การรักกันในหนทางของอัลลอฮฺ
อุมมุ อาอิช
การรักกันในหนทางของอัลลอฮฺและการปฏิสัมพันธ์ฉันพี่น้องในกรอบศาสนาอิสลามถือเป็นอิบาดะฮฺที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีเงื่อนไขหลายประการที่คนรักเพื่อนจะต้องปฏิบัติกับเพื่อนเพื่ออัลลอฮฺ ซึ่งการปฏิบัติในสิ่งนี้ถือเป็นการเข้าหาอัลลอฮฺ ให้ใกล้มากยิ่งขึ้นและได้รับขั้นอันสูงส่ง ณ ที่พระองค์
อัลลอฮฺ ตรัสว่า
"และพระองค์ทรงสานหัวใจของพวกเขาให้รักใคร่กัน ซึ่งหากเจ้าทุ่มเทสิ่งที่มีในโลกนี้ทั้งหมด เจ้าก็ไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงหัวใจของพวกเขาให้รักกันได้ แต่อัลลอฮฺทรงสานใจพวกเขา"
(อัล-อันฟาล:63)
ท่านอิบนุมัสอูด กล่าวว่า อายะฮฺนี้ถูกประทานเกี่ยวเนื่องกับผู้ที่รักกันเพื่ออัลลอฮฺ (รายงานโดยอัน-นะสาอีย์และอัล-หากิม ท่านกล่าวว่าเป็นรายงานที่เศาะฮีหฺ)
กวีบางคนได้กล่าวว่า
وأحبب لحبّ الله من كان مؤمنــــا *** و أبغض لبغض الله أهل التّمرّد
وما الدين إلا الحبّ و البغض و الولا *** كذاك البرا من كل غاو و معتدى
จงรักคนที่ศรัทธาเพื่ออัลลอฮฺ จงชังผู้ที่ฝ่าฝืนเพื่อพระองค์
ดีน(ศาสนา)มิใช่อื่นใดเว้นแต่คือรักและชัง หรือผูกสัมพันธ์(กับผู้ศรัทธา) และไม่เกี่ยวข้องกับผู้ละเมิดฝ่าฝืน
อิบนุ เราะญับกล่าวว่า การรักในหนทางของอัลลอฮฺ จะสมบูรณ์ได้ด้วยการรักสิ่งที่อัลลอฮฺ ทรงชอบและเกลียดสิ่งที่พระองค์ทรงชัง ฉะนั้น ผู้ใดที่รักบางสิ่งที่อัลลอฮฺ ไม่โปรด หรือเกลียดบางสิ่งที่อัลลอฮฺ ทรงโปรด ถือว่าเตาฮีด(คำมั่นในการศรัทธาต่อเอกภาพของอัลลอฮฺ )และคำปฏิญาณตนว่า “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ” ของเขายังไม่สมบูรณ์และจริงใจ เขายังคงมีชิริกเคาะฟีย์ (การตั้งภาคีแบบซ่อนเร้น) เพราะเกลียดสิ่งที่อัลลอฮฺ ชอบและชอบสิ่งที่พระองค์ไม่โปรดปราน
อิบนุล ก็อยยิมกล่าวว่า “ผู้ใดรักสิ่งหนึ่งนอกเหนือจากอัลลอฮฺ โดยมิได้รักเพื่อพระองค์ และมิใช่เพราะสิ่งนั้นเป็นสื่อให้เขาได้กตัญญูต่ออัลลอฮฺ เขาจะต้องถูกลงโทษในดุนยาก่อนจะพบกับอัลลอฮฺ ในวันอาคิเราะฮฺ”
أنت القتيل بكل من أحببته *** فاختر لنفسك في الهوى من تصطفي
ทุกคนย่อมตกเป็นเหยื่อของคนรัก จะขอทักหรือรักใครดูให้ดี
ผลและความดีของการรักกันเพื่ออัลลอฮฺ
ผู้ที่รักกันเพื่ออัลลอฮฺจะได้ผลดีหลายประการจากพระองค์ทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ เช่น
1. อัลลอฮฺจะรักเขา
มุอาซ เล่าว่า ฉันได้ยิน ท่านนบีมุหัมมัด -ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม- กล่าวว่า
“อัลลอฮฺ ทรงกล่าวว่า ความรักของข้าจักตกกับผู้ที่รักกันเพื่อข้า ผู้ที่นั่งร่วมกันเพื่อข้า ผู้เยี่ยมเยียนกันเพื่อข้า และผู้เสียสละกันเพื่อข้า”
(บันทึกโดยอิหม่ามมาลิกและคนอื่นๆ)
