อิสลามคือทางออก
  จำนวนคนเข้าชม  5025

 

อิสลามคือทางออก

 

เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม

 

มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก

 

         คำสอนอิสลามถูกส่งจากมายังท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่ามความวุ่นวายความแตกแยกของชนเผ่าอาหรับที่ไร้อารยะ ใช้ชีวิตแบบชนเผ่าที่มีความรู้ คนเข้มแข็งจะอธรรมผู้อ่อนแอ แต่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าอิสลามเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม และสามารถรวมตัวกันได้ภายใต้หลักความเชื่ออันเดียวกัน และแนวทางเดียวกัน และจากการที่ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถูกส่งมาท่านสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมแห่งความงมงายของชาวอาหรับ ที่ตกอยู่กับการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ ตกอยู่กับการต่อสู้ฆ่าฟันกันมาอย่างยาวนาน และอบายมุขมากมายที่แพร่หลายในสังคม ฉะนั้น การเอาใจใส่ในเรื่องหลักความเชื่ออันบริสุทธิ์นั้นเป็นสาเหตุเดียวที่จะนำพาความผาสุกให้เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์

 

อัลลอฮ์ ซุบหานาฮูวาตาอะลา ได้ตรัสไว้ความว่า 

 

"และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมด และจงอย่าแตกแยกกัน

และจำรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ ที่มีแต่พวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงให้สนิทสนมกันระหว่างหัวใจของพวกเจ้า

แล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วย ความเมตตาของพระองค์

และพวกเจ้าเคยปรากฏอยู่บนปากหลุมแห่งไฟนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากปากหลุมแห่งนรกนั้น

ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮ์ จะทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาโองการของพระองค์ เพื่อว่าเพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง"
 

(อาล อิมรอน - Ayaa 103)

 

         นี่คือความโปรดปรานที่อัลลอฮฺ  ได้ประทานให้แก่กลุ่มชนที่มีการขัดแย้งกัน ทะเลาะกันอยู่ตลอด มีการอธรรมซึ่งกันและกัน มีการเข่นฆ่ากันโดยไม่สามารถหาข้อยุติได้ และความเลวร้ายอีกมากมาย แต่อัลลอฮ์  ได้ประสานหัวใจของพวกเขาด้วยกับอิสลาม ด้วยกับหลักความเชื่ออิสลามทำให้พวกเขาได้กลายมาเป็นพี่น้องกันทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเป็นศัตรูกัน นี่คือสิ่งที่อิสลามได้พิสูจน์ให้เห็นถึงคำสอนอันสูงส่งที่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งของมนุษย์ได้ 

 

         การหันหลังให้กับแนวทางของบรรดานบี  และเหล่าศอหาบะห์ของท่านนั้น ตลอดจนแนวทางของบรรดาผู้ที่เจริญตามแนวทางของบรรดานบีและชนสลัฟรุ่นก่อนนั้น มันเป็นที่มาของปัญหาและความขัดแย้ง และเมื่อเรามีความขัดแย้งกันมันก็เป็นสาเหตุให้มุสลิมตกต่ำอ่อนแอ และทำให้บรรดาผู้ที่ไม่หวังดีต่ออิสลามมามีอิทธิพลเหนือบรรดามุสลิม จนหลายๆประเทศที่มีมุสลิมเป็นชนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถที่จะนำหลักการอิสลามมาปกครองได้ ก็เนื่องจากการขาดความรู้ในเรื่องอิสลาม และการขาดความเข้าใจในแนวทางของบรรดาชนสลัฟรุ่นก่อน 

 

         ดังนั้นการกลับไปศึกษาแนวทางการยึดมั่นหลักความเชื่อของชนสลัฟในรุ่นก่อนๆนั้น เป็นสิ่งที่เราละเลยไม่ได้ และการเข้าใจวิถีทางในการดำเนินชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับหลักความเชื่อ การประกอบศาสนกิจ การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่หลากหลาย และมารยาทความประพฤติของพวกเขา  การกลับไปยึดมั่นปฏิบัติตามบรรพชนสลัฟในอดีตที่ได้กระทำไว้ป็นบ่อเกิดของความดีทุกๆอย่างที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นด้านความแข็งแกร่งของบรรดามุสลิม หรือ ด้านความเจริญในรูปแบบต่าง ๆ ที่มุสลิมจำเป็นต้องพัฒนาไปตามยุคสมัย 

