้มีความรู้(30:22)
อัลลอฮฺได้ระบุอย่างชัดเจนถึงจุดประสงค์ ในการให้มนุษย์มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ว่าเพื่อให้มนุษย์ได้มีสัมพันธ์ไมตรีต่อกัน และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสมานฉันท์ ส่วนความหลากหลายทางภาษา วัฒนธรรม และผิวพรรณนั้น พระองค์ต้องการให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้า เพราะเป็นมนุษยศาสตร์ที่สำคัญที่ชี้ถึงความยิ่งใหญ่ และเดชานุภาพของพระองค์2. หลักการ إصلاح การประนีประนอมยอมความ
เป็นหลักการพื้นฐานของอัลกุรอานที่เรียกร้องให้มนุษย์หาทางออกเมื่อมีกรณีพิพาท หรือขัดแย้งกัน หลักการนี้มีปรากฏในอัลกุรอานในหลายที่ด้วยสำนวนต่างๆกัน เช่น:
ก.) สำนวน أَصْلحَ
ตัวอย่าง :
فَمَنْ عَفَا وَأَصْلَحَ فَأَجْرُهُ عَلَى اللَّهِ إِنَّهُ لَا يُحِبُّ الظَّالِمِينَ) (40) سورة الشورى )
ดังนั้นผู้ใดให้อภัยและประนีประนอมยอมความ รางวัลตอบแทนของเขาอยู่ที่อัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์ไม่รักผู้อธรรม (42:40)ข.) สำนวน تُصْلِحُوا
ตัวอย่าง :
{وَلاَ تَجْعَلُواْ اللّهَ عُرْضَةً لِّأَيْمَانِكُمْ أَن تَبَرُّواْ وَتَتَّقُواْ وَتُصْلِحُواْ بَيْنَ النَّاسِ وَاللّهُ سَمِيعٌ عَلِيمٌ}
(224) سورة البقرة
และพวกเจ้าอย่าให้อัลลอฮฺ เป็นอุปสรรคขัดขวาง เนื่องจากการสาบานของพวกเจ้าในการที่จะทำความดี และที่จะมีความยำเกรง และในการที่พวกเจ้าจะประนีประนอม ระหว่างผู้คน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
ค.) สำนวน أَصْلِحُوا
ตัวอย่าง :
( فَاتَّقُواْ اللّهَ وَأَصْلِحُواْ ذَاتَ بِيْنِكُمْ ) (1) سورة الأنفال
ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺ และจงประนีประนอมในระหว่างพวกท่าน (8:1)
ง.) สำนวน الصُلح
ตัวอย่าง :
وَالصُّلْحُ خَيْرٌ) (128) سورة النساء)
และการประนีประนอมนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า (4:218)
จ.) สำนวน إصْلاح
ตัวอย่าง :
(لاَّ خَيْرَ فِي كَثِيرٍ مِّن نَّجْوَاهُمْ إِلاَّ مَنْ أَمَرَ بِصَدَقَةٍ أَوْ مَعْرُوفٍ أَوْ إِصْلاَحٍ بَيْنَ النَّاسِ) (114) سورة النساء
ไม่มีความดีใดๆในการพูดซุบซิบอันมากมายของพวกเขา เว้นแต่ผู้ที่ใช้ให้ทำทาน หรือให้ทำสิ่งที่ดีงาม หรือให้ประนีประนอมยอมความระหว่างผู้คน (4:114)
3. หลักการ عفو การให้อภัยเป็นหลักการสำคัญในอัลกุรอ่านที่เรียกร้องมนุษยชาติให้รู้จักระงับอารมณ์ความโกรธ ความแค้นเคืองด้วยการให้อภัย และถือเป็นคุณธรรมอันล้ำค่าที่มนุษย์พึงหยิบยื่นให้กัน ดังปรากฏในโองการที่สำคัญดังนี้:
ก.) การให้อภัยเป็นคุณสมบัติของคนดี مُحْسِنِيْن ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า:
( فَاعْفُ عَنْهُمْ وَاصْفَحْ إِنَّ اللّهَ يُحِبُّ الْمُحْسِنِين )