เช่นเดียวกับคำพูดของมลาอิกะฮฺที่จะกล่าวกับผู้ที่ไปเยี่ยมเพื่อนเพื่ออัลลอฮฺ ว่า
"ฉันนี้คือทูตจากอัลลอฮฺมายังท่าน เพื่อจะบอกว่าอัลลอฮฺได้ทรงรักท่านเหมือนกับที่ท่านได้รักเขาเพื่อพระองค์"
2. ฝ่ายใดรักเพื่ออัลลอฮฺ มากกว่า ฝ่ายนั้นจะเป็นที่รักของเพื่อนมากกว่า
อบีดัรดาอฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ อ้างคำพูดของท่านนบี ว่า
"ทุกคู่สหายสองคนที่รักกันเพื่ออัลลอฮฺนั้น คนซึ่งเป็นที่รักของอัลลอฮฺมากกว่า ก็คือคนที่รักเพื่อนของเขามากกว่าเสมอ"
(บันทึกโดย อัฏ-เฏาะบะรอนีย์)
3. ได้รับเกียรติจากอัลลอฮฺ
อบี อุมามะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมุหัมมัด -ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม- ได้กล่าวว่า
"บ่าวทุกคนที่รักเพื่อนบ่าวด้วยกันเพื่ออัลลอฮฺนั้น พระองค์จะทรงให้เกียรติเขาเสมอ"
(บันทึกโดยอะห์มัดด้วยสายรายงานที่ดี)
ทั้งนี้ การให้เกียรติของอัลลอฮฺต่อผู้หนึ่งจะครอบคลุมการให้เขาได้มีอีมาน มีความรู้ที่เป็นคุณ ปฏิบัติอะมัลที่ดี ตลอดจนให้มีความสะดวกในรูปแบบต่างๆ
4. ได้อยู่ในร่มเงาบัลลังก์ของพระองค์
อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า อัลลอฮฺ จะทรงกล่าวในวันกิยามะฮฺว่า
"ไหนล่ะผู้ที่รักกันเพื่อเทิดเกียรติข้า ? วันนี้ฉันจะให้พวกเขาได้หลบร้อนใต้ร่มเงาของข้า
อันเป็นวันที่ไม่มีร่มเงาใด ๆ นอกจากร่มเงาของข้าเท่านั้น”
(บันทึกโดยมุสลิม)
ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ ได้กล่าวอธิบายในหนังสือ มัจญ์มูอฺ ฟะตาวา ว่า
“สำหรับคำว่า ไหนล่ะผู้ที่รักกันด้วยเกียรติของอัลลอฮฺ นั้น เป็นการฉายให้เห็นว่าในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเทิดทูนและยกย่องพระองค์ พร้อมกับการรักกันเพื่อพระองค์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตในกรอบที่พระองค์ทรงกำหนด ไม่ใช่ผู้ที่ไม่ให้ความสำคัญต่อกรอบของพระองค์เพราะมีอีมานอ่อนในหัวใจ"
อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ได้เล่าเช่นเดียวกันว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า
"มนุษย์เจ็ดกลุ่มที่อัลลอฮฺ จะทรงปกพวกเขาในวันที่ไม่มีร่มเงาใด ๆ นอกจากร่มเงาของพระองค์ คือ ผู้นำที่ยุติธรรม เยาวชนที่เติบใหญ่ด้วยการทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ ผู้ที่หัวใจเฝ้านึกถึงมัสยิด คนสองคนที่รักกันเพื่ออัลลอฮฺ ทั้งสองเจอกันและพรากกันเพื่อพระองค์ ... จนจบหะดีษ”
(บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)
5. ได้ลิ้มรสชาติแห่งการศรัทธา
ท่านนบีมุหัมมัด -ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม- ได้กล่าวว่า
“ผู้ใดใคร่อยากลิ้มรสชาติแห่งการศรัทธา ก็จงรักผู้หนึ่งเพียงเพื่ออัลลอฮฺ ดู”
