มารยาทเกี่ยวกับมัสยิด
โดย : ประสาน (ซารีฟ) ศรีเจริญ
มัสยิดคือบ้านของอัลลอฮฺ ผู้ที่รักอัลลอฮ์ ก็รักบ้านของพระองค์และผู้นั้นก็คือผู้ที่เข้าไปเยี่ยมบ้านของพระองค์เป็นประจำ อัลลอฮฺ ตรัสในอัลกุรอาน บทอัลญิน โองการที่ 18 ความว่า
“และบรรดามัสยิดนั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ดังนั้น พวกเจ้าต้องไม่เชิญชวนให้ผู้ศรัทธาผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น”
ผู้ที่เป็นแขกนั้น เมื่อได้รับเชิญและเข้าไปยังงานสำคัญ ๆ ที่เป็นงานระดับชาติหรืองานที่มีแต่แขกผู้มีเกียรติทั้งสิ้น แน่นอนเมื่อเข้าสู่ในงานดังกล่าวในฐานะแขก ก็ย่อมต้องได้รับการต้นรับเป็นอย่างดีสมเกียรติของงาน แล้วเมื่อมัสยิดเป็นบ้านของอัลลอฮ์ ผู้ที่เข้าไปยังมัสยิด คือ แขกของพระองค์ จะไม่ให้อัลลอฮ์ ต้อนรับอย่างดีเป็นพิเศษได้อย่างไร ?
มีหะดีษจากอะบีสะอีด ท่านนบี กล่าวถึงดำรัสของอัลลอฮ์ พระองค์ตรัสว่า
“บ้านของข้าในภาคพื้นดินนี้คือบรรดามัสยิด ผู้ที่ถูกนับว่าเป็นแขกผู้เยี่ยมเยียนมัสยิด คือ บรรดาผู้สร้าง พัฒนามัสยิด
ดังนั้น สวรรค์สำรองไว้แล้วสำหรับผู้ที่ได้ชำระความสะอาดแต่บ้านแล้วไปยังบ้านของข้า
จึงเป็นหน้าที่ของผู้ถูกเยี่ยมต้องให้เกียรติและต้อนรับเขาแน่นอน”
(บันทึกโดยอบูนะอีม)
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เกียรติอันยิ่งใหญ่นี้ พระองค์อัลลอฮ์ จะทรงให้เขาได้อรรถรสในการเข้าเฝ้าพระองค์และประทานใบรับรองความมีศรัทธาให้
มีหะดีษของอะบีสะอีด ความจากท่านนบี กล่าวว่า
“เมื่อพวกท่านเห็นบุคคลที่เข้ามัสยิดเป็นประจำ ก็จงประกาศยืนยันได้เลยว่า ผู้นั้นเป็นผู้มีศรัทธาอย่างแท้จริง
อัลลอฮฺตรัสว่า : "อันที่จริงผู้ที่ศรัทธาในอัลลอฮฺและวันปรภพเท่านั้น ที่ได้สร้างและพัฒนามัสยิด...”
(บันทึกหะดีษโดยติรมิซี)
เกียรติยศและตำแหน่งของผู้เข้ามัสยิดประจำนั้น ได้รับเกียรติให้อยู่ภายใต้ร่มเงาอะรัซ (บัลลังก์) ของอัลลอฮฺอย่างมีความสุขและความสงบ
มีหะดีษจากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ท่านนบี กล่าวความว่า
“มีคนอยู่ 7 กลุ่มคนที่จะได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของอัลลอฮฺในวันที่ไม่มีร่มเงาใดนอกจากร่มเงาของพระองค์เท่านั้น-
ท่านได้นับหนึ่งในเจ็ดว่า-คนที่หัวใจของเขาผูกพันอยู่กับมัสยิด”
(บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม)
การปฏิบัติศาสนกิจและการละหมาดมิใช่เพียงกระทำได้ในอาคารมัสยิดต่าง ๆ เท่านั้น หากแต่ว่า ณ ที่ใดที่ได้มีการละหมาดเรียกว่ามัสยิดทั้งสิ้น
อบูซัรริน ได้เรียนถามท่านศาสดา ว่า : โอ้ศาสดาแห่งอัลลอฮฺ มัสยิดใดเป็นมัสยิดแรกที่มีขึ้นในแผ่นดินนี้ ?
ท่านตอบว่า : มัสยิดอัลหะรอม (ที่มักกะฮฺ)
ฉันถามต่อว่า : แล้วต่อไปเป็นมัสยิดใด ?
ท่านตอบว่า : มัสยิดอัลอักซอ (ที่เยรูซาเล็ม)
ฉันจะถามอีกว่า : ระยะเวลาห่างกันเท่าใดระหว่างสองมัสยิดนั้น ?
