สิทธิมนุษยชนตามแบบฉบับท่านนะบีมุฮัมมัด
  จำนวนคนเข้าชม  4736

 

สิทธิมนุษยชนตามแบบฉบับท่านนะบีมุฮัมมัด

 

นิพล แสงศรี

 

           การพึ่งพากันและกัน อิสลามถือว่า ความหลากหลายทางด้านภูมิศาสตร์ ด้านประชากร และด้านเชื้อชาติหรือวงศ์ตระกูลของมนุษยชาติ คือหนทางนำไปสู่การเสริมสร้างการปฏิสัมพันธ์กัน การเอื้อเฟื้อกัน และความร่วมมือกัน ขณะเดียวกันจะปิดประตูต้นเหตุแห่งการบาดหมาง พยาบาท การเข่นฆ่า และสงครามนองเลือดระหว่างกัน คัมภีร์อัลกุรอานระบุความว่า
 

"และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเชื้อชาติและเผ่าตระกูล เพื่อจะได้รู้จักกันและกัน"
 

 (อัลหุญุรอต : 13)
 

         ดังนั้นการรู้จักซึ่งกันและกัน ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเข้าถึงความร่วมมือกันในด้านต่างๆ และถือเป็นบันไดขั้นแรกของกระบวนการสร้างอารยธรรมอันสูงส่งของมนุษยชาติ ทั้งในด้านพัฒนาการศึกษา ชีวิตความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การปกครอง และอื่นๆ



 

           สังคมและการคบค้าสมาคม เมื่ออิสลามยอมรับการอยู่ร่วม สังคมพหุวัฒนธรรม แบบหลายหลาก จึงไม่มีข้อห้ามแต่ประการใดที่จะปฎิบัติดีต่อผู้ที่มิได้ต่อต้าน กดขี่ ข่มเหง เผาทำลาย เข่นฆ่า และขับไล่ออกจากบ้านเกิดเมืองนอน คัมภีร์อัลกุรอานระบุความว่า
 

"อัลลอฮ์ มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้า ในเรื่องศาสนา

และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่ พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา

แท้จริง อัลลอฮ์ ทรงรักผู้มีความยุติธรรม"
 

(อัลมุมตะหะนะฮ์ : 8) 

 

เช่นเดียวกับช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขาตราบใดที่ไม่ขัดต่อหลักกฎหมายอิสลาม ดังปรากฎในคัมภีร์อัลกุรอานระบุความว่า

"และพวกท่านจงช่วยเหลือสนับสนุนกันในความดีและยำเกรง และพวกท่านอย่าช่วยเหลือสนับสนุนในกิจกรรมที่บาปและการเป็นศัตรูกัน"

(อัลมาอิดะฮ์ : 2)

        ส่วนคนที่ประกาศตนเป็นศัตรูต้องการทำลายล้างอิสลาม (กาเฟรหัรบีย์) หรือแสดงออกเชิงเป็นปรปักษ์ต่อศาสนา อิสลามห้ามคบค้าสมาคมด้วย คัมภีร์อัลกุรอานระบุความว่า

"แต่ว่าอัลลอฮ์ ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนาและขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า

และช่วยเหลือให้ขับไล่พวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะผูกมิตรกับพวกเขาและผู้ใดผูกมิตรกับพวกเขา ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้อธรรม"

(อัลมุมตะหะนะฮ์ : 9)


          การโต้แย้งด้วยวิธีที่ดีกว่า อิสลามยึดหลักการสนทนาและเจรจาสันติวิธีนำเสนอหาทางออกด้วยวิธีการที่ดีกว่าเสมอ วิธีการดังกล่าวคือ หนทางสู่การสร้างความเข้าใจและการยอมรับอันจะนำไปสู่การประสานความร่วมมือ และจรรโลงปัญหาสังคมโลกสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน คัมภีร์อัลกุรอานระบุความว่า

"และพวกเจ้าอย่าโต้เถียงกับชาวยิว และคริสเตียน เว้นแต่ด้วยวิธีการที่ดีกว่า"

(อัลอังกะบูต :46) 

และยังระบุอีกความว่า 

"จงเผยแผ่สู่แนวทางแห่งพระเจ้าของเจ้าด้วยวิธีการที่สุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยเหตุผลและหลักฐานที่ดีกว่า"

(อันนะหฺลุ :125)