(บันทึกโดยอัล-หากิม และท่านได้กล่าวว่าเป็นสายรายงานถูกต้อง แต่อัล-บุคอรีย์และมุสลิมไม่บันทึกไว้ ซึ่งอัซ-ซะฮะบีย์ก็ยอมรับตามนั้น)
6. ได้ชิมความหวานแห่งการศรัทธา
อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมุหัมมัด-ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม-ได้กล่าวว่า
“ผู้ใดอยากชิมความหวานแห่งอีมาน ก็จงรักเพื่อนเพียงเพื่ออัลลอฮฺ เท่านั้น”
(บันทึกโดยอะห์มัดและอัล-หากิม อัซ-ซะฮะบีย์กล่าวว่าเศาะฮีหฺ)
อนัส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมุหัมมัด -ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม- ได้กล่าวว่า
“สามคุณสมบัติที่ใครมีจักต้องได้ลิ้มรสหวานแห่งอีมาน คือ
♥ รักอัลลอฮฺ และเราะสูล มากกว่าสิ่งใดๆทั้งหมด
♥ ไม่รักผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ
♥ และเกลียดกลัวการคืนสู่การกุฟรฺ(การปฏิเสธศรัทธา)หลังจากที่อัลลอฮฺ ทรงกู้ให้เขารอดพ้น เสมือนกับการเกลียดกลัวการที่ต้องถูกจับโยนเข้ากองไฟ”
(บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)
ท่านอิบนุ ตัยมียะฮฺ ได้กล่าวในหนังสือมัจญ์มูอฺ อัล-ฟะตาวา ว่า
“ท่านนบีมุหัมมัด -ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม- ได้บอกว่าผู้ใดอยู่ในความรู้สึกทั้งสามนี้จะได้รู้รสหวานแห่งอีมาน เพราะการได้รู้รสหวานของสิ่งใดขึ้นอยู่กับการรักใคร่ในสิ่งนั้น เช่น ผู้ใดรักชอบสิ่งใด หรือ อยากได้อะไร เมื่อเขาได้ตามความประสงค์นั้น เขาก็จะรู้รสหวานและความสุขสนุกกับสิ่งนั้น ซึ่งความสุขนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับสิ่งที่ชอบที่อยาก
ดังนั้น ความหวานแห่งศรัทธาก็ย่อมขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของความรักของบ่าวที่มีต่ออัลลอฮฺ อันประกอบด้วยสามปัจจัย คือ เติมเต็มความรัก ขยายผล และละเว้นสิ่งที่อยู่ต่างฝั่งกับมัน
♦ โดยการเติมเต็มนั้น จะกระทำได้ด้วยการต้องให้อัลลอฮฺและเราะสูลเป็นสิ่งสุดเทิดทูนและหวงแหน ไม่รักใครเท่าทั้งสอง เพราะการรักในอัลลอฮฺและเราะสูลจะรักโดยสมบูรณ์ในระดับธรรมดาปกติไม่ได้ หากจะให้สมบูรณ์ก็คือ ต้องไม่รักผู้ใดและสิ่งอื่นเท่ากับความรักที่ให้กับทั้งสองอีกต่อไป
♦ ส่วนขยายผลนั้น จะทำได้ด้วยการไม่รักผู้ใดยกเว้นจะรักเพื่อพระองค์ และ
♦ ส่วนการละเว้นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับมันนั้น จะเกิดได้ก็ด้วยการชิงชังไม่ยอมรับการกุฟรฺซึ่งขัดแย้งกับอีหม่าน อย่างหนักและใหญ่หลวงกว่าการที่เขาชิงชังและไม่ยอมรับการถูกจับโยนเข้ากองเพลิง”
7. ทำให้อีหม่านสมบูรณ์
อบีอุมามะห์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมุหัมมัด-ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม-ได้กล่าวว่า