ท่านตอบว่า : 40 ปี
แล้วท่านกล่าวต่อเลยว่า : ไม่ว่าท่านจะอยู่ ณ ที่ใด ที่ได้เวลาละหมาด เจ้าก็จงละหมาดเถิด เพราะที่นั้นเป็นมัสยิดด้วยแล้ว”
(บันทึกโดยนักฮะดีษหลายท่าน)
บรรดามัสยิดหรือบ้านของอัลลอฮ์ นั้น ไม่ใช่มีแต่เพียงกิจกรรม เพื่อละทางโลกเช่น การละหมาดเท่านั้น แต่ในมัสยิดยังมีการซิกรุลลอฮฺ การอ่านอัลกุรอาน อันทำให้ใจสะอาดและจิตผ่องใส เป็นบ่อเกิด แห่งการเพิ่มศรัทธา บางครั้งก็พบในมัสยิดมีการอบรมศาสนา อบรมวิชาชีพและบางครั้งก็พบในมัสยิดนั้น มีการเรียน การสอนหลักการของศาสนาเป็นการติดอาวุธทางปัญญาให้แก่ผู้สอนและผู้เรียน ทั้งหมดนั้นเป็นการร่วมใจกันหลายฝ่าย ต่างฝ่ายย่อมได้ประโยชน์ทั้งสิ้น ถือเป็นการตอบสนองคำสั่งของอัลลอฮฺ ที่ว่า
“พวกเจ้าจงให้การช่วยเหลือกิจกรรมที่ดี ที่มีคุณธรรม และจงอย่าช่วยเหลือสนับสนุนกิจการชั่วและก่อให้เกิดศัตรู”
กิจกรรมดีต่าง ๆ ที่ได้จัดให้มีขึ้นในมัสยิดนั้น ล้วนส่งผลดีแก่ผู้ปฏิบัติทั้งสิ้น ท่านนบี กล่าวความว่า
“ไม่ว่าหมู่คณะใดที่อยู่ในมัสยิดพวกเขาอ่านพระคัมภีร์ของอัลลอฮฺศึกษาหาความรู้อัลกุรอาน
ความสงบจะบังเกิดแก่พวกเขา ความเมตตาจะมีมายังพวกเขา และบรรดามลาอิกะฮฺต่างห้อมล้อมขอพรให้พวกเขาด้วย
อีกทั้งอัลลอฮฺยังทรงนำความดีนี้ไปบอกแก่ข้าทาส ณ พระองค์ด้วย”
(บันทึกโดยมุสลิม)
มารยาทอิสลามบางส่วนเกี่ยวกับมัสยิด มีดังนี้
1. รักมัสยิดและให้เกียรติมัสยิด เพราะมัสยิดเป็นบ้านของอัลลอฮ์ ถูกสร้างเพื่อการรำลึกถึงพระองค์ เพื่ออ่านคัมภีร์ของพระองค์และเพื่อเป็นสถานศึกษาศาสนาของพระองค์
2. ดำเนินการสนับสนุนการสร้างมัสยิด ทั้งทุนทรัพย์และแรงงาน อีกทั้งเชิญชวนให้ผู้อื่นร่วมสร้างร่วมสนับสนุนด้วยการบริจาคตามกำลังความสามารถ เพราะการสร้างและสนับสนุนมัสยิดนั้นเป็นการสร้างกุศลอันถาวร
3. พยายามเดินทางไปมัสยิด แม้จะอยู่ห่างไกลก็ตาม และควรไปมัสยิดด้วยการเดินเท้า แม้จะลำบากเนื่องจากอากาศร้อนหรือหนาว หรือทางมืดและไม่สะดวกก็ตาม เพราะในแต่ละก้าวที่เดินไปยังมัสยิดนั้น เป็นกุศลทั้งสิ้น
4. เตรียมการให้พร้อมเพื่อการไปมัสยิดด้วยการอาบน้ำละหมาดอย่างสมบูรณ์ แปรงฟันให้สะอาด สวมเสื้อผ้าที่สะอาด ตัดเล็บ หวีผมและใส่ของหอม
5. ต้องยุติงานทางโลกทันที เมื่อได้ยินเสียงอาซานที่มัสยิด และรีบตอบรับด้วยเดินทางไปยังมัสยิดทันที
6. ก้าวเท้าขวาเข้ามัสยิด พลางกล่าวว่า “บิสมิลลาฮฺ อัลลอฮุมมะศอลลิอะลามุฮัมมัด อัลลอฮุมมะอัฟตะฮฺลี อับวาบะเราะฮฺมะติ๊ก”
7. ก้าวเท้าซ้ายออกจากมัสยิด พลางกล่าวว่า “อัลลอฮุมมะศอลลิอะลามุฮัมมัด อัลลอฮุมมะอัฟตะลี อับวาบะฟัฎลิก ”
