เทศกาลรื่นเริงคือสิ่งที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของแต่ละศาสนา
มุหัมมัด ศอลิหฺ อัลมุนัจญิด
กล่าวคือเทศกาลงานเฉลิมฉลองต่างๆ นั้น ถือเป็นอัตลักษณเ์ฉพาะของแต่ละศาสนา ฉะนั้นการท่ีมุสลิมเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมเฉลิมฉลองของผู้ปฏิเสธศรัทธาก็อาจเข้าข่ายท้ังการฝ่าฝืน กระทำผิด และการปฏิเสธศรัทธา เพราะมันนำมาซึ่งความเสียหายมากมายหลายประการ
ในหนังสือ “อิกติฎออ์ อัศศิรอฏิล มุสตะกีม” ของชัยคุล อิสลาม อิบนุตัยมิยะฮฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ มีเนื้อหาบทหนึ่งที่ท่านได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยท่านได้บรรยายถึงสภาพของชาวมุสลิมในเมืองต่างๆ ท่ีอยู่ใกล้ชิดกับกลุ่มชนผู้ปฏิเสธศรัทธา ท้ังนี้ ต้องเข้าใจว่ารัฐอิสลามในยุคน้ันมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมาก บางส่วนอยู่ใจกลางคาบสมุทรอาหรับ ในขณะที่บางส่วนอยู่ตามแนวตะเข็บ เช่น เมืองอันดะลุส (บริเวณแอฟริกาตอนเหนือและที่ตั้งของประเทศสเปนในปัจจุบัน - ผู้แปล) ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาวคริสต์มาตั้งแต่สมัยท่ีอิสลามปกครองพื้นที่แถบนั้น
ท่านชัยคุลอิสลาม ได้กล่าวถึงสภาพของชาวมุสลิม เหล่านั้นด้วยความเศร้าใจว่า “สภาพของมุสลิมในเมืองเหล่านั้นดูเปลี่ยนไปมากจนน่าตกใจ บรรดามุสลิมที่มีความรู้ศาสนาน้อย และมีศรัทธาที่ไม่มั่นคงต่างพากันเข้าร่วมเทศกาลเฉลิมฉลองของชนผู้ปฏิเสธศรัทธา กระท่ังว่าพวกเขามีความรู้สึกยินดีท่ีได้เข้าร่วมเทศกาลเหล่าน้ัน ยิ่งกว่าเทศกาลของมุสลิมเองเสียอีก โดยพวกเขาได้มอบของขวัญให้กันและกัน สังสรรค์รื่นเริง และ ให้บุตรหลานแต่งกายสวยงามในงานเทศกาลเฉลิมฉลองของผู้ปฏิเสธศรัทธา”
สภาพอันน่าเศร้า
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เคยบอกเราว่า พวกเรานั้นจะเป็นผู้ที่ลอกเลียนแบบชาวยิวและคริสต์อย่างแน่นอนโดยท่านกล่าวว่า
"พวกท่านจะปฏิบัติตามแนวทางของกลุ่มชนที่มาก่อนหน้าพวกท่าน(ยิวและคริสต์) ชนิดคืบต่อคืบ ศอกต่อศอก
แม้กระทั่งหาก พวกเขาลงไปในรูฏ็อบพวกท่านก็จะตามพวกเขาลงไป”
(บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 3456 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 2669)
และท่านกล่าวว่า
“แม้กระทั่งหากมีคนใดในหมู่พวกเขา มีสัมพันธ์ทางเพศกับมารดาของเขาอย่างโจ่งแจ้ง
ก็จะมีบางคนในหมู่ประชาชาติของฉัน กระทำเช่นน้ันด้วย”
(บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ หะดีษเลขที่ 2641)
ซึ่งคำพูดของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั้นเป็นวะฮีย์ และสิ่งท่ีท่านพูดก็ได้เกิดข้ึนแล้ว ดังท่ีพวกท่านก็เห็นกันอยู่ในปัจจุบันว่า ประเทศมุสลิมของเราเองน้ันส่งเสริม และเข้าร่วมเทศกาลรื่นเริงของผู้ปฏิเสธศรัทธากันอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียใจและเจ็บปวดอย่างที่สุด