(13) سورة المائدةจงให้อภัยพวกเขา และจงเมินเฉย (มองข้ามข้อผิดพลาด) แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรักผู้ทำการดี (ต่อตนเอง และต่อผู้อื่น) (5:13) และดู (3:314)
ข.) การให้อภัยถือเป็นสาเหตุในการได้รับอภัยโทษจากอัลลอฮฺ ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า:
( وَإِن تَعْفُوا وَتَصْفَحُوا وَتَغْفِرُوا فَإِنَّ اللَّهَ غَفُورٌ رَّحِيمٌ )
(14) سورة التغابن
และถ้าพวกเจ้าให้อภัย และอะลุ่มอล่วยและยกโทษ(แก่พวกเขา) และแท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ (64:14) และดู (4:419,24:22)ค.) การให้อภัยเป็นกุศลกรรม และเป็นอานิสงส์ที่จะได้รับจากอัลลอฮฺ ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า:
(وَجَزَاء سَيِّئَةٍ سَيِّئَةٌ مِّثْلُهَا فَمَنْ عَفَا وَأَصْلَحَ فَأَجْرُهُ عَلَى اللَّهِ إِنَّهُ لَا يُحِبُّ الظَّالِمِينَ)
(40) سورة الشورى
และการตอบแทนความชั่ว คือความชั่วเยี่ยงเดียวกัน แต่ผู้ใดให้อภัย และไกล่เกลี่ยประนีประนอม รางวัลตอบแทนของเขาอยู่ที่อัลลอฮฺ (42:40)
4. หลักการ فاع بالتي هي أحسن د การตอบโต้ด้วยสิ่งที่ดีกว่าหมายถึงการตอบโต้คู่กรณีด้วยความอ่อนโยน และสุภาพ และด้วยวิธีการต่างๆที่ดีกว่า เช่น ไม่โกรธตอบ ไม่ด่าว่าตอบ เป็นต้น อัลกุรอานได้เสนอหลักการดังกล่าวในหลายบทที่สำคัญดังนี้
ก.) อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า :
(ادْفَعْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ السَّيِّئَةَ َ)
(96) سورة المؤمنون
เจ้าจงผลักไสความเลวร้าย (ที่ประสงค์แก่เจ้า) ด้วยวิธีการที่ดีงามที่สุด (23:96)ข.) อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า :
( ادْفَعْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ فَإِذَا الَّذِي بَيْنَكَ وَبَيْنَهُ عَدَاوَةٌ كَأَنَّهُ وَلِيٌّ حَمِيمٌ )
(34) سورة فصلتและจงตอบโต้(การกระทำอันเลวร้ายของผู้อื่น)ด้วยสิ่งที่ดีงามกว่า แล้วเมื่อนั้น ผู้ที่เคยมีอริระหว่างตัวท่านกับตัวเขา ก็จะเป็นเยี่ยงมิตรอันอบอุ่น (41:34)
ค.) อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า :
( وَجَادِلْهُم بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ ) (125) سورة النحل
และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า(16:125)
5. หลักการ السلم การเจรจาสงบศึกเป็นหลักการที่อัลกุรอานได้เรียกร้องให้นำมาใช้เมื่อมีศึกสงครามเกิดขึ้น และฝ่ายศัตรูไม่ประสงค์ที่จะทำการสงคราม แต่ประสงค์ที่จะทำสัญญาสงบศึก ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า:
(وَإِن جَنَحُواْ لِلسَّلْمِ فَاجْنَحْ لَهَا وَتَوَكَّلْ عَلَى اللّهِ إِنَّهُ هُوَ السَّمِيعُ الْعَلِيمُ)
