อิสลามต้องแตกต่างจากศาสนาอื่นๆ
มุหัมมัด ศอลิหฺ อัลมุนัจญิด
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พวกเราขอสรรเสริญพระองค์ ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ และขออภัยโทษต่อพระองค์ ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองพวกเราให้รอดพ้นจากความชั่วร้ายที่เกิดจากตัวเราและการงานของเรา ผู้ใดที่อัลลอฮฺ ทรงชี้นำทางจะไม่มีผู้ใดทำให้เขาหลงทางได้ และผู้ใดที่พระองค์ ทรงทำให้เขาหลงทางก็ไม่มีผู้ใดชี้นำทางเขาได้ ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดเป็นบ่าว ของอัลลอฮฺและเป็นศาสนทูตของพระองค์
“โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮฺอย่างแท้จริงเถิด และพวกเจ้าจงอย่าตายเป็นอันขาด นอกจากในฐานะที่พวกเจ้าเป็นผู้นอบน้อมเท่านั้น ”
(อาล อิมรอน: 102)
“มนุษยชาติทั้งหลาย จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้าที่ได้บังเกิด พวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง และได้ทรงบังเกิดจากชีวิตนั้นซึ่งคู่ครองของเขา
และได้ทรงให้แพร่สะพัดไปจากทั้งสองนั้น ซึ่งบรรดาชายและบรรดาหญิงอันมากมาย และจงยำเกรงอัลลอฮฺที่พวกเจ้าต่างขอกันด้วยพระองค์
และพึงรักษาเครือญาติ แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงสอดส่องดูพวกเจ้าอยู่เสมอ”
(อันนิสาอ์:1)
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงยำเกรงอัลลอฮฺ และจงกล่าวถ้อยคำที่เที่ยงธรรมเถิด
พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้นสำหรับพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษความผิดของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้า
และผู้ใดเช่ือฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺ และเราะสูลของพระองค์ แน่นอนเขาได้รับความสำเร็จใหญ่หลวง”
(อัลอะหฺซาบ: 70-71)
อนึ่ง ถ้อยคำที่ดีที่สุดนั้นคือ คัมภีร์ของอัลลอฮฺ และทางนำอันเที่ยงตรงนั้นก็คือแนวทางของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ส่วนสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดก็คือสิ่งที่ประดิษฐ์กันขึ้นมาใหม่โดยไม่มีแบบฉบับในศาสนา โดยทุกสิ่งที่อุตริกัน ขึ้นมานั้นล้วนเป็นบิดอะฮฺ ทุกบิดอะฮฺเป็นความหลงผิด และทุกความหลงผิดจุดจบของมันคือไฟนรก
อิสลามต้องแตกต่างจากศาสนาอื่นๆ
อุตริกรรมและความหลงผิดอันเลวร้ายที่สุดประการหนึ่ง ซึ่งจะนำพาไปสู่ไฟนรกก็คือ การประพฤติตัวเลียนแบบผู้ปฏิเสธศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว คริสต์ หรือผู้นับถือศาสนา อื่นๆ ทั้งนี้ เจตนารมณ์หลักท่ีสาคัญข้อหน่ึงของอิสลามคือ การบ่มเพาะมุสลิมให้มีบุคลิกภาพและจุดยืนที่ชัดเจน ไม่คล้อยตามพฤติกรรมหรือแนวทางของชนผู้ปฏิเสธศรัทธา เพื่อคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมให้มีความบริสุทธิ์ และแตกต่างจากลักษณะของชนกลุ่มอื่นบนโลกใบน้ี
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย นอกจากเป้าหมายข้างต้นแล้ว อิสลามยังกำชับใช้ให้เรารักษาความสูงส่งของศาสนาเอาไว้ ปกป้องศาสนาให้ปลอดจากการตั้งภาคีใดๆ พร้อมทั้งแสดงออกถึงความโดดเด่นและอัตลักษณ์ของศาสนาซึ่งแตกต่างจากศาสนาและแนวทางอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ ลักษณะเฉพาะข้อหนึ่งของ อิสลามคือการปฏิบัติตามแบบฉบับที่ศาสนากำหนด และออกห่างจากการเลียนแบบชนผู้ปฏิเสธศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่ ดังคำดำรัสของอัลลอฮ์ ที่ความว่า