ท่านอิหม่าม มาลิกรอฮิมาอุลลอฮฺได้กล่าวไว้ว่า

        ดังนั้นหากเราทุกคนที่เป็นมุสลิมหันกลับไปนำวิถีชีวิตของชนรุ่นก่อนมาใช้จริงในการดำเนินชีวิตของเรา ไม่ใช่เป็นเพียงความเข้าใจที่แค่ทฤษฎีที่มีการพูด หรือมาการเขียนที่แพร่หลายในสังคมปัจจุบัน ในรูปแบบสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางทีวี หนังสือ อินเตอร์เน็ต และอีกมากมายจากสื่อสารที่ทันสมัยที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ เราจะพบข้อมูลมากมายที่นำเสนอเรื่องราวของศาสนานำเสนอซุนนะห์ แต่ในเชิงของรูปธรรมยังไม่เห็นเด่นชัด ดังนั้นการฟื้นฟูซุนนะห์ของท่านนบี  นั้นเป็นหน้าที่ของมุสลิมจะต้องตระหนักร่วมกัน และจะต้องมีความร่วมมือกันในการทำให้แนวทางอะลุซซุนนะห์ให้ปรากฏให้เด่นชัด 

          จุดเด่นของอะลุซซุนนะห์นั้นจะไม่มีการแตกแยกออกจากกันถึงแม้จะมีความขัดแย้งกันในบางประเด็น  ซึ่งเป็นประเด็นที่บรรดานักวิชาการในอดีตก็เคยขัดแย้งกันในประเด็นหนึ่งๆ นอกจากความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับหลักความเชื่อเท่านั้น ดังนั้นความขัดแย้งของชาวอะลุซซุนนะห์ จะยังคงมีความรักซึ่งกันและกัน มีความร่วมมือในสิ่งที่เป็นความดี และสิ่งที่นำไปสู่ความยำเกรงของอัลลอฮฺ และมีความเมตตาซึงกันและกัน หากจะตักเตือนกันก็จะใช้วิธีการที่อ่อนโยน รักที่จะสร้างความเป็นปึกแผ่นไม่ชอบความแตกแยก 

         แม้กระทั่งในกรณีที่เราเขาถูกกดขี่ข่มเหงจากผู้ปกครองที่อธรรม ชาวอะลุซซุนนะห์ยังให้อดทนต่อความอธรรมของผู้นำ ไม่อนุญาตให้จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้ผู้นำหรืออกจากการเชื่อฟังผู้นำ ตราบใดที่ผู้นำยังไม่มีสิ่งที่ระบุว่า เขาหมดสภาพจากการเป็นมุสลิม เพราะการจับอาวุธขึ้นมาต่อต้านผู้นำนั้นมีผลเสียมากกว่าผลดี นำมาซึงการสูญเสียทรัพย์สิน ความสงบสุขของบ้านเมือง เหมือนที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นความขัดแย้งต่างๆที่ชาวอะลุซซุนนะห์ขัดแย้งกัน จะต้องไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสิน เขาจะต้องนำความขัดแย้งกลับไปหาอัลลอฮฺ และรอซูล 

ดั่งคำดำรัสของอัลลอฮฺ  ที่ความว่า

"ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และเชื่อฟังร่อซูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย

แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก

นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง"

(สูเราะห์ อันนิซาฮฺ อายะห์ที่ 59 )

        นี่คือทางออกของความขัดแย้งทุกอย่าง เมื่อเราขัดแย้งต้องกลับไปหาความเข้าใจและข้อตัดสินของอัลกุรอาน และอัซซุนนะห์ โดยไม่ได้ยึดเขาอารมณ์เป็นที่ตั้ง และการที่จะกลับไปหาความเข้าใจต่ออัลกุรอานและอัลหะดีษก็ต้องอาศัยบรรดาผู้รู้ และแน่นอนคงไม่มีใครเข้าใจจุดประสงค์ของอัลกุรอาน และอัซซุนนะห์ ดีไปกว่าชนสลัฟในยุคศอหาบะห์และยุคหลังจากพวกเขาที่นบี รับรองว่าเป็นยุคที่ดีที่สุด ก็คือยุคสามร้อยปีแรกๆ

       และส่วนหนึ่งจากเครื่องหมายของการเป็นนบี ผู้สัตย์จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ก็คือสิ่งที่ท่านบอกไว้ว่า ในอนาคตข้างหน้าจะเกิดอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็เกิดขึ้นในสิ่งที่ท่านนบีได้เตือนเหล่าศอหาบะห์และประชาชาติอิสลามไว้ว่า 