(61) سورة الأنفالและหากแม้นพวกเขา (ศัตรู) เอนแองไปสู่การทำสัญญาสงบศึกดังนั้น เจ้าจงตอบรับมัน และจงมอบที่พึ่งต่ออัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยการได้ยิน และรอบรู้ยิ่ง (8:61)
6. หลักการ تعاونความร่วมมือ และ اعتصامความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ความสมานฉันท์ของผู้คนในสังคมจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อผู้คนในสังคมร่วมแรงร่วมใจกันสนับสนุนสิ่งที่ดีงาม และต้านสิ่งที่เลวร้าย อัลลอฮฺจึงได้ตรัสว่า:
( وَتَعَاوَنُواْ عَلَى الْبرِّ وَالتَّقْوَى وَلاَ تَعَاوَنُواْ عَلَى الإِثْمِ وَالْعُدْوَانِ )
(2) سورة المائدةและพวกเจ้าจงร่วมมือกันในสิ่งที่เป็นคุณธรรม และความยำเกรง และจงอย่าร่วมมือกันในสิ่งที่เป็นบาป และการเป็นศัตรูต่อกัน (5:12)
ความร่วมมือดังกล่าวหากเกิดขึ้นกับชุมชนใด ก็จะทำให้ชุมชนนั้นมีพลัง มีความเข้มแข็ง และที่สำคัญก็คือมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัส รับสั่งไว้ ในหลายที่ เช่น :
( وَاعْتَصِمُواْ بِحَبْلِ اللّهِ جَمِيعًا وَلاَ تَفَرَّقُواْ )
(103) سورة آل عمرانและพวกเจ้าจงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกัน และจงอย่าแตกแยกกัน (3:103) และดู (4:167,175) (23:78)
และอัลลอฮฺได้ตรัสถึงผลเสียของการแตกแยกไว้ว่า:
( وَلاَ تَنَازَعُواْ فَتَفْشَلُواْ وَتَذْهَبَ رِيحُكُمْ )
(46) سورة الأنفال"และพวกเจ้าอย่าขัดแย้งกัน มิฉะนั้นพวกเจ้าจะอ่อนแอ และพลังของเจ้าจะสูญสลาย (8:46)
7. หลักการ العدل ความยุติธรรมสำหรับทุกคน
หลักความยุติธรรมเป็นหลักการสำคัญในกระบวนการสมานฉันท์ และอาจถือได้ว่าเป็นเงื่อนไขที่สำคัญเลยทีเดียว เนื่องจากการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในที่ต่างๆทั้งในอดีต และปัจจุบัน ล้วนมีสาเหตุมาจากความไม่เป็นธรรมทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้อัลกุรอานจึงได้ให้ความสำคัญกับหลักของความยุติธรรม โดยระบุไว้ในหลายโองการ และหลายสำนวน เช่น :
ก.) สำนวน عَدْلปรากฏใน (4:58 16:76,90 49:9)
ข.) สำนวน أَعْدِلُواปรากฏใน (5:18 6:152)
ค.) สำนวน تَعْدِلُوْاปรากฏใน (5:8)
ตัวอย่างความยุติธรรมที่ผู้นำต้องรับผิดชอบ
อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า: ( وَأُمِرْتُ لِأَعْدِلَ بَيْنَكُمُ )
(15) سورة الشورىและฉัน (มูฮัมหมัด) ได้รับคำสั่งให้ยุติธรรมระหว่างพวกท่าน (42:15)
ตัวอย่างความยุติธรรมที่ต้องมีกับศัตรู หรือคู่อริ
อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า : (( وَلاَ يَجْرِمَنَّكُمْ شَنَآنُ قَوْمٍ عَلَى أَلاَّ تَعْدِلُواْ اعْدِلُواْ هُوَ أَقْرَبُ لِلتَّقْوَى
( 8) سورة المائدةและจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใด ทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม จงยุติธรรมเถิด มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า (5:8)
