หลักสำคัญประการที่สาม
  จำนวนคนเข้าชม  5751

 

หลักสำคัญประการที่สาม

 

         คือการรู้จักท่านนะบีมุฮัมมัด  ซึ่งท่านก็คือ มุฮัมมัด อิบนุ อัลดุลลอฮ์ อิบนุ อับดุลมุฏฏอเล็บ อิบนุ ฮาชิม และท่านฮาชิม ปู่ของท่านนะบี นี้มาจากชาวกุเรซ และชาวกุเรซคือชาวอาหรับ และชาวอาหรับนั้นมาจากลูกหลานของท่านอิสมาอีล อิบนุ อิบรอฮีม อัลคอลีล ขอพรอันประเสริฐ และความศานติจงมีแด่ท่านและนะบี  ของเราด้วย

         ท่านนะบีมุฮัมมัด  มีอายุขัยทั้งสิ้น 63 ปี โดยช่วงอายุ 40 ปี ได้รับการแต่งตั้งเป็นเราะซูล และ 23 ปี หลังจากได้รับการเป็นนะบี และเราะซูล ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนะบี  ด้วยโองการ ( إقرأ ) ซึ่งมีความหมายว่า "เจ้าจงอ่าน"  และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเราะซูลด้วยโองการ ที่มีความหมายว่า"ผู้คลุมโปง" ณ เมืองมักกะฮ์ อัลลอฮ์ ได้ทรงส่งท่านมาโดยเริ่มจากการแจ้งข่าวร้ายซึ่งเกิดจากการตั้งภาคี หลังจากนั้นจึงเรียกร้องไปสู่การให้เอกภาพและหลักฐานที่บ่งชี้ถึงสิ่งนี้ ก็คือคำดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ที่ว่า

"โอ้ ผู้ที่ห่มกายอยู่เอ๋ย จงลุกขึ้นแล้วประกาศเตือน และแด่ผู้อภิบาลของเจ้าจงให้ความเกรียงไกร (ต่อพระองค์) และเสื้อผ้าของเจ้าจงทำให้สะอาด และสิ่งสกปรกจงหลีกเลี่ยงให้ห่างไกล และอย่าทำคุณเพื่อหวังผลตอบแทนอันมากมาย และเพื่อผู้อภิบาลของเจ้าเท่านั้นจงอดทน" (อัล มุดดัซซีร : 1-7)

          ผู้ที่ห่มกายหมายถึงท่านนะบี มุฮัมมัด   ที่กำลังนอนห่มกายอยู่ จงลุกขึ้นจากการนอนพักผ่อนของเจ้า แล้วจงประกาศตักเตือนมวลชน ซึ่งหมายถึงการตักเตือนจากการตั้งภาคีและเชิญชวนพวกเขาไปสู่การให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ และการให้ความเกรียงไกรต่อพระองค์ หมายถึงการให้ความยิ่งใหญ่แก่พระองค์ โดยการให้ความเป็นเอกภาพ (อัตเตาฮีด) แด่พระองค์ และการทำความสะอาดเสื้อผ้าของเจ้าหมายถึง ทำให้การเคารพภักดี(อิบาดะฮ์) ของเจ้าสะอาดปลอดโปร่งจากการตั้งภาคี (ชิริก) ส่วนสิ่งสกปรกที่ทรงให้หลีกไกลนั้นหมายถึง บรรดารูปปั้น และเจว็ด ส่วนการหลีกไกลจากมันในที่นี้หมายถึงการละทิ้งมัน ผู้บูชามัน และตัดขาดจากสิ่งนี้โดยเด็ดขาด

 

          ท่านเราะซูล  ได้เผยแพร่สัจธรรม ณ เมืองมักกะฮ์ เป็นเวลานับสิบปีด้วยกัน เรียกร้องปวงชนไปสู่การให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ หลังจากนั้นจึงได้ทรงมีพระบัญชาให้ท่านเดินทางขึ้นไปสู่ฟากฟ้าพื่อเข้าเฝ้าพระองค์ ซึ่ง ณ ที่นั้นท่านได้รับบทบัญญัติให้ละหมาดวันละ 5 เวลา ท่านและเหล่าสาวกได้ปฏิบัติละหมาดที่มักกะฮ์เป็นเวลา สามปี และแล้วจึงได้รับคำบัญชาให้ฮิจเราะฮ์ (อพยพ) ไปยังนครมะดีนะฮ์ นั่นคืออพยพจากนครมักกะฮ์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นเมืองที่ชนส่วนมากตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ ไปสู่เมืองแห่งอิสลาม(มะดีนะฮ์) การโยกย้ายจากเมืองแห่งการตั้งภาคีไปสู่เมืองแห่งอิสลามนั้นได้ถูกบัญญัติไปสู่ประชาชาติ และคำบัญญัตินี้ยังคงดำรงอยู่ตลอดไปจวบจนวันโลกสลาย ดังที่มีหลักฐานจากพระดำรัสของอัลลอฮ์ ที่ว่า