“ผู้ใดรักใครเพื่ออัลลอฮฺ เกลียดเพื่ออัลลอฮฺ ให้เพื่ออัลลอฮฺ หักห้ามเพื่ออัลลอฮฺ ก็ถือว่ามีอีหม่านที่สมบูรณ์แล้ว”
(บันทึกโดยอบู ดาวูดด้วยสายรายงานที่หะสัน)
8. ได้เข้าสวรรค์
อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เล่าว่า ท่านนบีมุหัมมัด -ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม- ได้กล่าวว่า
“พวกท่านจะไม่ได้เข้าสวรรค์จนกว่าจะศรัทธา และจะไม่ศรัทธาอย่างสมบูรณ์จนกว่าจะรักกัน
เอาไหมล่ะฉันจะบอกสิ่งหนึ่งที่เมื่อพวกท่านทำแล้วพวกท่านก็จะรักกัน คือ จงเผยแพร่การให้สลามในหมู่พวกท่าน”
(บันทึกโดยมุสลิม)
9. ได้อยู่ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ ในวันกิยามะฮฺ
อบู มาลิก อัล-อัชอะรีย์ เล่าว่า ฉันอยู่พร้อมกับท่านนบี -ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม-แล้วอายะฮฺนี้ก็ถูกประทานให้แก่ท่าน
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย สูเจ้าจงอย่าซักไซ้สิ่งบางอย่างที่หากมันถูกเปิดโปงแก่สูเจ้าแล้วจะทำให้สูเจ้าต้องลำบาก”
(อัล-มาอิดะฮฺ :101)
แล้วเราก็ถามท่านกรณีคำพูดของท่านที่ว่า
“สำหรับอัลลอฮฺ นั้นจะมีบ่าวที่ไม่ใช่นบีและไม่ใช่เหล่าชะฮีด แต่บรรดานบีและเหล่าชะฮีดต่างพากันอิจฉาที่พวกเขาได้ใกล้ชิดและการได้มีที่นั่งใกล้กับอัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺ”
ซึ่งในนั้นมีคนอาหรับเบดูอินอยู่คนหนึ่ง เขารีบกุลีกุจอเร่งฝีเท้าสะบัดมือเข้ามาพร้อมกับกล่าวว่า โอ้ ท่านเราะสูลุลลอฮฺ กรุณาบอกพวกเราซิว่าพวกเขาคือใครกัน ซึ่งฉันได้เห็นท่านเราะสูลุลลอฮฺมีใบหน้าสดชื่น แล้วท่านก็ตอบว่า
“พวกเขาคือคณะบ่าวของอัลลอฮฺคณะหนึ่ง ที่มาจากภูมิลำเนาและเชื้อสายที่ต่างกัน จากชนชาติต่าง ๆ ที่ไม่มีความผูกพันทางเครือญาติเชื่อมโยงกัน และไม่มีพันธะทางดุนยาร่วมกัน พวกเขารักกันด้วยวิญญาณแห่งอัลลอฮฺ
อัลลอฮฺ จะทรงทำให้ใบหน้าพวกเขามีสง่าราศี และสร้างแท่นสูงจากไข่มุกให้กับพวกเขา ณ เบื้องหน้าพระองค์ ผู้คนทั้งหลายจะวิตกกังวลในวันกิยามะฮฺแต่พวกเขาจะไม่วิตกกังวลใด ๆ คนอื่นจะหวาดกลัวแต่พวกเขาไม่หวั่นไหวเลย”
(บันทึกโดยอะห์มัด, อัล-หากิม และอัซ-ซะฮะบีย์กล่าวว่าเศาะฮีหฺ)
10. ใบหน้าพวกเขาจะมีสง่าราศีในวันกิยามัต
ด้วยหลักฐานหะดีษดังกล่าวข้างต้นที่ระบุว่า "อัลลอฮฺ จะทรงทำให้ใบหน้าของพวกเขามีแสงเจิดจ้า"
11. จะได้รับหอไข่มุก
ด้วยหลักฐานเดียวกันที่ระบุว่า "พระองค์จะสร้างแท่นจากไข่มุกให้พวกเขา"
12. จะได้รับแท่นไข่มุกที่สร้างจากแสง
ในหะดีษที่เล่าโดยอิบนุ อุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ที่ ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า