"ใครที่มีชีวิตหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว จะเห็นความขัดแย้ง ความแตกแยกเกิดขึ้นอย่างมากมาย"

          ท่านได้สอนบรรดามุสลิมผู้ศรัทธาว่า ใครที่มีชีวิตอยู่ในยุคที่มีความแตกแยกกันมากนั้น ให้ยึดมั่นในแนวทางของการท่าน ที่ท่านได้สั่งเสียไว้ โดยการยึดตามกิตาบุลลอฮฺ และอัซซุนนะห์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม และบรรดาแนวทางของบรรดาคูลาฟาฮอัรรอชีดีน รอฎิยัลลอฮูอันอุม

         มีรายงานจากท่าน อัลอิรบาฎ บิน ซารียะห์ รอฎิยัลลอฮุอันฮู ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ให้คำตักเตือนแก่พวกเรา เป็นคำตักเตือนที่ลึกซึ้ง เราได้กล่าวว่า 

"โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ เสมือนว่า มันเป็นคำตักเตือนอำลา ดังนั้นท่านโปรดสั่งเสียแก่พวกเราเถิด "

"ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ให้มีการเชื่อฟัง ปฏิบัติตาม หากว่าบ่าวชาวหาบาชีย์ได้เป็นผู้นำแก่พวกเจ้า

และแท้จริงใครมีชีวิตอยู่จากพวกเจ้า แล้วเขาจะได้เห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างมากมาย 

ดังนั้นจำเป็นสำหรับพวกท่านจะต้องยึดมั่นต่อซุนนะห์ของฉัน (ท่านนะบีมุฮัมมัด )

และซุนนะห์ของบรรดาคูลาฟาฮฺอัรรอชีดีน(คอลีฟะห์ที่ได้รับการชี้นำอยู่ในทางนำที่ถูกต้อง) พวกท่านจงกัดมัน ด้วยกับฟันกราม

และพวกท่านพึงระวัง จากการอุตรต่างๆของกิจการงาน (อุตริขึ้นมาในศาสนา) เพราะว่าทุกการอุตริ คือความหลงผิด"

         จากหะดีษนี้ท่านนบี  ได้บอกถึงสภาพของบรรดาประชาชาติของท่าน หลังจากการจากไปของท่าน  ประชาชาตินี้จะมีความขัดแย้งระหว่างพวกเขาอย่างมากมาย ซึ่งหากมาพิจารณาในยุคสมัยของเรานั้น จะพบว่าบรรดามุสลิมมีความขัดแย้งกันเป็นอย่างมาก มีกลุ่มต่างๆเกิดขึ้นมากมาย และกลุ่มที่เกิดขึ้นต่างก็พาดพิงแนวทางของตัวเองว่า เป็นแนวทางที่เจริญรอยตามซุนนะห์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในกลุ่มมุสลิมนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่มาทำลายความแข็งแกร่งของประชาชาติอิสลาม และทำให้มุสลิมหมดความน่าเกรงขามจากบรรดาผู้ที่เกลียดชัง และไม่หวังดีต่ออิสลาม 

         ขบวนการทำลายล้างอิสลามเขาทำงานอยู่ตลอดและมีรูปแบบวิธีการหลากหลายในการทำให้บรรดามุสลิมขาดความสามัคคี โดยที่พวกเขาฉกฉวยโอกาสในยุคที่มุสลิมมีความแตกแยก มาจู่โจมมุสลิมในทุกรูปแบบ ไม่ว่าด้วยกับการใช้สื่อประชาสัมพันธ์สร้างภาพที่น่ากลัวให้กับอิสลาม และพยายามสนับสนุนกลุ่มที่มีความคิดสุดโต่งนิยมความรุนแรง ที่แสดงออกถึงความรุนแรง เช่น การจับตัวประกัน เรียกค่าไถ การนำผู้บริสุทธิ์มาตัดคอ และอ้างว่ามันเป็นคำสอนของอิสลาม

 

ดังนั้น การกลับมาสู่คำสอนอิสลามอันบริสุทธิ์จึงเป็นแนวทางเดียวในการแก้ไขทุก ๆ ปัญหาของมวลมนุษยชาติ ทุกสีผิว ทุกภาษา และทุกชนชาติพันธุ์