ตัวอย่างพฤติกรรมการเลียนแบบพวกเขาก็เช่น การที่มุสลิมกล่าวอวยพรแก่ชาวคริสต์ หรือเข้าร่วมกิจกรรมเนื่องในวันปีใหม่ของพวกเขา การกระทำเช่นน้ีถือว่าเป็นการยอมรับอย่างกลายๆ ในหลักศาสนาและความเช่ือของพวกเขา แม้จะมิได้ประกาศออกมาโดยตรงก็ตาม ทั้งน้ีบรรดาผู้ต้ังภาคีย่อมหวังท่ีจะให้ผู้ศรัทธาเข้าร่วมงานรื่นเริงของพวกเขา เพื่อท่ีพวกเขาจะได้รู้สึกว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างศาสนา ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกสำนึกในความผิดของพวกเขา
เจตนารมณข์องการไม่เลียนแบบผู้ปฏิเสธศรัทธา
หนึ่งในเจตนารมณ์ของการไม่ทำตัวเลียนแบบผู้ปฏิเสธศรัทธาคือ การทำให้พวกเขารู้สึกถึงความแตกต่าง และรู้สึกว่ามันเป็นความผิด และเหตุที่ชาวมุสลิมไม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับพวกเขา ก็เพราะว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นมันไม่ถูกต้อง และเป็นการตั้งภาคี แต่หากเราไปเข้าร่วม ไปอวยพรยินดีกับพวกเขา ก็เหมือนกับเราบอกเขาว่า “พวกท่านไม่มีความผิดใดในศาสนาของพวกท่าน ตรงกันข้ามพวกเราเองก็มีความยินดีกับพวกท่านเช่นกัน” การกระทำเช่นนี้จึงเป็นการทำลายอัตลักษณ์ของอิสลามอย่างชัดเจน เป็นการยอมรับส่ิงมดเท็จท่ีพวกเขาปฏิบัติกันอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺไม่ทรงพอพระทัยอย่างแน่นอน
ในสังคมปัจจุบัน เยาวชนของเราจำนวนมากได้รับการปลูกฝังให้มีการรอคอยเทศกาลต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่ หรือคริสต์มาส เด็กๆ รอคอยเทศกาลเหล่าน้ีเพราะพวกเขารู้ว่าในวันน้ันจะมีของขวัญและขนมมากมายซึ่งพิเศษกว่าวันอื่นๆ พวกเขาจึงรู้สึกผูกพันกับเทศกาลเหล่านี้ตั้งแต่เด็ก
พวกท่านรู้หรือไม่ว่าการเลียนแบบชาวยิวและคริสต์ รวมท้ังการเข้าร่วมในเทศกาลของพวกเขาน้ัน อาจนำไปสู่การมีส่วนร่วมกับพวกเขาในเรื่องอ่ืนๆ อันมีผลให้เกิดความผูกพันทางจิตใจ ดังจะเห็นว่าคนที่ประกอบอาชีพเดียวกัน เช่น ช่างไม้หรือคนขับรถรับจ้าง ก็มักจะมีความรู้สึกเป็นมิตรต่อกัน เพราะพวกเขามีอาชีพเดียวกันซึ่งนี่อาจเป็นเหตผุลทางโลกไม่เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อแต่อย่างใด หรือแม้แต่ผู้ที่ขับขี่รถยนต์บนท้องถนน แล้วเหลือบไปเห็นรถยนต์คันหน้าเหมือนรถยนต์ของเขา เขาก็อาจจะรู้สึกเป็นมิตรกับเจ้าของรถคันดังกล่าวโดยไม่รู้ตัว นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ที่อัลลอฮฺ ทรงสร้างมา
ดังนั้น หากเราเข้าร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลของพวกเขา ก็จะทำให้เรารู้สึกมีความผูกพันรักกับพวกเขาโดยไม่รู้ตัว เป็นไปได้หรือที่เราจะรู้สึกรังเกียจชาวยิวและชาวคริสต์ รู้สึกว่าการกระทำของพวกเขาเป็นการต้ังภาคี และประกาศให้พวกเขารู้ว่าอัลลอฮ์ ไม่ทรงพอพระทัยการกระทำของพวกเขา ในเมื่อเราก็ยังเข้าร่วมเทศกาลรื่นเริงของพวกเขา ไม่มีทางแน่นอน สองความรู้สึกน้ีไม่มีทางจะมารวมกันได้อย่างแน่นอน