"แท้จริงบรรดาผู้ที่เหล่ามลาอิกะฮ์ ได้เอาชีวิตของพวกเขาไปโดยที่พวกเขาเป็นผู้อธรรมแก่ตัวของพวกเขาเอง มลาอิกะฮ์ได้กล่าวกับพวกเขาว่า พวกเจ้าปรากฏอยู่ในสิ่งใด ? พวกเขากล่าวว่าพวกเราเป็นผู้ที่อ่อนแอในแผ่นดิน มลาอิกะฮ์กล่าวว่า แล้วแผ่นดินของอัลลอฮ์ มิได้กว้างขวางพอทีพวกเจ้าจะอพยพไปอยู่ในส่วนนั้นดอกหรือ ? พวกนี้แหละซึ่งที่ๆพำนักของพวกเขาคือขุมนรก และนี่คือบั้นปลายอันชั่วร้าย นอกจากพวกที่อ่อนแอไม่ว่าจะเป็น บุรุษ สตรี หรือเด็กก็ตามที่ไม่สามารถอพยพไปโดยการใช้กลอุบาย หรือไม่ได้รับคำชี้แนะใดๆทั้งสิ้น ชนเหล่านี้แหละที่อัลลอฮ์ จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ให้อภัย และเป็นผู้ยกโทษให้เสมอ" (อันนิซา : 97-99)

        และทรงดำรัสอีกว่า

"โอ้ บรรดาบ่าวของข้า เหล่าผู้ที่ศรัทธาแท้จริงแผ่นดินของข้านั้นกว้างใหญ่ ไพศาลนัก ดังนั้นแด่ข้าเท่านั้น พวกเจ้าจงเคารพภักดี " (อัล อังกะบูต : 56 )

 

 

         อัล-ฆอวี (อัลลอฮ์โปรดเมตตาท่าน) ได้กล่าวว่า

         "สาเหตุของการประทานอายะฮ์ (โองการ)นี้ เนื่องจากชนมุสลิมที่อยู่ในเมืองมักกะฮ์ยังไม่ได้อพยพ ดังนั้นอัลลอฮ์ จึงทรงเรียกพวกเขาด้วยการระบุการศรัทธา" ส่วนหลักฐานที่บัญญัติการอพยพจากซุนนะฮ์ หรือ วจนะของท่านนะบีมุฮัมมัด  มีดังนี้คือ

"การอพยพจะไม่หยุดจนกว่าการให้โอกาสกลับตัวจะสิ้นกำหนด และการให้โอกาสกลับตัวจะไม่หมดสิ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก"

          และเมื่อท่านได้พำนักอยู่ ณ เมืองมะดีนะฮ์ เรียบร้อยแล้วท่านก็ได้รับคำบัญชาเกี่ยวกับบทบัญญัติอิสลามอื่นๆ เช่น การชำระซะกาต(ทานบังคับ) การถือศีลอด การประกาศเวลาละหมาด(อาซาน) การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์(ญิฮาด) การใช้ให้ปฏิบัติความดี และห้ามไม่ให้ทำความชั่วและอื่นๆ  อีกจากพระราชบัญญัติต่างๆของอิสลาม ท่านได้ดำเนินการต่างๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วนี้นั้นเป็นเวลาร่วมสิบปี หลังจากนั้นท่านได้สิ้นชีวิต ขออัลลอฮ์โปรดประทานความสันติแด่ท่าน และศาสนาของท่านคงอยู่มาโดยตลอด และสัจธรรมหรือคำสอนของอิสลามโดยสรุปแล้ว รวบรวมอยู่ในคำจำกัดความดังต่อไปนี้คือ

"ไม่มีความดีอื่นใด (คงอยู่)นอกจากความดีนั้นท่านได้เคยชี้นำ(ชักจูง)ให้ประชาชาติถือปฏิบัติและไม่มีความชั่วอื่นใด(คงอยู่) นอกจากความชั่วนั้นท่านได้ห้ามประชาชาติให้ปลีกตัวออกห่าง และความดีที่ท่านได้ชี้นำให้ปฏิบัติตามนั้นคือ การให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์ และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงรักทรงพอใจ ส่วนความชั่วที่ท่านได้ห้ามไม่ให้เข้าใกล้คือการตั้งภาคีทุกสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงเกลียดชัง และทรงปฏิเสธ และพระองค์ ได้ทรงส่งท่านมายังมวลมนุษย์และทรงบัญชาให้มนุษย์และญินทั้งมวลปฏิบัติตามท่านนะบีมุฮัมมัด  "

