ข้อตัดสินผู้ที่นับถือศาสนาอื่นจากอิสลาม
อ.อามีน ดาราพงษ์
หุกม(ข้อตัดสิน)การใช้เครื่องมือเพื่อการสื่อสารทางสังคม
จากความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ที่มีต่อปวงบ่าวของพระองค์ คือ พระองค์ทรงเปิดประตูความรู้ในทุกๆเวลาให้แก่พวกเขา เท่าที่จะให้ความสะดวกในการใช้ชีวิตของพวกเขามากที่สุด และการเชื่อมต่อที่ใกล้ตัวพวกเขามากที่สุดทางด้านการสื่อสารสมัยใหม่ เช่น โทรศัพท์ แฟกซ์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ เฟสบุ๊ค ยูทูบและอื่นๆจากเครื่องมือสื่อสารต่างๆ
และนี่คือสื่ออิสระใครก็ตามที่นำไปใช้ในทางที่ดี เขาก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดี และใครก็ตามที่นำมันไปใช้ในทางที่ชั่วร้าย เขาก็จะได้รับผลตอบแทนที่เลวร้ายเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้จำเป็นแก่ผู้ที่ครอบครองมันที่จะต้องขอบคุณต่ออัลลอฮฺ และนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อมุสลิมและผู้อื่น ในสิ่งที่พระผู้อภิบาลทรงพอพระทัย จากการเผยแพร่วิชาความรู้ด้านศาสนา การเรียกร้องเชิญชวนไปสู่อัลลอฮฺ การใช้ให้กระทำความดี และห้ามปรามการกระทำความชั่วและประโยชน์ด้านต่างๆอีกมากมาย
ไม่อนุญาตให้นำมันไปใช้เป็นสื่อเผยแพร่ในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้ามทั้งด้านคำพูดและการกระทำ หรือสอดแนมผู้อื่นหรือเผยแพร่ความชั่วร้าย เผยแพร่รูปภาพและเพลงต่างๆ การเผยแพร่รูปภาพรัดรูปของผู้หญิงหรือเปิดเผยเรือนร่างของนาง และอื่นๆอีกจากรูปแบบความชั่วร้ายและความเสียหาย
อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสความว่า
“และจงแสวงหาสิ่งที่อัลลอฮฺได้ประทานแก่เจ้าเพื่อปรโลกและอย่าลืมส่วนของเจ้าแห่งโลกนี้
และจงทำความดีเสมือนกับที่อัลลอฮฺได้ทรงทำความดีแก่เจ้า และอย่าแสวงหาความเสียหายในแผ่นดิน
แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงโปรดบรรดาผู้บ่อนทำลาย”
(อัลกอศอศ:77)
หุกม(ข้อตัดสิน)ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นจากอิสลาม
อิสลามคือศาสนาของอัลลอฮฺที่บรรดาศาสนทูตทั้งหมดนำมา ศตวรรษแล้วศตวรรษเล่า ประชาชาติแล้วประชาชาติเล่า และทุกคนที่นับถือศาสนาอื่นจากอิสลามเขาคือผู้ปฏิเสธศรัทธา(กาฟิรฺ)ที่จะอยู่ในนรกตลอดกาล แม้ว่าเขาจะเป็นยิวหรือคริสเตียนหรือมะยูซีย์หรืออื่นจากพวกเขา อัลลอฮฺตะอาลา ตรัสความว่า
“แท้จริงศาสนา ณ อัลลอฮฺนั้นคืออิสลาม และบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์มิได้ขัดแย้งกันนอกจากหลังจากที่ได้รับความรู้มายังพวกเขาเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากความอิจฉาริษยาระหว่างพวกเขาเอง และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮฺแล้วไซร้ แน่นอนอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระ”
(อาลิอิมรอน:19)
♣ ดังนั้นยิวคือผู้ปฏิเสธศรัทธา(กาฟิรฺ) เนื่องจากพวกเขาฆ่าบรรดานบี และพวกเขากล่าวว่าอุซัยรฺเป็นบุตรของอัลลอฮฺ และพวกเขาปฏิเสธต่อนบีอีซาอะลัยฮิสสลาม ใครก็ตามจากพวกเขาที่นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้นสำหรับเขาคือการตอบแทนสองครั้งด้วยกัน คือ ในฐานะที่เขาศรัทธาต่อนบีมูซาอะลัยฮิสสลาม และในฐานะที่เขาศรัทธาต่อนบีมุหัมมัดศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