พี่น้องผู้ศรัทธาที่รัก ในช่วงเทศกาลของพวกเขามุสลิมหลายคนก็มักจะหยุดงานประจำ หยุดการประกอบอาชีพ เพื่อท่ีจะได้ไปร่วมงานเทศกาลของพวกเขา ซึ่งส่ิงน้ีถือเป็นบาปใหญ่
ชัยคุลอิสลามได้ กล่าวว่า “ในช่วงเทศกาลของพวกเขา หน้าที่ของเราก็คือ จะต้องปฏิบัติให้เหมือนกับว่าเป็นวันทั่วๆ ไป ห้ามมิให้เราใส่ใจหรือให้ความสำคัญ เพื่อมิให้ศาสนาของเรานั้นมีความด่างพร้อย และห้ามเลียนแบบ หรือตอบรับคำเชิญไปร่วมงานใดๆของพวกเขา”
ท่านยังกล่าวอีกว่า “และห้ามรับของขวัญจากพวกเขา”
โดยหากพวกเขานำมาให้ ก็ให้กล่าวว่า "ต้องขอโทษด้วยฉันไม่สามารถรับของจากท่านได้ เพราะศาสนาของท่านก็คือศาสนาของท่าน และศาสนาของฉันก็คือศาสนาของฉัน"
และไม่เป็นท่ีอนุญาตให้เราขายของบางอย่างให้แก่พวกเขาเพื่อเป็นการช่วยเหลือในเทศกาลของพวกเขา เช่น ไก่งวง โดยห้ามขายเฉพาะในเทศกาลเท่าน้ัน แต่หากซื้อขายกันในช่วงปกติก็ไม่เป็นไร ซึ่งหากท่านทราบว่าคนท่ีมาซื้อนั้นตั้งใจท่ีจะนำไปใช้ในงานก็ไม่เป็นที่อนุญาตให้ขาย เพราะไก่งวงถือเป็นส่ิงศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาใช้กันในเทศกาล และต้องไม่อนุญาตให้พวกเขาเช่าสถานท่ี หรือโรงแรม เพื่อจัดงาน เพราะถือเป็นการช่วยเหลือพวกเขาในการจัดเทศกาลเหล่านั้น
สิ่งที่ไม่ถูกต้องในเทศกาลรื่นเริงของผู้ปฏิเสธศรัทธา
สิ่งท่ีพวกเขาถือปฏิบัติกันในค่ำคืนของวันท่ียี่สิบห้า ธันวาคมของทุกปีในช่วงเวลาประมาณสี่ทุ่มก็คือ ชาวยุโรปและ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะมีการดื่มเฉลิมฉลองกันจนเมามาย เลี้ยงอาหารกันอย่างสนกุสนานโดยพวกเขาจะจัดเตรียมอาหาร เฉพาะสำหรับงานนี้
นอกจากนี้พวกเขายังสวมใส่เสื้อผ้าท่ีสวยงาม บ้างก็แต่งกายเป็นซานตาคลอส แจกจ่ายขนมนมเนยให้แก่เด็กๆ โดยพวกเขาเชื่อว่าบ้านใดไม่มีต้นคริสต์มาสอยู่หน้าบ้านในคืนดังกล่าว จะถือเป็นบ้านท่ีมีแต่ความโชคร้ายสิ้นหวัง แม้แต่บ้านเรือนของคนยากคนจนก็ยังต้องมี ทั้งน้ี พวกเขาจะประดับประดาต้นไม้ เหล่านั้นด้วยแสงสีท่ีสวยงามสว่างไสว และแจกลูกกวาดรูปไม้เท้า หรือรูปตุ๊กตาซานตาคลอสให้แก่เด็กๆ ซึ่งแน่นอนว่าคงมีเยาวชน มุสลิมของเราบางคนได้ซื้อ และรับประทานขนมเหล่านี้
เมื่อได้เวลาก่อนเที่ยงคืนประมาณหนึ่งนาทีก็จะทำการ ดับไฟเพื่อต้อนรับช่วงเวลาสำคัญ พวกเขาส่งท้ายปีเก่าด้วยพฤติกรรมท่ีน่ารังเกียจ พวกวัยรุ่นหนุ่มสาวก็มักจะโยนตัวลงไปในบ่อน้ำพุที่มีชื่อเสียงซึ่งต้ังอยู่ท่ีเมืองลอนดอน มีการดื่มสุราของมึนเมา ซึ่งการท่ีมุสลิมเข้าร่วมเทศกาลเหล่านี้นั้นแน่นอนว่า ย่อมเป็นบาปความผิดท่ีเขาจะต้องได้รับโทษ ณ อัลลอฮฺ หากพวกเขาไม่รีบเร่งกลับตัวกลับใจ และการส่งการ์ดอวยพรเนื่องในเทศกาลเหล่าน้ี หรือกล่าวแสดงความยินดี เช่น “แฮปปี้นิวเยียร์” “เมอรี่คริสต์มาส” หรือคำอื่นๆ ในทำนองนี้ซึ่งเก่ียวข้องกับเทศกาลดังกล่าว รวมถึงการแลกเปลี่ยนของขวัญกับพวกเขา ก็ล้วนเป็นส่ิงที่ไม่อนุญาตให้กระทำทั้งสิ้น