“อัลลอฮฺจะทรงแท่นสูงจากแสงแก่พวกเขาในวันกิยามะฮฺ”
13. ได้รับคำชื่นชมจากบรรดานบีและชุฮะดาอฺ
ด้วยหะดีษสองหะดีษที่ผ่านมานั้นคือหะดีษ อัล-อัชอะรีย์ และหะดีษอิบนุ อุมัร ที่ระบุว่า
«يَغْبِطُهُمُ الشُّهَدَاءُ والنَّبِيُّونَ يَوْمَ القِيَامَةِ لِقُرْبِهِمْ مِنَ اللهِ تعالى وَمَجْلِسِهِمْ مِنْهُ»
14. ได้รับชื่อเรียกว่าเป็นวะลีย์ของอัลลอฮฺ
จากหะดีษอิบนุ อุมัรที่ระบุว่า "พวกเขาคือคนสนิทของอัลลอฮฺ"
15. ไม่มีความหวาดวิตกและเศร้าเสียใจในวันกิยามัต
ด้วยสองหะดีษข้างต้นที่ระบุว่า
"พวกเขาจะไม่มีหวาดกลัวและความวิตกกังวลใดๆ "
และคำกล่าวที่ว่า
"คนอื่นจะวิตก แต่พวกเขาจะไม่วิตก แม้ว่าคนอื่นจะหวาดกลัว แต่พวกเขาก็ไม่หวาดกลัว "
16. คนคนหนึ่งสามารถคว้าระดับคนดีเพราะความรักของเขาในความดีของคนเหล่านั้น แม้ว่าการกระทำของเขาไม่ถึงขั้นเดียวกับพวกเขาก็ตาม
อิบนุมัสอูด เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า มีชายคนหนึ่งมาหา ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม- แล้วกล่าวว่า
"โอ้ ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ท่านเห็นอย่างไรกับคนคนหนึ่งที่รักชอบพวกหนึ่งแต่เขาไม่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา ?
ท่านตอบว่า “คนคนหนึ่งย่อมจะได้อยู่ร่วมกับคนที่เขารัก”
(หะดีษรายงานโดยอัล-บุคอรีย์มุสลิม)
และในหะดีษอัล-บุคอรีย์มุสลิมยังมีระบุด้วยเช่นกันว่าท่านอนัส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ได้เล่าว่า
มีชายคนหนึ่งมาถาม ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า เมื่อไรจะถึงวันกิยามัต?
ท่านถามกลับว่า “แล้วท่านเตรียมอะไรเพื่อรับมันล่ะ?”
เขาตอบว่า "ฉันไม่ได้เตรียมละหมาดที่มากมาย ศีลอดก็ไม่มาก เศาะดะเกาะฮฺก็ไม่มาก แต่ฉันรักอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์"
ท่านตอบว่า “ท่านจะได้อยู่กับคนที่ท่านรัก”
อนัสเล่าว่า ได้ยินเช่นนั้นแล้ว พวกเรารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่ชื่นชอบไปกว่าคำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า ท่านจะได้อยู่ร่วมกับคนที่ท่านรัก ซึ่งฉันรักท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม รักอบูบักรฺ และรักอุมัร และฉันหวังว่าจะได้อยู่ร่วมกับพวกเขา เพราะความรักของฉันที่มีต่อพวกเขาแม้ว่าฉันจะมีอะมัลที่ไม่ถึงระดับพวกเขาก็ตามที
อีกทั้งมีรายงานจากอะลีย์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ที่อ้างว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺได้กล่าวว่า
“ใครรักใคร ผู้นั้นย่อมจะถูกต้อนชุมนุมรวมกับพวกเขา(ในวันกิยามะฮฺ)”
(บันทึกโดยอัฏ-เฏาะบะรอนีย์)
ผู้แปล: ซุกรีย์นูร จงรักศักดิ์, ซุฟอัม อุษมาน / Islamhouse