♣ คริสเตียนคือผู้ปฏิเสธศรัทธาเช่นกัน เนื่องจากพวกเขากล่าวว่า อัลลอฮฺนั้นหนึ่งในสาม(ตรีเอกานุภาพ) และพวกเขากล่าวว่า มะสีหฺคือบุตรของอัลลอฮฺ และพวกเขาปฏิเสธท่านนบีมุหัมมัดศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และใครก็ตามจากพวกเขาที่นับถืออิสลาม ดังนั้นสำหรับเขาคือการตอบแทนสองครั้ง คือ ในฐานะที่เขาศรัทธาต่อนบีอีซาอะลัยฮิสสลาม และในฐานะที่เขาศรัทธาต่อท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และอัลลอฮฺจะทรงเพิ่มการตอบแทนเท่าทวีคูณ และให้การอภัยโทษและความเมตตาแก่ทุกคนที่เข้ารับอิสลามจากประชาชาตินี้
อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสความว่า
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงยำเกรงอัลลอฮฺและจงศรัทธาต่อรอสูลของพระองค์เถิด พระองค์จะทรงประทานความเมตตาของพระองค์ให้แก่พวกเจ้าสองเท่า และจะทรงให้มีแสงสว่างแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ , ทั้งเพื่อให้อะฮฺลุลกิตาบจะได้รู้ว่าพวกเขาไม่มีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใดในความโปรดปรานของอัลลอฮฺ และแท้จริงความโปรดปรานของอัลลอฮฺนั้นอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์จะทรงประทานความโปรดปรานนั้นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงโปรดปรานอันใหญ่หลวง”
(อัลหะดีด:28-29)
อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสความว่า
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย หากพวกเจ้ายำเกรงอัลลอฮฺ
พระองค์จะทรงให้มีแก่พวกเจ้าซึ่งสิ่งจำแนกระหว่างความจริงและความเท็จ
และจะทรงลบล้างบรรดาความผิดขอ่งพวกเจ้าออกจากพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเจ้าด้วย
และอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงมีบุญคุณอันใหญ่หลวง”
(อัลอันฟาล:29)
จากอบีมูซา รอฎิยัลลอฮุอันฮุ แท้จริงท่านรอสูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
“ใครก็ตามที่มีบุตรสาวแล้วสอนวิชาความรู้ให้แก่นางอย่างดีที่สุด และอบรมนางด้วยการอบรมที่ดีที่สุด หลังจากนั้นก็จัดการแต่งงานให้กับนาง ดังนั้นเขาจะได้รับสองผลบุญ
และใครก็ตามจากชาวคัมภีร์ที่ศรัทธาต่อนบีของเขาและศรัทธาต่อฉัน ดังนั้นเขาจะได้สองผลบุญ
และผู้ปกครองเมืองคนใดก็ตามที่ให้สิทธิแก่ผู้ถูกปกครอง และมอบสิทธิแด่พระผู้อภิบาลของเขา ดังนั้นสำหรับเขาได้รับสองผลบุญ”
(มุตตะฟะกุนอะลัยฮฺ)
♦ ชาวคัมภีร์ คือ ผู้ที่ศรัทธาต่อนบีมูซาและนบีอีซา อะลัยฮิมัสสลาม และปฏิบัติตามแนวทางคัมภีร์เตารอฮฺและอินญีลซึ่งถูกประทานให้แก่ท่านทั้งสอง และเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว โดยไม่มีภาคีใดๆร่วมกับพระองค์
♦ คัมภีร์เตารอฮฺและอินญีลคือคัมภีร์แห่งพระผู้เป็นเจ้า แต่ว่าถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข หลังจากนั้นพระองค์อัลลอฮฺ ทรงยกเลิกกิจการของมันทั้งสองด้วยคัมภีร์อัลกุรอาน
♦ ยิวและคริสเตียนภายหลังการแต่งตั้งท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมเป็นศาสนทูต พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ถูกโกรธกริ้ว เนื่องจากพวกเขารู้ความจริงแต่พวกเขาก็ละทิ้งมัน ดังนั้นพวกเขาจะถูกโกรธกริ้วแล้วถูกโกรธกริ้วอีก และใครก็ตามที่ไม่ตัดสินว่ายิว คริสเตียนและผู้ที่เคารพภักดีสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากอัลลอฮฺ คือผู้ปฏิเสธ ดังนั้นเขาก็คือผู้ปฏิเสธนั่นเอง