มุสลิมบางส่วนยังเจาะจงไปเยี่ยมเยียนผู้ปฏิเสธศรัทธาที่บ้านของพวกเขาในช่วงเวลาดังกล่าว ท้ังท่ีรู้ว่าพวกเขามักจัดงานเลี้ยงท่ีเต็มไปด้วยสิ่งต้องห้าม บางคนลงทุนเดินทางไปต่างประเทศเพื่อมีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลองเทศกาลเหล่าน้ี บางคนก็เตรียมหาซื้อของขวัญให้แก่ลูกหลานของพวกเขา กระท่ังว่าบางคนถึงกับซื้อถุงเท้าสีแดงให้เด็กๆ ใช้เก็บขนมนมเนย ของขวัญ หรือของเล่นต่างๆ โดยวางเอาไว้ใต้หมอนของ เด็กๆดังเช่นที่ชาวคริสต์มักถือปฏิบัติกัน ในเทศกาลเหล่านี้ยังมีการจุดเทียน มีการประดับ ประดาต้นคริสต์มาส ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นต้นไม้ท่ีมีความศักดิ์สิทธิ์ความจำเริญ โดยอ้างว่าท่านนบีอีซาถือกำเนิดข้ึนใต้ต้นไม้ดังกล่าว ในช่วงเทศกาลนี้พวกเขาจึงต้องประดับประดาต้นไม้และนำมาวางไว้ที่หน้าประตูบ้าน ท่ีกล่าวมานี้เพื่อให้พวกท่านได้เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศาสนา มิได้เป็นเพียงงานรื่นเริงตามประเพณีทั่วไป
มุสลิมที่ขาดการไตร่ตรองและความเข้าใจในศาสนา อาจสงสัยว่าทำไมเราต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตไปได้ ? ก็ในเมื่อพวกเขายังกล่าวอวยพรแสดงความยินดีเนื่องในวันอีดของเรา แล้วเหตุใดเราจะแสดงความยินดีในวันเฉลิมฉลองของพวกเขา ไม่ได้ ? พวกเขาทำดีกับเรา ก็สมควรท่ีเราจะทำดีตอบแทนพวก เขามิใช่หรือ ?
คำตอบก็คือ หากท่านทราบว่าท่านอยู่บนสัจธรรม ความถูกต้อง และพวกเขาก็อวยพรท่านเนื่องในวันอีดของท่าน เพื่อแสดงถึงการยอมรับของพวกเขาก็ถือเป็นเรื่องท่ีดี อัลฮัมดุลิลลาฮฺ แต่ในเมื่อท่านเองก็ทราบดีว่าพวกเขานั้นอยู่ในแนวทางท่ีหลงผิด แล้วท่านจะไปอวยพรแสดงความยินดีกับความหลงผิดของพวกเขาอย่างนั้นหรือ ? คำพูดของท่านน้ัน อาจจะใช้ได้ในกรณีท่ีศาสนาท้ังสองน้ันมีความถูกต้อง เท่าเทียมกัน โดยที่ศาสนาคริสต์กับอิสลามไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย เช่นน้ี ท่านก็อาจจะอวยพรให้แก่พวกเขา และเขาก็อาจจะอวย พรให้แก่ท่านแต่ในเมื่อท่านก็รู้ว่าอัลลอฮฺ ได้ตรัสไว้ ความว่า
“แท้จริง บรรดาผู้ท่ีกล่าวว่าอัลลอฮ์ เป็นผู้ที่สามของสามองค์นั้น ได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว”
(อัลมาอิดะฮฺ:73)
“แท้จริง บรรดาผู้ที่กล่าวว่าอัลลอฮฺ คือ อัลมะซีห์ บุตรของมัรยัมนั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว”
(อัลมาอดิะฮฺ:72)
พวกเขาปฏิเสธศรัทธาและออกจากแนวทางศาสนาของอัลลอฮฺแล้ว มิหนำซ้ำยังตั้งตนเป็นศัตรูกับศาสนาเรา เช่นนี้ แล้วท่านยังจะแสดงความยินดีกับเขาเนื่องในเทศกาลเฉลิมฉลองของพวกเขาอีกหรือ ?
แปลโดย : อุศนา พ่วงศิริ / islamhouse