สาเหตุที่ส่งผลให้เกิดบิดอะฮฺ
เชค ศอลิหฺ บิน เฟาซาน อัล-เฟาซาน
เป็นที่ทราบกันดีว่าการยึดมั่นต่ออัลกุรอานและสุนนะฮฺของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม คือทางรอดพ้นจากบิดอะฮฺและความหลงผิดทั้งหลาย พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า:
"และแท้จริงนี่คือแนวทางของข้าอันเที่ยงตรง ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงปฏิบัติตามมันเถิด
และจงอย่าได้ปฏิบัติตามแนวทางอื่นๆ เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกจากแนวทางของพระองค์"
(อัล-อันอาม : 153)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้อธิบายความหมายนี้ไว้อย่างชัดเจน ดังเช่น รายงานหนึ่งที่ว่า:
จากท่านอิบนิมัสอูด เราะฎิยัลลอฮฮุอันฮุ เล่าว่า: ท่านนบี มุหัมมัดศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ขีดเส้นหนึ่งเส้นให้พวกเรา
หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า “นี่คือทางของพระองค์อัลลอฮฺ” หลังจากนั้นท่านได้ขีดอีกหลายๆ เส้นจากทางขวาของท่าน และทางซ้ายของท่าน
หลังจากนั้นท่านก็กล่าวว่า “นี่คือแนวทางที่หลากหลาย บนทุกๆ เส้นทางที่หลากหลายนั้น มีชัยฏอนที่คอยเชิญชวนให้เข้าหามัน”
หลังจากนั้นท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ได้อ่านอายะฮฺอัลกุรอานความว่า
“และแท้จริงนี้คือแนวทางของข้าอันเที่ยงตรงดังนั้นพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด
และจงอย่าปฏิบัติตามแนวทางต่างๆ เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกจากแนวทางของพระองค์”
(รายงานโดย อะหฺมัด : 435 )
บุคคลใดก็ตามแต่เมื่อเขาหันเหออกจากอัลกุรอานและสุนนะฮฺ เขาก็จะพบกับแนวทางที่หลงผิด และที่เป็นบิดอะฮฺมากมาย ซึ่งสาเหตุต่างๆ ที่นำพาเขาพบเจอกับบิดอะฮฺและสิ่งที่ลุ่มหลง ได้แก่ ขาดความรู้ความเข้าใจในบทบัญญัติศาสนา การตามอารมณ์ การคลั่งไคล้ในตัวบุคคลและแนวความคิด อุดมการณ์ของเขา การเลียนแบบต่างศาสนิก ซึ่งเราจะสนทนากันถึงสาเหตุดังกล่าวนี้อย่างละเอียด ดังต่อไปนี้
1. ขาดความรู้ความเข้าใจในบทบัญญัติศาสนา :
แน่นอนว่าทุกกาลเวลาที่ผ่านนานไป การที่มนุษย์ห่างไกลจากหลักการศาสนาทำให้วิชาความรู้ลดน้อยลงและความเขลาก็จะเพิ่มขึ้นตามกัน ดังเช่นสิ่งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยกล่าวไว้ว่า :
"ผู้ที่มีชีวิตอยู่หลังจากฉัน แน่นอนเขาจะเห็นการขัดแย้งอย่างมากมาย"
(รายงานโดย อัล-บุคอรีย์ : 3433 และมุสลิม : 2673)
และหะดีษ ที่ว่า :
"แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺ จะไม่นำความรู้กลับไปโดยถอดมันออกจากบ่าว แต่พระองค์จะนำความรู้กลับไปด้วยการเสียชีวิตของบรรดาผู้รู้
จนกระทั่งแทบจะไม่เหลือผู้รู้เลย ผู้คนจึงยึดผู้ที่ไม่มีความรู้เป็นผู้นำ
เมื่อเขาถูกถาม เขาก็จะเฉลยปัญหา(ฟัตวา) โดยที่ไม่มีความรู้ ดังนั้นพวกเขาหลงผิดและยังนำพาผู้อื่นหลงผิดอีกด้วย"
(รายงานโดยอัล-บุคคอรีย์ :3433)
ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะต่อสู้กับสิ่งที่เป็นบิดอะฮฺ นอกจากวิชาความรู้และผู้รู้เท่านั้น เมื่อวิชาความรู้และผู้รู้ลดน้อยลง จึงเปิดโอกาสให้บิดอะฮฺต่างๆ ปรากฏขึ้นและแพร่หลายอย่างง่ายดาย
2. ปฏิบัติตามอารมณ์ความรู้สึก :
การที่คนหนึ่งหันเหออกห่างจากอัลกุรอานและสุนนะฮฺ แน่นอนเขาก็จะปฏิบัติตามอารมณ์ความรู้สึก ดังเช่นคำดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺที่ว่า
"หากพวกเขาไม่ตอบรับ(คำประกาศของ)เจ้า ก็พึงทราบเถิดว่า พวกเขาเพียงแค่ปฏิบัติตามอารมณ์ของพวกเขาเอง
และใครเล่าที่จะหลงผิดยิ่งไปกว่าผู้ปฏิบัติตามอารมณ์ของเขา โดยปราศจากทางนำจากอัลลอฮฺ”
(อัล-เกาะศ็อศ :50)
และคำดำรัสที่ว่า :
"เจ้าเคยเห็นผู้ที่ยึดเอาอารมณ์ของเขาเป็นพระเจ้าของเขาหรือไม่ ? และพระองค์อัลลอฮฺทำให้เขาหลงทางด้วยความรอบรู้ของพระองค์
และได้ผนึกการได้ยินและหัวใจของเขา และได้ปิดกั้นสายตาของเขา ดังนั้น ยังมีใครที่จะนำทางเขาได้อีกนอกเหนือจากพระองค์อัลลอฮฺ"