           การละเมิดสิทธิ ในยุคญาฮิลียะฮ์ (งมงายและป่าเถื่อน) ซึ่งเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทุกหนแห่งมีความไม่เสมอภาคกัน สตรีคนชราถูกกระทำ เด็กถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน มนุษย์ถูกแบ่งเป็นชนชั้น คนชั้นล่างจะถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสิ่งของ สิทธิถูกสงวนไว้สำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น สงครามระหว่างกันคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์

           แต่หลังนบีมุฮัมมัด  ถูกแต่งตั้งเป็นศาสนทูตแห่งพระเจ้า ท่านกำหนดสิทธิให้กับประชาชน ทั้งเรื่องสิทธิส่วนบุคคลและสิทธิส่วนรวม และสิทธิที่พึงมีพึงได้รับและสิทธิที่พึงปฎิบัติ ชนิดมีกฎหมายอิสลามรับรองไว้อย่างแยกเยอะ เช่น สิทธิมนุษย์ขั้นพื้นฐานจะได้มาตั้งแต่กำเนิดไม่มีใครสามารถพรากเอาไปได้ หรือสิทธิมุสลิมพึ่งได้รับจากผู้ปกครองมุสลิม หรือสิทธิผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมพึงได้รับจากผู้ปกครองมุสลิม สิทธิดังกล่าวล้วนได้รับความคุ้มครอง ไม่ว่าจะเป็น ชีวิต เลือดเนื้อ ทรัพย์สิน ชื่อเสียง และเกียรติของตนเองและผู้อื่น

คัมภีร์อัลกุรอานระบุความว่า

         "เนื่องจากเหตุนั้น เราจึงได้บัญญัติแก่วงศ์วานของอิสรออีลว่าผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้สังหารมนุษย์ทั้งมวล

          และแท้จริงนั้นบรรดาศาสนทูตของเราได้นำหลักฐานต่างๆ อันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้ว, แล้วได้มีจํานวนมากมายในหมู่พวกเขาเป็นผู้ฟุ่มเฟือยในแผ่นดิน"

(อัลมาอิดะฮ์ : 32)

          ปีที่ 10 ฮ.ศ. ศาสนทูตมุฮัมมัด  พร้อมด้วยบรรดาเศาะหาบะฮฺหรือสหายประกอบพิธีหัจญ์ ณ ทุ่งอะเราะฟะฮฺ คลื่นมหาชนได้รวมตัว ณ สถานที่เดียวกัน วันเวลาเดียวกัน การแต่งกายที่เหมือนกัน เจตนารมณ์และวัตถุประสงค์เดียวกัน ภายใต้การนำโดยผู้นำสูงสุดคนเดียวกัน และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่สามารถรวมคนราว 100,000 คนที่มีความแตกต่างกันในด้านภาษา สีผิว วงศ์ตระกูล เชื้อชาติ และเผ่าพันธุ์

เนื้อหาหลักของเทศนาธรรมครั้งสุดท้ายของท่านนี้ เป็นการประกาศโลกาทัศน์ของศาสนาอิสลามที่พึงมีต่อมนุษยชาติ ซึ่งครอบคลุมถึง 

(1) หลักความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ทุกชีวิตมีเกียตริมีศักดิ์ศรีและเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า 

(2) หลักการปฎิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ความเสมอภาค ความเท่าเทียมกัน และให้เกียตริกัน 

(3) การปฎิบัติตนสำหรับมุสลิมกับมุสลิม ด้านจริยธรรมและศีลธรรม 

(4) การปกป้องผลประโยชน์และขจัดการเอารัดเอาเปรียบที่เกิดในสังคมทุกรูปแบบ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ 

(5) องค์ประกอบสังคมที่ดีมาจากฐานครอบครัว ทุกคนต้องรู้จักหน้าที่และรับผิดชอบในหน้าที่ของตน 

(6) ทุกชีวิตต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิมนุษย์ขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ศาสนา ชีวิต สติปัญญา เชื้อสาย และทรัพย์สิน 

(7) สตรีทุกคนมีสิทธิได้รับการปฎิบัติที่ดีงามจากผู้ชาย เช่นเดียวกับผู้ชายมีสิทธิได้รับการปฎิบัติที่ดีจากสตรี 