♦ จำเป็นที่เราจะต้องให้การตัดสินแก่ทุกคน ที่อัลลอฮฺ ทรงปฏิเสธเขาในอัลกุรอานว่าเป็นผู้ปฏิเสธ และใครก็ตามที่อัลลอฮฺทรงปฏิเสธ เขาก็คือผู้ปฏิเสธศรัทธา(กาฟิรฺ) และใครก็ตามที่อัลลอฮฺไม่ได้ปฏิเสธเขา ดังนั้นเขาก็ไม่ใช่ผู้ปฏิเสธศรัทธา(กาฟิรฺ)แต่อย่างใด
♦ และใครก็ตามที่ไม่ตัดสินต่อผู้ที่อัลลอฮฺทรงให้การตัดสินว่าเขาคือผู้ปฏิเสธ ดังเช่นบรรดาผู้ที่สำคัญเองว่าอัลลอฮฺจะทรงรับศาสนาของเขา ด้วยการสำคัญผิดเช่นนี้ก็เป็นการปฏิเสธต่อคำกล่าวของอัลลอฮฺที่ว่า
“และใครก็ตามที่แสวงหาศาสนาอื่นไปจากอิสลาม ดังนั้นจะไม่ถูกตอบรับจากเขา และในอาคีเราะฮฺนั้นเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน”
(อาลิอิมรอน:85)
และแท้จริงอัลลอฮฺทรงปฏิเสธพวกยิว คริสเตียนและทุกคนที่เคารพภักดีสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากอัลลอฮฺไว้ในอัลกุรอาน และท่านนบีอิบรอฮีมอะลัยฮิสสลาม ก็เป็นอิสระจากบรรดาพวกยิวและคริสเตียน ดังนั้นชี้ให้เห็นว่า แท้จริงยิวและคริสเตียนนั้นเป็นศาสนาแห่งการปฏิเสธพระเจ้า และผู้ที่ประดิษฐ์หรืออุตริศาสนาทั้งสองนี้ขึ้นมาก็คือบรรดาผู้ปฏิเสธ หลังจากล่วงเลยยุคของท่านนบีมูซาและอีซาอะลัยฮิมัสสลามหลายศตวรรษ
อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสความว่า
“และชาวยิวได้กล่าวว่า อุซัยรฺเป็นบุตรของอัลลอฮฺ และชาวคริสต์ได้กล่าวว่า อัลมะซีหฺเป็นบุตรของอัลลอฮฺ นั้นคือถ้อยคำที่พวกเขาเหล่านั้นกล่าวขึ้นด้วยปากของพวกเขาเอง ซึ่งคล้ายกับถ้อยคำของบรรดาผู้ที่ได้ปฏิเสธการศรัทธามาก่อน ขออัลลอฮฺทรงสาปแช่ง(ละอฺนัต) พวกเขาด้วยเถิด พวกเขาถูกหันเหไปได้อย่างไร”
(อัตเตาบะฮฺ:30)
อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสความว่า
“แท้จริงผู้ที่กล่าวว่าอัลลอฮฺเป็นผู้ที่สามของสามองค์นั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากผู้ที่ควรเคารพสักการะองค์เดียวเท่านั้น และหากพวกเขามิหยุดยั้งจากสิ่งที่พวกเขากล่าว แน่นอนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาในหมู่พวกเขานั้นจะต้องประสบกับการลงโทษอันเจ็บแสบ”
(อัลมาอิดะฮฺ:73)
อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสความว่า
“และพวกเขากล่าวว่าพวกท่านจงเป็นยิวเถิด หรือเป็นคริสต์เถิด พวกท่านจะได้รับคำแนะนำอันถูกต้อง
จงกล่าวเถิด(โอ้มุหัมมัด) หาใช่เช่นนั้นไม่ แนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริงต่างหากและเขาไม่เคยเป็นผู้สักการะเจว็ด”
(อัลบะกอเราะฮฺ:135)
ดังนั้นการเรียกร้องเชิญชวนจึงจำเป็นแก่เราที่จะต้องเรียกร้องเชิญชวนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหมดนั้นมาสู่อัลอิสลามไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม และไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสความว่า
“นี่คือการประกาศแก่ปวงมนุษย์เพื่อพวกเขาจะถูกตักเตือนด้วยมัน และเพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่า
แท้จริงพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงเอกะ และเพื่อบรรดาผู้มีสติจะได้รำลึก”
(อิบรอฮีม:52)