การหันหลังให้ศาสนา
  จำนวนคนเข้าชม  8499

 

การหันหลังให้ศาสนา

 

ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์
 

          มวลการสรรเสริญเป็นสิทธ์ิของอัลลอฮฺ ขอความสุข ความจำเริญและความสันติจงประสบแด่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ไม่มีภาคีใด ๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่ามุหัมมัด เป็นบ่าวและศาสนทตูของพระองค์
 

อัลลอฮฺ ตะอาลาตรัสความว่า
 

“และผู้ใดจะอธรรมย่ิงไปกว่าผู้ที่ถูกตักเตือนให้รำลึก ด้วยโองการทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าของเขา แล้วเขาก็หันหลังห่างออกไป

แล้วลืมสิ่งท่ีมือทั้งสองของเขาประกอบไว้”
 

(อัลกะฮฺฟ:57) 

         อัชชันกีฏีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวอธิบายอายะฮฺนี้ว่า หมายถึง ไม่มีผู้ใดจะอธรรมต่อตนเองย่ิงไปกว่าผู้ที่ถูกตักเตือนชี้แนะด้วยโองการทั้งหลายของพระผ้เูป็นเจ้าของเขาซึ่ง ก็คืออัลกุรอาน แล้วเขาหันหลังห่างออกไปโดยไม่สนใจ ทั้งยังต่อต้านและลืมสิ่งที่มือทั้งสองของเขาประกอบไว้ ซึ่งก็คือบาป ความผิดต่าง ๆ และการปฏิเสธศรัทธา ทั้งนี้ การหันหลังไม่สนใจที่จะรับเอาทางนำแห่งอัลกุรอานนั้น ถือเป็นการอธรรมที่ร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่ง และจะนำมาซ่ึงผลเสียมากมาย ตามด้วยจดุจบที่น่าสะพรึงกลัวส่วนหนึ่งจากผลเสียเหล่านั้นก็เช่น

 

 การมีจิตใจท่ีมืดบอด จนไม่อาจรับสิ่งที่เป็นสัจธรรมได้ ซ้ำยังถูกปิดกั้นจากแนวทางที่ถูกต้องดังท่ีอัลลอฮฺ ตรัสความว่า
 

“แท้จริง เราได้ทำฝาปิดบนหัวใจของพวกเขาในการท่ีพวกเขาจะเข้าใจมัน และในหูของพวกเขานั้นหนวก

และถ้าเจ้าเรียกร้องพวกเขาไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง พวกเขาจะก็ไม่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องนั้นเลย”
 

(อัลกะฮฺฟ:57)

 

 ผู้ที่หันหลังให้กับการตักเตือนนั้น จะถูกลงโทษจากอัลลอฮฺตะอาลา พระองค์ตรัสความว่า

"และผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ถูกเตือนให้รำลึกถึงอายาต ทั้งหลายของพระเจ้าของเขา

แล้วเขาก็หันหลังให้กับอายาตเหล่านั้น แท้จริงเราเป็นผู้ลงโทษบรรดาผู้กระทำผิด”

 (อัสสัจญฺดะฮฺ: 22)

 ผู้ที่หันหลังให้กับศาสนาเปรียบได้ดั่งลาตัวหน่ึง อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสความว่า

“ดังนั้น เกิดอะไรขึ้นแก่พวกเขา ทำไมพวกเขาหันหลังออกห่าง จากการเตือนสติ ประหนึ่งว่าพวกเขาเป็นลาเปรียวที่ตื่นตระหนกหนีจากเสือสิงห์”

(อัลมุดดัษษิรฺ :49-51)

 

 พวกเขาอาจประสบกับหายนะ ดังหายนะที่เกิดขึ้นกับพวกอ๊าดและพวกษะมูด อัลลอฮฺตรัสความว่า

“แต่ถ้าพวกเขาหันหลังให้ก็จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด)ว่า ฉันขอเตือนพวกท่าน ให้ระลึกถึงความหายนะเยี่ยงความหายนะของ พวกอ๊าดและพวกษะมูด ” 

(ฟุศศิลัต : 13)

 

 พวกเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้นฝืดเคืองและมืดบอด อัลลอฮฺตะอาลาตรัสความว่า

“และผู้ใดหันหลังจากการรำลึกถึงข้า แท้จริงสำหรับเขาคือ การมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้น และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺ ในสภาพของคนตาบอด” 

(ฏอฮา: 124)

 

 พวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างแสนสาหัส อัลลอฮฺ ตะ อาลา ตรัสความว่า

"เพ่ือเราจะทดสอบพวกเขาในเร่ืองนี้และผู้ใดหันห่างจากการรำลึกถึงพระเจ้าของเขา พระองค์จะให้เขาได้รับการลงโทษอันแสนสาหัส”

(อัลญิน:17)

​ พวกเขาจะมีสหายเป็นเหล่าชัยฏอนมารร้าย อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสความว่า

