บิดอะฮฺหะสะนะฮฺ (บิดอะฮ์ที่ดี ! )
เชค ศอลิหฺ บิน เฟาซาน อัล-เฟาซาน
บุคคลที่แบ่งบิดอะฮฺออกเป็น บิดอะฮฺหะสะนะฮฺ (บิดอะฮฺที่ดี) และบิดอะฮฺสัยยิอะฮฺ(บิดอะฮฺที่เลว) สำหรับเขาแน่นอนเขาได้กระทำสิ่งที่ผิดพลาดอย่างมหันต์และเป็นสิ่งที่ฝ่าฝืนคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า :
“เพราะว่าทุกๆ บิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด”
(รายงานโดย อะบู ดาวูด: 4607 และอัต-ติรมิซีย์ : 2676)
เนื่องจากท่านรอสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้วางหุก่มบิดอะฮฺว่าเป็นสิ่งที่หลงผิดทั้งหมด แต่บุคคลผู้นี้กลับกล่าวว่า บิดอะฮฺไม่ได้เป็นสิ่งที่หลงผิดทั้งหมด แต่มีบิดอะฮฺหะสะนะฮฺปรากฏเช่นกันในศาสนา !
ท่านหาฟิซ อุบนุ เราะญับ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ชัรหฺ อัล-อัรบะอีน ว่า "คำกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า : “ทุกๆบิดอะฮฺนั้นหลงผิด” เป็นคำกล่าวที่ครอบคลุมความหมายไว้ทั้งหมด(หมายถึงทุกบิดอะฮฺในด้านศาสนา) โดยที่ไม่ได้ละเว้นสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย มันเป็นพื้นฐานสำคัญหนึ่งจากพื้นฐานต่างๆ ของศาสนา ซึ่งมันใกล้เคียงกับกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า :
"บุคคลใดก็ตามที่ กระทำสิ่งใหม่ขึ้นในการงานของเรา (ศาสนา) ซึ่งไม่มีหลักฐานจากศาสนานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกตอบรับ (ณ ที่อัลลอฮฺ)"
(รายงานโดย อัล-บุคอรีย์ : 167 )
บุคคลที่อุตริสิ่งใหม่ขึ้น และได้พาดพิงมันให้เป็นส่วนหนึ่งของศาสนา โดยที่ไม่เคยมีปรากฏตัวอย่างการปฏิบัติมันมาก่อน แน่นอนสิ่งดังกล่าวเป็นสิ่งที่หลงผิด ไม่ว่าจะในประเด็นเรื่องความเชื่อ การกระทำ หรือคำพูด ทั้งในสภาพที่เปิดเผยและลับตา
(ดู ญามิอุลอุลูม วัลหิกัม)
สำหรับบุคคลที่กล่าวอ้างว่ามี บิดอะฮฺหะสะนะฮฺ ในศาสนา พวกเขาได้กล่าวอ้างคำกล่าวของ ท่านอุมัรฺ บิน อัล-ค็อฏฏอบ ในประเด็นที่เกี่ยวกับละหมาดตะรอวีหฺ ที่ว่า :
«نعمت البدعة هذه» " นี่แหละ คือบิดอะฮฺที่ดี"
และยังได้อ้างว่า ยังมีสิ่งใหม่หลายประการที่เกิดขึ้นในศาสนาแต่บรรดาชาวสะลัฟไม่ได้ทำการตอบโต้ หรือปฏิเสธมันแต่อย่างใด เช่น การรวบรวมอัลกุรอานเป็นรูปเล่ม การบันทึกรวบรวมวจนะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นต้น
คำตอบสำหรับประเด็นดังกล่าว ก็คือ ทั้งหมดที่ยกอ้างมาล้วนเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในสมัยของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แน่นอนมันย่อมไม่ใช่ บิดอะฮฺ และส่วนคำกล่าวของท่านอุมัรฺ บิน อัล-ค็อฏฏอบ ที่ว่า "นี่แหละ คือบิดอะฮฺที่ดี" คำกล่าวนี้ท่านอุมัรต้องการสื่อถึงความหมายทางด้านภาษา ของคำว่าบิดอะฮฺ ไม่ใช่ทางด้านศาสนา เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เคยปรากฏมาก่อน หากถูกกล่าวว่ามันเป็นบิดอะฮฺ ใช่ มันก็คือบิดอะฮฺ แต่หมายถึงบิดอะฮฺทางด้านภาษาไม่ใช่ด้านศาสนา