หลักฐานที่บ่งชี้ถึงสิ่งข้างต้นคือ คำตรัสของอัลลอฮ์ ว่า

"จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า โอ้มนุษย์ทั้งหลายแท้จริงฉันคือ ศาสนฑูตของอัลลอฮ์ ที่ถูกส่งมาสู่พวกท่านทั้งมวล" (อัล อะอ์รอฟ : 158)

        และพระองค์ได้ทรงบัญชาให้ท่านนะบี  นำคำสอนหรือสัจธรรมอิสลามมาถือปฏิบัติในทุกๆแง่มุมของชีวิตประจำวันอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ โดยมีพระราชดำรัสว่า

"วันนี้ข้าได้ทำให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้า ซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ทำให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าซึ่งควากรุณา เมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว" (อัลมาอิดะฮ์ : 3)

         และที่เกี่ยวกับการสิ้นชีพของท่านนะบี  พระองค์ทรงดำรัสว่า

"แท้จริงเจ้า(มุฮัมมัด)ต้องตายเหมือนกับพวกเขาที่ต้องตายและ หลังจากนั้นในวันปรโลกพวกเจ้าก็จะถกเถียงกัน ณ ผู้อภิบาลของพวกเจ้า" (อัซซุมัร : 30-31)

        และเมื่อเหล่ามวลมนุษย์ ได้สิ้นชีวิตแล้วพวกเขาก็จะถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งดังที่พระองค์อัลลอฮ์ ได้ทรงดำรัสไว้ว่า

"และจากแผ่นดินเราได้สร้างพวกเจ้า และ ณ แผ่นดินนี้เราจะให้พวกเจ้ากลับคืน และจากแผ่นดินนี้อีกเช่นกัน เราจะให้พวกเจ้าออกมาอีกครั้ง" (ฏอฮา : 55)

        และทรงชี้แจงอีกว่า

"และอัลลอฮ์ ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้าจากดิน เติบโตขึ้นเฉกเช่นเดียวกับธัญญพืช และหลังจากนั้นจะส่งคืนพวกเจ้ากลับคืนสู่ผืนดิน และแล้วจากแผ่นดินนี้อีกเช่นเดียวกันที่พระองค์จะทรงให้พวกเจ้าออกมา" (นูฮ์ : 17-18)

        หลังจากการฟื้นคืนชีพแล้วพวกเขาจะถูกไตร่สวนโดยที่พวกเขาจะได้รับผลตอบแทนตามผลการกระทำของเขา ดังที่พระองค์ทรงดำรัสไว้ว่า

"และสรรพสิ่งหลากหลายที่มีอยู่ในชั้นฟ้า รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งมวลที่มีอยู่ในพื้นภิภพทั้งหมดนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะได้ทรงตอบแทนเหล่าผู้กระทำความชั่วด้วยผลกรรม และจะทรงตอบแทนเหล่าผู้กระทำคุณความดีด้วยความดี" (อันนัจม์ : 31)

        และแม้นผู้ใดไม่เชื่อในการฟื้นคืนชีพนี้ เขาผู้นั้นคือผู้ปฏิเสธนั่นเอง อัลลอฮ์ ทรงตรัสไว้ดังนี้

"บรรดาผู้ปฏิเสธได้อ้างว่าพวกเขาจะไม่ถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)ว่า หาเป็นเช่นนั้นไม่ ข้าขอสาบานต่อผู้อภิบาลของข้าว่า พวกท่านจะต้องถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกอย่างแน่นอน และพวกท่านจะต้องได้รับทราบในสิ่งที่พวกท่านได้ประกอบกรรมไว้ ซึ่งสิ่งนั้น(การทำให้ฟื้นคืนชีพ)เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนักสำหรับอัลลอฮ์" (อัตตฆอบุน : 7)

          และพระองค์ได้ทรงส่งบรรดาศาสนฑูตแก่มวลมนุษย์เพื่อแจ้งข่าวดีและข่าวร้ายแก่พวกเขาให้ได้รับทราบ พระองค์ได้ทรงดำรัสไว้ดังนี้

"บรรดาเราะซูลคือผู้แจ้งข่าวดี และในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่แจ้งข่าวร้าย(ในฐานะที่เป็นผู้ตักเตือน) ทั้งนี้เพื่อที่มนุษย์จะได้ไม่สามารถอ้างหรือแก้ตัวใดๆ (ในวันสิ้นโลก) แก่อัลลอฮ์ อีกหลังจากที่พระองค์ได้ทรงส่งเราะซูลเหล่านั้น ให้แก่พวกเขาแล้ว" (อันนิซาอ์ : 165 )

         และเราะซูลท่านแรกคือ นูฮ์ ขอความสันติจงมีแด่ท่าน และเราะซูลท่านสุดท้ายคือ มุฮัมมัด  และหลักฐานนี้ก็คือดำรัสของอัลลอฮ์ ที่มีดังนี้