ดังกล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นหลักการสมานฉันท์ที่สำคัญของอัลกุรอานที่อัลลอฮฺได้บัญญัติใว้เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้เป็นหลักยึดถือ และปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ในการสร้างความสงบสุขและความร่มเย็นการสมานฉันท์ระหว่างมุสลิมกับชนต่างศาสนิก
ในส่วนของการสมานฉันท์ระหว่างมุสลิมกับชนต่างศาสนิกโดยเฉพาะนั้น อัลกุรอานไม่ได้ละเลยที่จะพูดถึง แม้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยก็ตาม ในที่นี้จะนำโองการที่ 8 ของซูเราะฮฺ อัลมุมตะหินะฮฺ มาวิเคราะห์ และอธิบายเพื่อให้เห็นถึงหลักคำสอนดังกล่าว ดังนี้ :
ตัวบท และความหมายโดยสรุป :อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า :
( لَا يَنْهَاكُمُ اللَّهُ عَنِ الَّذِينَ لَمْ يُقَاتِلُوكُمْ فِي الدِّينِ وَلَمْ يُخْرِجُوكُم مِّن دِيَارِكُمْ أَن تَبَرُّوهُمْ وَتُقْسِطُوا إِلَيْهِمْ إِنَّ اللَّهَ يُحِبُّ الْمُقْسِطِينَ ) (8) سورة الممتحنة
อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดา (ชนต่างศาสนิก) ที่มิได้รุกรานพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม (60:8)
ข้อวิเคราะห์ที่ 1
โองการนี้ได้ใช้ให้ท่านนบี และเศาะหาบะฮฺปฏิบัติดีกับ เผ่าคุซาอะฮฺ และบะนูอัลหาริษ ซึ่งเป็นชนต่างศาสนิกที่ได้ทำสัญญาสงบศึกกับท่านนบี และเหล่าเศาะหาบะฮฺ ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ (ดูอัลกุรฎบีย 1985 18 / 59) โองการนี้แม้ว่าจะประทานลงมาเกี่ยวกับกลุ่มคนหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่บัญญัติของเรื่องนี้ครอบคลุมทุกกลุ่มคนที่มีลักษณะเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกัน ตามหลัก (กออิดะฮฺ )ของนักอรรถาธิบายอัลกุรอาน (มุฟัสสิรีน) ที่ว่า :" العِبْرَةُ بعُموم اللفْظ لا بخُصوصِ السَّبب "
การพิจารณาอัลกุรอานนั้นให้ พิจารณาถึงความหมายที่ครอบคลุมของถ้อยคำ มิใช่พิจารณาที่สาเหตุ หรือภูมิหลังเป็นการเฉพาะ (ดูอัสสุยูฏียฺ มปป. 2/28) ดังนั้นโองการนี้จึงสามารถนำมาใช้กับมุสลิมโดยทั่วไปในสองสถานะ คือ :
ก.) มุสลิมที่เป็นชนส่วนน้อยของประเทศ ซึ่งชนส่วนใหญ่ต่างศาสนิกมิได้ต่อต้านรุกราน หรือเข่นฆ่า และมิได้ขับไล่ไสส่งออกนอกมาตุภูมิ
ข.) มุสลิมที่มิใช่เป็นชนส่วนน้อยของประเทศ แต่มีสัญญาตกลงในข้อกฎหมายที่จะอยู่ร่วมกันกับชนต่างศาสนิกอย่างสันติ
มุสลิมที่อยู่ในสองสถานะดังกล่าวจำเป็นต้องปฏิบัติตามบัญญัติของโองการนี้ทั้งสิ้น
ข้อวิเคราะห์ที่ 2
ชนต่างศาสนิกที่อัลลอฮฺได้กล่าวถึงในโองการนี้ คือ ชนต่างศาสนิกที่ไม่มีพฤติกรรมเป็นภัยร้ายแรงต่อมุสลิม โดยอัลลอฮฺได้ระบุไว้สองประการสำคัญ คือ :1.) " لم يقاتلوكم في الدين "ไม่ทำสงครามศาสนา หมายถึงไม่คุกคาม หรือต่อต้านในเรื่องสิทธิทางศาสนา