(อัล-ญาษิยะฮฺ 23)
สิ่งที่เป็นบิดอะฮฺมันก็คือความต้องการทางอารมณ์ที่ถูกปฏิบัติตามนั่นเอง
3. คลั่งไคล้ในตัวบุคคลและอุดมการณ์ความคิดของเขา :
พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า : "และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า จงปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮฺได้ประทานมา
พวกเขาตอบว่า เราจะปฏิบัติตามเฉพาะที่เราพบว่าบรรพบุรุษของเราได้ปฏิบัติไว้
ทั้งๆ ที่บรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้เข้าใจโดยสติปัญญาและไม่ได้รับทางนำที่ถูกต้องกระนั้นหรือ”
(อัล-บะเกาะเราะฮฺ :170)
และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคนี้กับบรรดาผู้คลั่งไคล้ ต่อสำนักคิดต่างๆ ในศาสนา พวกศูฟีย์ พวกบูชาหลุมศพทั้งหลาย ที่เมื่อมีคนเรียกร้องพวกเขาให้ปฏิบัติตามอัลกุรอานและสุนนะฮฺ ตักเตือนสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติที่ขัดกับตัวบทหลักฐานจากอัลกุรอานและสุนนะฮฺ พวกเขาก็จะอ้างสำนักคิดหรือบรรดาผู้รู้ และจากบรรพบุรุษของพวกเขา เป็นหลักฐานในสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติกันอยู่
4. เลียนแบบต่างศาสนิก :
แน่นอนสิ่งนี้คือสิ่งที่อันตรายที่สุดของบิดอะฮฺ ซึ่งมันเคยปรากฏในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ดังรายงานหนึ่งที่ว่า:
รายงานจากท่านอบู วากิด อัล-ลัยษีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า พวกเราเคยร่วมเดินทางกับท่านเราะสูลจนกระทั่งถึง หุนัยนฺ (ชื่อสถานที่) และพวกเราก็เป็นมุสลิมใหม่ และสำหรับพวกตั้งภาคีแล้วพวกเขาจะมีต้นไม้หนึ่ง ซึ่งพวกเขาจะทำการอิอฺติกาฟ ณ ที่ต้นไม้นั้น และแขวนอาวุธต่างๆ ไว้ที่มัน (ก่อนการออกทำสงครามเพื่อเป็นการขอความมงคล และให้ทำศึกอย่างมีชัย) ซึ่งต้นไม้นั้นมันถูกเรียกว่า ซาตุ อันวาฎ
พวกเราได้เดินผ่านต้นไม้นั้น และกล่าวว่า : โอ้ท่านเราะสูล ได้โปรดทำให้พวกเรามีต้นไม้ดังกล่าวนั้นเหมือนกับพวกตั้งภาคีด้วยเถิด!
ท่านเราะสูลจึงกล่าวว่า : “ อัลลอฮุ อักบัรฺ ! แท้จริงมันคือแบบอย่าง(ที่ถูกปฏิบัติมาอย่างผิดๆ) ขอสาบานด้วยกับผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตของพระองค์ พวกเจ้าพูดออกมาเหมือนกับที่บรรดาบนีอิสรออีลเคยพูดกับนบีมูซาว่า “ได้โปรดทำให้สำหรับพวกเราด้วยเถิดสิ่งที่ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะสักองค์หนึ่ง เช่นเดียวกับที่พวกเขามีสิ่งที่เป็นที่เคารพสักการะหลายองค์"
เขา(มูซา)กล่าวว่า : แท้จริงพวกท่านเป็นพวกที่โฉดเขลายิ่ง”(ความหมายอายะฮที่ 38 สูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ)
แน่นอน (ในยุคต่อๆ ไป หลังจากยุคของท่านนบี)พวกเจ้าจะปฏิบัติตามแนวทางต่างๆ ของกลุ่มชนก่อนหน้าพวกเจ้า”
(รายงานโดย อัต-ติรมิซีย์ : 2180)
ในหะดีษข้างต้นบ่งบอกถึงว่า การกระทำเลียนแบบต่างศาสนิกคือสิ่งที่นำพาให้พวกบีอิสรออีลและกลุ่มหนึ่งจากเศาะหาบะฮฺของท่านนบี มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ร้องขอสิ่งที่น่ารังเกียจนี้จากนบีของพวกเขา คือการที่ให้นบีของพวกเขา ทำให้พวกเขามีพระเจ้าหลายองค์เพื่อบูชา และขอความจำเริญจากบรรดาพระเจ้าเหล่านั้น นอกเหนือจากพระองค์อัลลอฮฺ และนี่เป็นสิ่งที่ตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน
กล่าวคือมุสลิมไม่น้อยในขณะนี้ที่พวกเขากระทำสิ่งที่เลียนแบบศาสนิกในสิ่งที่เป็นเรื่องบิดอะฮฺและชิริก เช่น การจัดวันเฉลิมฉลองงานวันเกิด(เมาลิด)ต่างๆ การกำหนดวัน สัปดาห์ หรือเดือนหนึ่งๆ เพื่อจัดกิจการเฉพาะ หรือ การจัดงานเนื่องในโอกาสสำคัญของศาสนาเพื่อเป็นการรำลึกถึงมัน หรือเป็นการจัดตั้งรูปปั้นของบุคคลเพื่อรำลึกเกียรติคุณ และสิ่งที่เป็นบิดอะฮฺที่เกี่ยวข้องกับศพผู้ตาย เช่นการสร้างสิ่งก่อสร้างบนหลุมศพ เป็นต้น
แปลโดย : อับดุลอาซีซ สุนธารักษ์ / Islamhouse