เพราะบิดอะฮฺในด้านศาสนาคือสิ่งที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในบทบัญญัติ ส่วนประเด็นการรวบรวมอัลกุรอานเข้าเป็นรูปเล่ม ก็เป็นสิ่งที่เคยมีการริเริ่มมาก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านเคยสั่งใช้ให้บันทึกอัลกุรอาน แต่ทว่าการบันทึกอัลกุรอานในยุคของ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นการบันทึกที่ยังไม่เป็นรูปเล่ม กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งต่อมาบรรดาเศาะหาบะฮฺได้ทำการรวบรวมอัลกุรอานให้เป็นรูปเล่ม เพื่อเป็นการรักษาอัลกุรอานไว้ไม่ให้สูญหาย
ในประเด็นการละหมาดตะรอวียหฺก็เช่นกัน ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยปฏิบัติไว้ โดยที่ท่านได้นำบรรดาเศาะหาบะฮฺทำการละหมาดอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง หลายคืนร่วมด้วยกัน ซึ่งต่อมาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ละทิ้งการละหมาดเป็นญะมาอะฮฺกับบรรดาเศาะหาบะฮฺในช่วงที่เหลือของค่ำคืนเราะมะฎอน เพราะเกรงว่า พระองค์อัลลอฮฺจะบัญญัติการละหมาดตะรอวีหฺให้เป็นฟัรฎูแก่พวกเขา ซึ่งบรรดาเศาะหาบะฮฺก็ยังคงดำเนินการละหมาดต่อไป หลายกลุ่มหลายญะมาอะฮฺ ทั้งในสมัยที่ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ยังมีชีวิตอยู่และจากไปแล้ว เหตุการณ์ยังคงดำเนินในสภาพดังกล่าวต่อไป จนกระทั่งถึงสมัยของท่านอุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบเข้ารับตำแหน่งเป็นคอลีฟะฮฺ ท่านได้ทำการรวบรวมเหล่าบรรดาเศาะหาบะฮฺให้ทำการละหมาดตามอิหม่ามเพียงคนเดียว เพื่อให้มีเพียงญะมาอะฮฺเดียวเท่านั้น ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในสมัยของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ซึ่งสิ่งดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นชัดว่าสิ่งข้างต้นไม่ใช่ บิดอะฮฺ ในศาสนา
ส่วนประเด็นเรื่องการบันทึกวจนะของท่านบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ไม่ใช่บิดอะฮฺในศาสนาแต่อย่างใด เนื่องจากมีรายงานคำสั่งใช้จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แก่เศาะหาบะฮฺบางท่านให้ทำการจดบันทึกเมื่อมีผู้ร้องขอดังกล่าว ซึ่งการบันทึกหะดีษเคยเป็นสิ่งที่ถูกห้ามในสมัยของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เพราะเกรงว่าจะเกิดการปะปนกับอัลกุรอาน แต่เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เสียชีวิตลงข้อห้ามดังกล่าวก็ยุติลงด้วย เนื่องด้วยว่าอัลกุรอานได้ถูกประทานลงมาอย่างสมบูรณ์แล้วและยังได้ถูกจดจำ ณ ที่บรรดาเศาะหาบะฮฺอย่างถี่ถ้วนอีกด้วย ดังนั้น บรรดามุสลิมจึงริเริ่มบันทึกและรวบรวมหะดีษ เพื่อเป็นการป้องกันจากการสูญหายไป
ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงตอบแทนความดีงามอย่างล้นเหลือแก่บรรดามุสลิมทั้งหลาย ที่พวกเขาได้ทุ่มเทแรงกายและแรงใจอย่างมากมายในการรับใช้ศาสนา ในการท่องจำและรักษาคำภีร์ของพระองค์อัลลอฮฺ และสุนนะฮฺของเราะสูลของพระองค์จากการสูญหาย และการทำลายของผู้ไม่หวังดีทั้งหลาย
แปลโดย : อับดุลอาซีซ สุนธารักษ์ / Islamhouse