"แท้จริงแล้วเราได้ประทาน วะฮีย์ ให้แก่เจ้า(มุฮัมมัด) เช่นเดียวกับที่เราได้ประทาน วะฮีย์ ให้แก่นูฮ์ และบรรดานะบีที่ถูกส่งมาหลังจากเขา" (อันนิซาอ์ : 163)

         และในทุกประชาตินั้นอัลลอฮ์ ได้ทรงโปรดส่งศาสนฑูต เริ่มจากท่านนะบีนูฮ์ อะลัยฮิสลาม ถึงท่านนะบีมุฮัมมัด  และได้ทรงบัญชาให้พวกเขาเหล่านั้นเคารพสักการพระองค์แต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็ทรงห้ามพวกเขาเหล่านั้นมิให้เคารพสักการผู้ใดทั้งสิ้น พระองค์ทรงชี้แจงเรื่องนี้โดยมีพระดำรัสว่า

"และอย่างแน่นอน เราได้ส่งศาสนฑูตมาในทุกๆ ประชาชาติ (โดยทรงบัญชาว่า) พวกเจ้าจงเคารพภักดีอัลลอฮ์ และจงออกห่างจากการบูชาพวกฏอฆู้ต (มารร้ายหรือเจว็ด)" (อันนัฮล์ : 36)

 

         อัลลอฮ์ได้ทรงบัญญัติแล้วว่า มนุษย์ทุกคนนั้นจำเป็นต้องต่อต้านและปฏิเสธพวกมารร้ายต้องนอบน้อมเคารพภักดี อัลลอฮ์ แต่เพียงองค์เดียว ฉะนั้น อิบนุ ก็อยยิม ขอพระองค์โปรดเมตตาท่าน ได้กล่าวว่า

          ความหมายของฏอฆู้ต(มารร้าย)คือ ทุกสิ่งที่บ่าวละเมิดขอบเขตของมัน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ถูกเคารพบูชาหรือสิ่งที่ถูกตาม หรือสิ่งที่ถูกเชื่อฟังมารร้าย(ฏอฆู้ต)นั้นมีมากมายนัก ในที่นี้จะขอกล่าวถึงพวกมารระดับหัวหน้า ซึ่งมีด้วยกัน ห้า ตนดังต่อไปนี้คือ

  • อิบลีส - ชัยฏอนใหญ่ ขออัลลอฮ์ได้ทรงสาปแช่งมัน
  • ผู้ที่ได้รับการสักการะบูชาและเขาก็ยินดีปรีดาต่อการเคารพสักการะที่ผู้คนมีต่อเขา
  • ผู้ที่เชิญชวนมวลชนให้สักการะบูชาตัวเขาเอง
  • ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้หยั่งรู้ในสิ่งเล้นลับ
  • ผู้ที่ตัดสินโดยคำตัดสินนอกเหนือจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมา

         และหลักฐานที่บ่งชี้ถึงสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้นคือพระดำรัสของอัลลอฮ์ที่ว่า

"ไม่มีการบังคับใดๆใน(การนับถือ)ศาสนา(อิสลาม) แน่นอนยิ่ง ความถูกต้องนั้นได้เป็นที่ปรากฏชัดเจน เปิดเผยตัวมันเองออกมาจากความหลงผิด ดังนั้นผู้ใดปฏิเสธต่อฏอฆู้ต(มารรายหรือเจว็ด)และศรัทธาต่ออัลลอฮ์ แล้วหล่ะก็เป็นที่แน่นอนยิ่งว่า เขาผู้นั้นได้ยึดเหนี่ยวห่วงอันมั่นคงไว้แล้ว โดยไม่หลุดพรากจากกันเป็นอันขาด แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน และผู้ทรงรอบรู้" (อัลบะเกาะเราะฮ์ : 256)

        และนี่ก็คือคำอธิบายของคำว่า "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาอัลลอฮ์" นั่นเอง

 

           ท่านนะบีมุฮัมมัด  ได้กล่าวไว้ว่า

         "สุดยอดของสิ่งใดๆคือการรับอิสลาม และเสาหลักของอิสลามคือการละหมาด และเหนือสุดของอิสลามคือการต่อสู้(ญิฮาด)ในหนทางของอัลลอฮ์ "

 

...หลักการสำคัญสามประการได้จบสมบูรณ์แล้ว...

 

 

 

พิมพ์และเผยแพร่โดย กระทรวงศาสนกิจ ศาสนสมบัติ เผยแพร่และแนะนำ

ด้วยทุนทรัพย์ของ มูลนิธิอิบรอฮีม บินอับดุลอะซีซ อัลบารอฮีม , ซาอุดิอาระเบีย

 

หลักสำคัญสามประการพร้อมหลักฐาน >>>>Click