2.) " لم يخرجوكم من دياركم "ไม่ขับไล่ออกจากมาตุภูมิ หมายถึงไม่คุกคามในเรื่องสิทธิของที่อยู่อาศัย
สำหรับชนต่างศาสนิกที่มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อมุสลิมในสองประการข้างต้น อัลลอฮฺได้บัญญัติห้ามการผูกมิตรกับพวกเขาในโองการถัดมา คือ :
( إِنَّمَا يَنْهَاكُمُ اللَّهُ عَنِ الَّذِينَ قَاتَلُوكُمْ فِي الدِّينِ وَأَخْرَجُوكُم مِّن دِيَارِكُمْ وَظَاهَرُوا عَلَى إِخْرَاجِكُمْ أَن تَوَلَّوْهُمْ وَمَن يَتَوَلَّهُمْ فَأُوْلَئِكَ هُمُ الظَّالِمُونَ ) (9) سورة الممتحنة
อัลลอฮฺเพียงแต่ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้รุกรานพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า และช่วยเหลือ (ผู้อื่น) ในการขับไล่พวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะผูกมิตรกับพวกเขา และผู้ใดผูกมิตรกับพวกเขา ชนเหล่านั้นเป็นผู้อธรรม (60:9)
ข้อวิเคราะห์ที่ 3อัลลอฮฺได้ระบุถึงองค์ประกอบสำคัญของความสมานฉันท์ระหว่างมุสลิม กับชนต่างศาสนิกไว้สองประการ คือ :
1.) البِرّหมายถึงการปฏิบัติดีต่อกัน คำนี้ปรากฏในอัลกุรอานทั้งหมด 8 ที่ คือ :
(2:44, 177, 177, 189, 189 3:92 5:2 58:9) และคำ ในความหมายเดียวกัน มีปรากฏใน(2:224)
2.) القِسْطหมายถึงการให้ความยุติธรรม คำนี้ปรากฏในอัลกุรอานทั้งหมด 15 ที่ คือ :
(3:18, 21 4:127, 135 5:8,42 6:152 7:29 10:4, 47, 54 11:85 21:47 55:9 57:25)และคำที่แตกออกไป ซึ่งสื่อความหมายเดียวกัน เช่น:
ก. تُقْسِطُوْا(4:3)
ข. أقْسِطُوْا (49:9)
ค. القاسِطُوْن(72:14, 15)
ง. أَقْسَطُ(22:282 33:15)
จ. المُقْسِطِيْنَ (5:42 49:9 60:8)
ทั้ง البر (การปฏิบัติดี)และ القسط (การให้ความเป็นธรรม) ล้วนเป็นคุณธรรมที่สำคัญที่มนุษย์พึงหยิบยื่นให้กันและกัน เพื่อความสมานฉันท์ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ข้อวิเคราะห์ที่ 4
อัลลอฮฺได้จบโองการนี้ด้วยการชื่นชมผู้ที่ปฏิบัติดี และมีความยุติธรรม ต่อชนต่างศาสนิก ด้วยคำว่า:
إِنَّ اللَّهَ يُحِبُّ الْمُقْسِطِينَ ) )
แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม
ประโยคนี้ แม้ว่าจะเป็นประโยคบอกเล่า خَبَرية แต่ความหมายของประโยคมิใช่บอกเล่า แต่เป็นเหมือนคำสั่ง إنْشَائِية กล่าวคือ อัลลอฮฺทรงต้องการให้มุสลิมปฏิบัติดี และมีความยุติธรรมต่อชนต่างศาสนิกที่มีพฤติกรรมดังกล่าว เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรัก และแน่นอนความรักของอัลลอฮฺเป็นยอดปรารถนาของมุสลิมทุกคน
ข้อวิเคราะห์ที่ 5การปฏิบัติดี และการมีความยุติธรรมในโองการนี้ไม่ขัดแย้งกับข้อห้ามในเรื่องของ วะลาอ. ( ولاء )ในโองการของอัลลอฮฺที่ว่า :
( يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ لاَ تَتَّخِذُواْ الْكَافِرِينَ أَوْلِيَاء مِن دُونِ الْمُؤْمِنِينَ )