“และจงอย่าปฏิบัติ ตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขา โดยเขวออกจากสัจธรรมความจริงที่ได้มายังเจ้า”
(อัลมาอิดะฮฺ:48)
และพระองค์ตรัสอีกความว่า
“สำหรับแต่ละประชาชาติในหมู่พวกเจ้าน้ัน เราได้ให้มีบทบัญญัติและแนวทางไว้”
(อัลมาอิดะฮฺ:48)
ดังนั้น บทบัญญัติของพวกท่านจึงไม่ใช่บทบัญญัติของพวกเขา และแนวทางของพวกท่านก็แตกต่างกับแนวทางของพวกเขาเช่นกัน
อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสความว่า
“ฉันจะไม่เคารพภักดีส่ิงที่พวกท่านเคารพภักดีอยู่”
(อัลกาฟิรูน:2)
“สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือ ศาสนาของฉัน”
(อัลกาฟิรูน :6)
ดังนั้น ศาสนาของพวกท่านจึงไม่ใช่ศาสนาของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าศาสนาที่สูงส่งและบริสุทธิ์นี้ได้มีผลยกเลิกทุกศาสนาที่มีมาก่อนหน้าแล้ว อิสลามจึงกลายเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ ซึ่งเที่ยงตรงและถูกต้องกว่าศาสนาอื่นๆ
ท่านนบี ศ็อลลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
"ผู้ใดเลียนแบบกลุ่มชนใดเขาก็คือส่วนหนึ่งจากกลุ่มชนน้ัน”
(บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ หะดีษ เลขท่ี 4031)
ในหะดีษบทนี้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้วางรากฐานหลักที่สำคัญประการหนึ่งของอิสลาม น่ันคือ การห้ามเลียนแบบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ท้ังนี้ ท่านยังได้กล่าวย้ำไว้ในหลายโอกาสว่า
“พวกท่านจงทำให้แตกต่างจากพวกมชุริกีนเถิด”
(บันทึกโดยอัล บุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 5892 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 259)
และคุณเองก็ได้อ่านในละหมาดทุกครั้งว่า
“โปรดช้ีนำเราสู่แนวทางอันเท่ียงตรงด้วยเถิด แนวทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปรานแก่พวกเขา
มิใช่แนวทางของพวกที่ถูกกริ้ว และมิใช่(แนวทางของ)พวกที่หลงผิด”
(อัลฟาติหะฮฺ:6-7)
คือ มิใช่แนวทางของพวกยิวหรือพวกคริสต์ แต่ขอพระองค์ทรงชี้นำเราสู่หนทางแห่งสัจธรรมอันเที่ยงตรง ไม่เหมือนแนวทางของพวกยิว คริสต์ หรือแนวของผู้ปฏิเสธศรัทธากลุ่มอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ เราจึงพบว่าบทบัญญัติของอิสลามนั้นได้กำชับให้เราปฏิบัติตัวแตกต่างจากแนวทางของผู้ปฏิเสธศรัทธาในหลายเรื่องด้วยกัน เช่น การให้รีบเร่งละศีลอด การทานอาหารสะหูรฺให้ล่าช้า การสวมรองเท้าละหมาดในสถานที่ที่เหมาะสม การหันหลุมศพของชาวมุสลิมไปทิศกะอฺบะฮฺ ซึ่งต่างจากหลุมศพของผู้ปฏิเสธศรัทธา ตลอดจนบทบัญญัติอื่นๆ อีกมากมายท่ีเราได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติในลักษณะที่แตกต่างจากผู้ปฏิเสธศรัทธาและไม่เลียนแบบพวกเขา
แม้กระทั่งเรื่องการถือศีลอดวันอาชูรอ เราก็ยังถูกสั่งใช้ให้ถือศีลอดก่อนวันอาชูรอหนึ่งวัน หรือวันถัดจากอาชูรอควบไปด้วย เพื่อให้แตกต่างจากพวกยิว ทั้งนี้พวกเรามีความคู่ควรท่ีจะรักและศรัทธาในตัวของท่านนบีมูซายิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก ซึ่งวันอาชูรอนั้นก็คือ วันที่อัลลอฮฺได้ทรงช่วยเหลือให้ท่านรอดพ้น จากเงื้อมมือของฟิรฺเอาน์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน
กระทั่งพวกยิวเองถึงกับกล่าวแก่ เศาะหาบะฮฺว่า “สหายของพวกท่านพยายามทำให้แตกต่างจากพวกเราในทุกๆ เรื่อง”
แปลโดย : อุศนา พ่วงศิริ / islamhouse