8. ละหมาดสุนัตเคารพมัสยิด (ตะฮียะตุลมัสยิด) สองรอกะอัต ก่อนจะนั่งในมัสยิด หากมิใช่เวลาที่อิหม่ามได้เริ่มละหมาดรวมกัน (ญะมาอะฮฺ) หากมิอาจละหมาดเคารพมัสยิดได้เนื่องจากไม่มีน้ำละหมาดหรืออื่นใดก็ตาม ให้กล่าวว่า “ซุบฮานั้ลลอฮฺ วั้ลฮัมดุลิลลาฮฺ วะลาอิลาฮะอิลลั้ลลอฮฺ วัลลอฮุอักบัร วะลาเฮาละวะลากูวะตะอิลลาบิลลาฮิ้ลอะลียิ้ลอะซีม”
9. ถอดรองเท้าก่อนเข้ามัสยิด และนำไปไว้ยังสถานที่ ๆ ได้สำรองไว้ หากจะนำรองเท้าเข้าไปด้วย ก็ต้องเช็ดสิ่งสกปรกที่พื้นรองเท้าเสียก่อน แล้วเอาด้านพื้นรองเท้าประกบกันแล้ววางลงที่ข้าง ๆ หรือด้านหน้าที่ตนนั่งหรือละหมาด
10. ดูแลถุงเท้าให้สะอาด หากจะใส่ถุงเท้าเข้าไปและเดินบนพรมหรือพื้นมัสยิด
11. ก่อนเข้ามัสยิด ต้องทำความสะอาดปากให้หมดกลิ่น หากกินหัวหอมหรือกระเทียม และอาหารที่มีกลิ่นฉุน
12. ห้ามทิ้งหรือทำสิ่งสกปรกในมัสยิด โดยเฉพาะนะยิส (สิ่งสกปรกตามหลักการศาสนา) เช่น เดินด้วยรองเท้าที่เปื้อนนะยิส เป็นต้น
13. ห้ามถ่มน้ำลาย หรือสั่งน้ำมูก หรือเสมหะ ในมัสยิด หรือเช็ดและป้ายสิ่งน่าเกลียดเหล่านี้ที่พรมหรือที่ประตูมัสยิด รวมทั้งในที่ที่อาบน้ำละหมาด ซึ่งอยู่ในมัสยิด และหากพบก็ต้องรีบทำความสะอาดหรือนำออกไปจากมัสยิดทันที
14. พึงหลีกเลี่ยงการวิ่งเล่นหรือทำเสียงดังในมัสยิด แม้เป็นการอ่านอัลกุรอานก็ตาม เพราะจะเป็นการรบกวนผู้ที่กำลังละหมาดหรือกำลังอบรมศาสนากันอยู่
15. พึงละเว้น การสนทนาหรือโต้เถียงเรื่องทางโลก การซื้อขาย การประกาศหาของหาย หรืออื่นใดที่จะทำลายบรรยากาศแห่งการปฏิบัติศาสนกิจในมัสยิด
16. ขณะอยู่ในมัสยิดและรอคอยละหมาด ควรหลีกเลี่ยง การเอามือประสานกุมศีรษะ การดีดนิ้ว หรือชี้นั่นชี้นี่โดยไม่มีเหตุผล
17. เมื่อมีการอาซานละหมาด ต้องไม่ออกจากมัสยิด จนกว่าจะละหมาดประจำเวลาก่อน นอกจากเพราะความจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
18. ห้ามรับประทานอาหาร หรือนอนในมัสยิด และต้องละเว้นโดยสิ้นเชิงที่จะทำบาปในมัสยิด เช่น การนินทาให้ร้าย ยุแหย่ พูดเท็จและถูกคนอื่น เป็นต้น
19. ไม่ควรเข้าหรือผ่านในมัสยิดโดยไม่มีการละหมาดหรือซิกรุลลอฮฺ
20. ต้องรักษาความสะอาดตัวอาคารมัสยิด เครื่องใช้ของมัสยิดหรือหนังสือของมัสยิด
21. ไม่ควรนำเด็กอ่อนเข้ามัสยิด แต่เมื่อเด็กรู้เดียงสาโดยเฉพาะเมื่ออายุได้ 7 ขวบ ควรนำเข้ายังมัสยิดด้วย เพื่อเป็นการฝึกหัดการทำอิบาดะฮฺ (ศาสนกิจ) ในมัสยิดและรักมัสยิด
22. สำหรับสุภาพสตรีโดยเฉพาะยังสาว ๆ ที่จะเดินทางไปยังมัสยิด ไม่ควรใส่ของหอมหรือแต่งตัวจนเกินงาม และควรจัดสถานที่เข้าออกหรือที่ละหมาดเฉพาะให้กับสุภาพสตรี เพื่อจะได้ไม่ปะปนและเบียดเสียดกับผู้ชาย