(8) ให้หาทางออกและแก้ป้ญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้น โดยอาศัยสิ่งที่ปรากฎจากพระคัมภีร์อัลกุรอานและแบบฉบับศาสดา


           สนับสนุนสันติภาพ อิสลามยอมรับเรื่องการให้ความช่วยเหลือในทุกกิจการอันนำไปสู่คุณประโยชน์ต่อสังคมและส่งเสริมคุณค่าของความเป็นมนุษยชาติ เพื่สร้างบรรยากาศที่สงบร่มเย็น เป็นสุข และมีความยุติธรรม นบีมุฮัมมัด  ได้เคยเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในสนธิสัญญา (ยุคก่อนอิสลาม) ที่บ้านของอับดุลลอฮฺ บุตร ญัดอาน ซึ่งมีเนื้อหาต่อต้านความอยุติธรรมในสังคม และหลังจากที่อิสลามได้แผ่ขยายไปทั่วคาบสมุทรอาหรับไปพร้อมๆกับสนธิสัญญาดังกล่าวท่านว่า 

“ หากฉันได้รับการเชิญชวนให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในสนธิสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ที่คล้ายคลึงกันกับสนธิสัญญาดังกล่าว ฉันยินดีเข้าร่วมอย่างแน่นอน ” 

(บันทึกโดยบัซซาร,หะดีษเฎาะอีฟ)

         คำกล่าวของท่านสะท้อนให้เห็นว่า อิสลามไม่ปฎิเสธ สนธิสัญญาหรือการเข้าร่วมกระบวนการสร้างสันติภาพที่มีนัยยะส่งเสริมหรือช่วยเหลือเกื้อกูลในสิ่งที่ดี ประสานความเข้าใจ มีความจริงใจและซื่อสัตย์ต่อกัน เช่นเดียวกับนบีมุฮัมมัด  เคยร่วมเป็นภาคีสัญญากับชาวกุเรชในสงครามหุดัยบียะฮฺ เพื่อยุติความขัดแย้งและความสูญเสีย ตลอดจนท่านเคยร่วมลงนามในสัญญากับเผ่าต่างของกลุ่มชาวยิว เพื่อสร้างความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในสังคมในนครมะดีนะฮ์

นอกจากนั้นอิสลามยังได้กำชับให้มุสลิมยึดมั่นในความยุติธรรมและความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อมนุษยชาติ คัมภีร์อัลกุรอานระบุความว่า 

"อัลลอฮ์ มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าให้พวกเจ้ากระทำความดีและให้ความยุติธรรมแก่ บรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา

และมิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักผู้ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม"

(อัลมุมตะหะนะฮฺ : 8)

         ความสงบร่มเย็น คือ เป้าหมายเท่าที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า คำสอน กฎระเบียบ ข้อห้ามข้อใช้ที่มาจากศาสนาอิสลามนั้น มุ่งไปที่การอยู่ดีกินดีสงบสุขและมั่นคงของสังคมโลก แนวทางดังกล่าวนับเป็นเส้นทางหลักในการเสริมสร้างสันติภาพในประชาคมโลก และถืออันเป็นโอกาสดีที่เอื้อต่อการสร้างความเข้าอกเข้าเข้าใจที่ดีต่อกัน สร้างความเข้มแข็งทางสังคม สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และอื่นๆ คัมภีร์อัลกุรอานระบุความว่า

"โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เจ้าจงเข้าในกระบวนการสันติภาพโดยทั่วทั้งหมดด้วยเถิด" 

(อัลบะเกาะเราะฮ์ : 208)

 คัมภีร์อัลกุรอานยังระบุความว่า 

"และหากพวกเขาโอนอ่อนมาเพื่อการประนีประนอมแล้ว เจ้าก็จงโอนอ่อนตามเพื่อการนั้นด้วย และจงมอบหมายกิจการทั้งปวงแด่อัลลอฮ์เถิด

แท้จริงนั้นพระองค์คือผู้ทรงได้ยินทรงรอบรู้ และถ้าหากพวกเขาต้องการที่จะหลอกลวงเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นที่พอเพียงแก่เจ้าแล้ว

พระองค์คือ ผู้ที่ได้ทรงสนับสนุนเจ้าด้วยการช่วยเหลือของพระองค์ และด้วยผู้ศรัทธาทั้งหลาย" 

(อัลอัมฟาล : 61)