"และผู้ใดหันหลังจากการรำลึกถึงพระผู้ทรงกรุณาปรานี เราจะให้ชัยฏอนตัวหนึ่งแก่เขา แล้วมันก็จะเป็นสหายของเขา” 

(อัซซุครุฟ: 36 )

ที่กล่าวมาข้างต้นนี้คือส่วนหน่ึงเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว ยังมีบทลงโทษอีกมากมายที่จะถูกเตรียมไว้สำหรับผู่ที่หันหลังและปฏิเสธศาสนา

(อัฎวาอุลบะยานเล่ม 4 หน้า181-183)


ซึ่งการหันหลังที่อัลลอฮฺได้ทรงตำหนินั้น ก็คือการหันหลังของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและพวกกลับกลอก จากการรับฟังอัลกุรอานและสุนนะฮฺ

          นักวิชาการได้กล่าวไว้ว่า หนึ่งในสิบข้อที่จะทำให้บ่าวคนหนึ่งหลุดออกจากแนวทางแห่งอิสลาม คือการหันหลัง ให้ศาสนาของอัลลอฮฺ โดยไม่คิดจะศึกษา และไม่ใส่ใจท่ีจะปฏิบัติตาม อัลลอฮฺ ตะอาลาตรัสความว่า

"และผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ถูกเตือนให้รำลึกถึงอายาต ทั้งหลายของพระเจ้าของเขา แล้วเขาก็หันหลังให้กับอายาตเหล่านั้น

แท้จริงเราเป็นผู้จองเวรบรรดาผู้กระทำผิด” 

(อัสสัจญฺดะฮฺ: 22)

ซึ่งความหมายของการหันหลังในที่นี้คือ การปฏิเสธที่จะศึกษาเรียนรู้พื้นฐานของศาสนา อันเป็นหน้าที่ซ่ึงมุสลิมทุกคนพึงปฏิบัติ

          อิบนุลก็อยยิม เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “การปฏิเสธศาสนามีห้าประเภท หนึ่งในนั้น คือการหันหลังให้ศาสนาด้วยการปฏิเสธที่จะรับฟังหรือทำความเข้าใจคำสอนของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แม้ว่าจะไม่กล่าวร้ายใด ๆ ต่อท่านก็ตามไม่ปฏิบัติตามแต่ก็อาจจะไม่ได้คิดต่อต้านหรืออาจจะไม่ได้ ใส่ใจโดยสิ้นเชิง”

(มะดาริจญ์อัสสาลีกินเล่ม 1 หน้า 366-367)

          ส่วนจำพวกอื่น ๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้นั้น อาจไม่ถึงขั้นปฏิเสธศรัทธา แต่ผู้ท่ีกระทำการดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็ นผู้กระทำความผิด และมีลักษณะใกล้เคียงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิกในการหันหลังให้กับการฟังเรื่องศาสนา

          ประเภทแรก คือ ผู้ที่หันหลังไม่ใส่ใจที่จะรับฟังคำตักเตือน การบรรยายศาสนธรรม คุฏบะฮฺ หรือช่องทางความรู้อื่นๆโดยที่คิดว่าการที่เขาไม่รับฟังไม่รับรู้นั้น จะเป็นข้อผ่อนปรนให้เขาไม่มีความผิด ความคิดเช่นนี้ถือเป็นความโง่เขลาซ้ำซ้อน เพราะการหันหลังไม่ยอมรับฟังนั้น เลวร้ายยิ่งกว่าการรับฟังแต่บกพร่องในด้านปฏิบัติเสียอีก

          ดังปรากฏในหะดีษซ่ึงรายงานโดย อบูวากิด อัลหาริษ บิน เอาฟฺ เล่าว่า ในขณะที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัล ลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กำลังนั่งอยู่ในมัสยิดพร้อมๆกับคนอื่นนั้นได้มีชายสาม คนเดินเข้ามา แล้วสองคนก็เดินเข้ามายังท่านเราะสลู ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ส่วนอีกคนหนึ่งได้เดินออกไป สองคนนั้น หยุดตรงหน้าท่านเราะสลู และได้กล่าวสลามแก่ท่านโดยคนหนึ่งเห็นว่ามีที่ว่างอยู่ในวงล้อมจึงนั่งลง ส่วนอีกคนหนึ่งนั่งลงทางด้านหลัง ในขณะที่อีกคนได้หันหลังจากไป ครั้น เมื่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เสร็จสิ้น จากภารกิจ ท่านก็ได้กลา่วว่า

“ฉันจะบอกพวกท่านเก่ียวกับ ชายสามคนนี้เอาไหม ? 
คนหนึ่ง ได้เข้าหาอัลลอฮฺ อัลลอฮฺก็จะทรงโอบอ้อมคุ้ม ครองเขา 
อีกคนหน่ึง มีความเขินอาย พระองค์ก็จะทรงอายต่อเขาเช่นกัน 
ส่วนอีกคนหน่ึงนั้น เขาได้หันหลัง จากไป พระองค์ก็จะทรงเพิกเฉยต่อเขา” 