( 144 ) سورة النساءโอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตร อื่นไปจากผู้ศรัทธาทั้งหลาย (4:144) ดูโองการที่มีความหมายใกล้เคียงกันใน (3:28 4:89, 139 5:51 9:23 3:118)
เนื่องจากสามารถอธิบายได้ดังนี้ คือ
1.) ผู้ปฏิเสธศรัทธา หรือชนต่างศาสนิกในโองการต่างๆดังกล่าว มิใช่เป็นชนต่างศาสนิกที่กล่าวถึงในโองการอัลมุมตะหินะฮฺ (60:8) แต่เป็นชนต่างศาสนิกที่อัลลอฮฺได้กล่าวถึงในโองการถัดมา อัลมุมตะหินะฮฺ (60:9)
2.) การสร้างความสมานฉันท์ในรูปของ البر และ القسط นั้นแตกต่างจากเรื่องของالولاءกล่าวคือ เรื่องแรกเป็นเรื่องของมนุษย์สัมพันธ์ ที่มุสลิมทุกคนพึงปฏิบัติต่อชนต่างศาสนิก สอดคล้องกับอัลหะดีษที่ท่านร่อซู้ล (ศ้อลลั้ลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวว่า:
" وخا لِق الناسَ بخُلق حَسَن "และเจ้าจงคบกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกิริยามารยาทที่ดีงาม (อัตติรมีซีย์ หมายเลข 1987 เป็นหะดีษหะสันศอเหี้ยะห์)
ส่วนเรื่องที่สอง คือ เรื่อง วะลาอฺ นั้นเป็นเรื่องของการเป็นมิตรสนิท ที่มีลักษณะพิเศษของ ความรัก ความเคารพ และการสวามิภักดิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺจึงได้บัญญัติห้ามไว้ในหลายโองการที่กล่าวมา (ดูมูฮัมหมัด นุอัยมฺ ยาซีน 1398 หน้า 145)
บทส่งท้าย
แม้ว่าความขัดแย้งจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ในการอยู่ร่วมกัน แต่อิสลามก็กำหนดให้มนุษย์หาทางออกด้วยวิธีการที่นำไปสู่ความสมานฉันท์เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในหมู่มุสลิมต่อมุสลิมด้วยกัน หรือมุสลิมต่อชนต่างศาสนิก อย่างไรก็ตามสันติภาพ และความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนในสังคมจะต้องตระหนักว่าทุกคนจะต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม ความสุข และความทุกข์ของผู้อื่น ก็คือความสุข และความทุกข์ของพวกเราทุกคนด้วย ขอดุอาอฺจากอัลลอฮฺได้โปรดประทานความสมานฉันท์ และความสันติสุข แด่เราทุกคน อามีนผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร. อับดุลเลาะ หนุ่มสุข
د.عبدالله نومسوك
เอกสารอ้างอิง
- อัลกุรอานุ้ลกะรีม
- มูฮัมหมัด นุอัยมฺ ยาซีน 1398 อัลอีมาน หะกีเกาะตุฮู อัรกานุฮู นะวากิฎฮู พิมพ์ครั้งที่ 1 จอร์แดน ยัมอียะฮฺ อุมมาล อัลมะฎอบิอฺ
- มุฮัมหมัด ฟุอ๊ะด อับดุลบากีย์ 1987 อัลมุอฺญัมอัลมุฟะฮฺ รอส ลิอัลฟาซิลกุรอาน อัลกะรีม พิมพ์ครั้งที่ 1 ไคโร : ดารุ้ลหะดีษ
- อัตติรมิซีย มปป. อัลญามิอฺ อัศศอเหี้ยะห์ ตะห์กี่ก อะห์หมัด มูฮัมหมัด ชากิร เบรุต : ดารุ้ลกุตุบอัลอิลมียะฮฺ
- อัลกุรฎบียฺ 1985 อัลญามิอฺ ลิอะห์กามิลกุรอาน เบรุต : ดารุล เอี้ยะห์ยา อุตตุรอษุล อะรอบียฺ
- อัสสุยูฎีฮ์ มปป. อัลอิตกอน ฟีอุลูมิลกุรอาน