การทำอุฏฮียะห์ให้กับบิดามารดา
แปลและเรียบเรียง... อ.กิสมัต ปาทาน
ฉันเห็นบางคนในช่วงอีดอัฏฮา อัลมุบาร๊อก พวกเขาจะเจตนา(เนียต) ทำอุฏฮียะห์ให้กับบรรดาบิดาของพวกเขาและทำให้ท่านนบี ซ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้นฉันอยากทราบว่ามันเป็นที่อนุญาติให้กระทำได้หรือไม่ หรือมันเป็นบิดอะห์ ?
คำตอบ
ประการที่ 1
ไม่มีบัญญัติการทำอุฏฮียะห์อุทิศให้กับผู้ตาย หรือมีการกระทำจากท่านนบีซ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเลย เพราะว่า เรื่องดังกล่าวนั้น ไม่ปรากฏจากบรรดาศอฮาบะห์ที่มีความรักต่อท่านนบีอย่างเปี่ยมล้น ซึ่งพวกเขามีโอกาสที่จะทำความดีอย่างเหลือล้น และไม่มีคำแนะนำจากท่านนบี ซ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ต่อประชาชาติของท่านให้กระทำในเรื่องดังกล่าว เฉกเช่นการแนะนำบรรดาศอฮาบะห์ให้ละหมาด และการถามถึงความประเสริฐและความดีหลังจากการอาซานแล้ว
หากปรากฎว่าการทำอุฏฮียะฮ์ให้กับผู้ตายเป็นความดีจริง ท่านนบี ซ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะต้องบอกแก่บรรดาศอฮาบะห์อย่างแน่นอน เพราะทุกๆความดี ที่ประชาชาติได้ทำไว้ผลบุญจะไปถึงท่านด้วย เพราะท่านนบี ได้ชี้แนะ แนะนำ เรียกร้องไปยังการทำดี ซึ่งเป็นผลพวงส่งไปถึง นบี ซ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และนี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์หรอกหรือ !! ฉะนั้นการเอาปัจจัย(ทรัพสินย์)จากผู้อื่น เพื่อผลประโยชน์ของตนเองนั้นจะไม่ได้ผลบุญ
ประการที่ 2
การทำอุฏฮิยะห์ให้แก่บรรดาผู้ที่ตายไปแล้วมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน
ประเภทที่หนึ่ง
การทำอุฏฮิยะห์ให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้วรวมกับการทำให้กับผู้ที่มีชีวิตอยู่ ตัวอย่างเช่น การที่คนหนึ่งได้ทำอุฏฮิยะห์ให้กับตัวเอง และให้กับครอบครัวของเขา โดยที่เขาเจตนาให้กับผู้ที่มีชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้ว การกระทำนี้เป็นที่อนุญาต แล้วหลักฐานของการกระทำนี้คือ แท้จริงท่านนบี ซ็อลล็อลลอฮุอะลัยอิวะซัลลัม ได้ทำอุฏฮิยะห์ให้กับตัวเอง และให้แก่ครอบครัวของท่าน ซึ่งในบรรดาครอบครัวของท่านนั้นมีทั้งผู้ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว เช่นท่านหญิงคอดียะห์ รอฎิยัลลอฮุอันฮา
ประเภทที่สอง
การทำให้แก่ผู้ตาย เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งเสียของผู้ตาย จึงเป็นวาญิบ(จำเป็นต้องทำ) นอกจากไม่มีความสามารถที่จะทำ หลักฐานในเรื่องนี้ดังดำรัสของอัลลอฮฺ ตาอาลา
“แล้วผู้ใดเปลี่ยนแปลงพินัยกรรม หลังจากที่เขาได้ยินมันแล้ว โทษแห่งการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมนั้นก็ตกอยู่แก่บรรดาผู้เปลี่ยนแปลง พินัยกรรมนั้นเท่านั้น แท้จริงอัลลอฮ์ทรงได้ยิน ทรงรอบรู้”
ประเภทที่สาม
การทำอุฏฮิยะห์ให้แก่บรรดาผู้ที่ตาย คือการบริจาคทานเป็นการเฉพาะจากผู้ที่มีชีวิตอยู่ (คือ ทำการเชือดให้แก่บิดาของเขา เป็นการทำอุฏฮิยะห์เป็นการเฉพาะ หรือทำให้มารดาของเขาเป็นการเฉพาะ) แบบนี้เป็นที่อนุญาต
โดยที่บรรดานักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านฟิกฮ์ของ มัสฮับ ฮัมบาลีย์ได้ระบุว่า ผลบุญของการทำอุฏฮิยะห์นั้นถึงไปยังผู้ที่ตาย และยังประโยชน์ให้แก่ผู้ตายไปแล้ว เป็นการเปรียบเทียบจากการซอดาเกาะห์ให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว
แต่ว่าเรา(เชคมุนัจญิด)ไม่เห็นด้วยกับการเจาะจงการทำอุฏฮิยะห์ให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ว่ามันมาจากซุนนะห์ เนื่องจากท่านนบี ศอลลัลลอฮูอะลัยอิวะซัลลัม ไม่ได้ทำอุฏฮิยะห์(แบบศอดาเกาะห์) ให้แก่ผู้ใด ให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตเป็นการเฉพาะ โดยที่ท่านไม่ได้ทำอุฏฮิยะห์ให้แก่ท่านฮัมซะห์ ซึ่งเป็นลุงและเป็นหนึ่งจากผู้ที่มีเกียติรจากบรรดาเครือญาติของท่าน และท่านนบี ไม่ได้ทำเป็นการเจาะจงให้กับบรรดาลูกๆ ของท่านที่เสียชีวิตในยุคสมัยของท่าน และไม่ได้ทำให้กับภรรยาของท่าน คือ ท่านหญิง คอดียะห์ ซึ่งเป็นภรรยาที่ท่านรักที่สุด และไม่มีปรากฏว่า บรรดาศอหาบะห์ในยุคของท่าน จะทำการเชือดกุรบาน ให้คนหนึ่งคนใดจากบรรดาผู้ที่เสียชีวิต
ที่มา http://islamqa.info/ar/128016