 

(อัลบุคอรีย์หะดีษเลขท่ี 64 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 2176)


          ประเภทท่ีสอง คือ ผู้ที่ปฏิเสธการรับฟัง เพราะเข้าใจว่าส่ิงที่เขารู้นั้นมีมากจนเพียงพอแล้ว คนท่ีมีลักษณะเช่นนี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก เพราะในความเป็นจริงแล้วเขาไม่มีความรู้ใด ๆ เลย เป็นเพียงความหยิ่งผยองทระนง พวกเขาไม่รู้หรือว่า บรรดาอุละมาอ์สลัฟท่ีมีความรู้มากมายนั้น แม้แต่ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนเสียชีวิต พวกท่านยังหวังท่ีจะได้รับฟังหะดีษสักบทหน่ึง เพื่อจะได้ศึกษาทำความเข้าใจและปฏิบัติตามก่อนจะกลับไปพบอัลลอฮฺ ตะอาลา


          ประเภทท่ีสาม คือ ผู้ที่หันหลัง ไม่ยอมรับฟังเพราะขาดความเข้าใจในความสำคัญ ของการเรียนรู้ศาสนาทั้งนี้ความรู้ศาสนานั้น เปรียบได้ดั่งอาหารของจิตใจ ท่านอิมามอะหมัด บินฮัมบัล เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า 

“ความต้องการของมนุษย์ในการเรียนรู้ศาสนานั้น สำคัญกว่าความต้องการของพวกเขาในการกินและดื่มเสียอีก”

          อุกบะฮฺ บินอามิรฺเราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ออกมายังพวกเรา ขณะท่ีพวกเราอยู่ที่อัศศุฟฟะฮฺ (ท่ีพักพิงของผู้ยากไร้ด้านหลัง มัสยิดนบี)แล้วกล่าวว่า

       “มีผู้ใดในหมู่พวกท่านชอบท่ีจะออกไปยัง บุฏฮาน หรืออัลอะกีก(ทุ่งแถบชานเมืองมะดีนะฮฺ) ทุก ๆ วัน แล้วกลับมาพร้อมกับบรรดาอูฐ ที่มีโหนกสูง (ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินมีค่า ของชาวอาหรับ)โดยท่ีไม่ได้ทำผิด หรือตัดขาดกับเครือญาติไหม ?” 

พวกเรากล่าวว่า “โอ้ท่านเราะสูลุลอฮฺ พวกเราทุกคนต้องการเช่นนั้น ” 

       ท่านกล่าวว่า “แท้จริงการท่ีพวกท่านออกไปยังมัสยิด แล้วศึกษาเรียนรู้หรืออ่านอัลกุรอานสักสองอายะฮฺนั้น ดีย่ิงกว่าการได้อูฐ สองตัวมาครอบครองเสียอีก และสามอายะฮฺก็ดีกว่าอูฐ สามตัว ส่ีอายะฮฺก็ดีกว่าอูฐสี่ตัว และอ่ืนจากจำนวนนี้ ก็ย่อมดีกว่าอูฐ จำนวนนั้นๆ”

(บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 803)

อบูดัรดาอ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า

     “ผู้ใดท่ีแสวงหาหนทางเพื่อให้ได้รับความรู้ อัลลอฮฺก็จะนำเขา ไปสู่หนทางของสวนสวรรค์ และมลาอิกะฮฺจะกางปีกออก เพื่อแสดงความความยินดีต่อผู้แสวงหาวิชาความรู้ 

     และสำหรับผู้รู้นั้น จะมีผู้ขออภัยโทษให้แก่เขาทั้งส่ิงที่อยู่ในชั้นฟ้า และท่ีอยู่ในแผ่นดิน แม้กระทั่งบรรดาฝูงปลาในท้องทะเล 

     แท้จริง ความประเสริฐของผู้ที่มีความรู้เหนือผู้ที่เคารพภักดีเพียงอย่างเดียว นั้นเปรียบเสมือนดวงจันทร์ที่มีความโดดเด่นเหนือบรรดาหมู่ดวงดาวทั้งหลาย 

     และบรรดาผู้ที่มีความรู้นั้น เป็นทายาทของบรรดานบีโดยพวกเขามิได้รับมรดกเป็นดีนารฺหรือดิรฮัม (ทรัพย์ สมบัติ) แต่ทว่าพวกเขาได้รับมรดกเป็นวิชาความรู้ 

     ดังนั้น ผู้ใดท่ีได้ครอบครองมันไว้ถือว่าเขาได้ครอบครองส่วนท่ีดีเลิศมากมายแล้ว”

(อิหม่ามอะหฺมัด หะดีษเลขที่ 21714)



 

แปลโดย : อุศนา พ่วงศิริ / Islamhouse