พระผู้ทรงสร้างเพียงผู้เดียว
  จำนวนคนเข้าชม  6743

ความสำคัญของวิชาการความรู้กับการต่อสู้กับ บรรดาแนวความคิดที่บ่อนทำลาย


พระผู้ทรงสร้างเพียงผู้เดียว

 

เขียนโดย : สะมาฮะตุชเชค อับดุลอะซีซ บิน อับดุลลอฮฺ บินบ๊าซ

 

 

พระผู้ทรงสร้างเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่คู่ควรแก่การทำอิบาดะฮฺ....
 

 

          อัลลอฮฺ  ได้ทรงแจ้งหลักฐานไว้มากมายตามที่ต่าง ๆ ในอายะฮฺอัลกุรอาน ในขณะที่คนมุอฺมินพิจารณาดูแล้วก็จะทราบดีว่า มีหลักฐานที่ถ่ายทอดจากอัลกุรอานซึ่งได้รับการสนับสนุน และการยืนยันด้วยหลักฐานทางสติปัญญา มองเห็นได้ สัมผัสได้ ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺ  จึงทรงแจ้งให้ทราบภายหลังจากที่ได้ตรัสว่า

 

“โอ้ประชาชนทั้งหลาย พวกเจ้าจงเคารพอิบาดะฮฺพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด”
 

 

พร้อมกับยืนยันเรื่องดังกล่าวว่า ที่ต้องทำเช่นนั้นก็คือ ตามที่ทรงแจ้งให้ทราบต่อไปอีกว่า :
 

 

“ผู้ทรงบังเกิดพวกเจ้า และบรรดาผู้ที่มาก่อนพวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง”

 

 

         มีความหมายว่า : แท้จริงแล้ว ผู้ทรงสร้างนั้น คือ ผู้ที่มีความเหมาะสมในการที่เราจะต้องทำการเคารพอิบาดะฮฺพระองค์ เนื่องจากพระองค์ทรงสร้างเราขึ้นมา และเพราะว่าพระองค์ได้ดูแลจัดการผลประโยชน์ให้แก่บรรดาบ่าว เป็นเรื่องที่ทราบกันดีโดยสัญชาตญาณและสติปัญญาที่ปกติไม่ผิดเพี้ยน เพราะมนุษย์ทั้งหลายนั้น ไม่สามารถสร้างตัวของมนุษย์ขึ้นมาเองได้ แต่พระเจ้าต่างหากที่ได้ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา อัลลอฮฺ  นั้นคือ ผู้ทรงสร้างโดยมีหลักฐานจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและเป็นสติปัญญา ข้อยืนยัน ตลอดจนมีการถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา อัลลอฮฺ  ได้ตรัสอีกในซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 22 ว่า

 

“คือผู้ทรงให้แผ่นดินเป็นที่ราบ และฟ้าเป็นอาคารแก่พวกเจ้า และทรงให้น้ำหลั่งลงมาจากฟากฟ้า

แล้วได้ทรงให้บรรดาผลไม้ออกมาเนื่องด้วยน้ำนั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า

ดังนั้น พวกเจ้าจงอย่าให้มีผู้ใดมาเป็นพระเจ้าเทียบเคียงกับอัลลอฮฺ โดยที่พวกเจ้าก็รู้กันดีอยู่”

 

          อัลลอฮฺ  ได้ทรงแจ้งให้ทราบถึงวิธีการ ที่จะรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ที่ถูกสร้างขึ้นมา มองเห็นได้ มีปัญญารู้ได้ และมนุษย์ทุกคนก็จะได้รู้ ดังนั้น ทรงทำให้แผ่นดินเป็นที่ราบแก่พวกเรา นอนได้ เดินได้ เลี้ยงฝูงสัตว์ได้ ตั้งวางสิ่งของได้ เพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ได้ขุดเอาแร่ธาตุออกมาได้และอื่น ๆ อีกมากมาย  หลังจากนั้นได้ทรงให้น้ำหลั่งลงมาจากฟากฟ้า เป็นน้ำจากก้อนเมฆ เป็นน้ำฝน แล้วให้มีพืชผลต่างๆ งอกออกมาแก่พวกเรา
 

ใครเป็นผู้ให้น้ำฝนตกลงมา ?
 

ใครเป็นผู้ให้พืชผลต่าง ๆ ออกมา มีทั้งปลูกเองและที่ขึ้นเอง ทำให้มนุษย์และสัตว์ได้กินเป็นอาหาร ?
 

 

          ทั้งหมดนั้นเป็นหลักฐานที่ยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ ที่ชี้ถึงเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และชี้ได้ว่า พระองค์ก็คือพระเจ้าของโลกทั้งผอง  มีแผ่นดินที่ราบเรียบมั่นคง ด้วยการตั้งมั่นของภูเขาต่าง ๆ ที่ทรงทำให้เป็นหมุดยึด หรือตรึงแผ่นดิน ทรงทำให้แผ่นดินแผ่กว้าง มั่นคงเป็นที่พักอาศัยของมนุษย์และสรรพสัตว์ ทำให้เราได้รับความสงบอบอุ่นพร้อมปศุสัตว์ พาหนะของพวกเราที่อยู่บนแผ่นดินทั้งหมด และนกได้โบยบินอยู่บนอากาศ เราได้รับความสุขสำราญจากทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นบนแผ่นดินตลอดจนท้องฟ้าที่ถูกสร้างไว้ให้อยู่เหนือพวกเรา 
 

          และทรงประดับประดาท้องฟ้าด้วยหมู่ดวงดาวต่าง ๆ ทั้งที่มันโคจรและอยู่คงที่ มีทั้งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้ทราบถึงเดชานุภาพของพระผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ สูงส่ง เหนือชั้น ไม่มีภาคีใด ๆ กับพระองค์อีกแล้ว ในเรื่องดังกล่าว

          ต่อมาก็ดูที่บรรดาพืชพันธุ์ธัญญาหารต่าง ๆ มีทั้งผลไม้นานาชนิดมีประโยชน์ท้วมท้นมากมาย มีสีสันรูปร่างตลอดจนขนาด และรสชาติที่ เป็นประโยชน์ทั้งสิ้น ดังกล่าวเหล่านั้นแสดงถึงเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ  ที่สมควรได้รับการ อิบาดะฮฺ จากบรรดาผู้ถูกสร้างทั้งผอง

 

“และผู้ที่ควรแก่การเคารพของพวกเจ้านั้นมีเพียงองค์เดียว

ไม่มีคู่ควรแก่การเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอเท่านั้น  

แท้จริงในการสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน และการสับเปลี่ยนกันของกลางคืนและกลางวัน

และเรือที่แล่นอยู่ในท้องทะเล พร้อมด้วยสิ่งอำนวยประโยชน์แก่มนุษย์

และน้ำที่อัลลอฮฺ ได้ทรงให้หลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาขึ้น ด้วยน้ำนั้น หลังจากที่มันได้ตายไปแล้ว

และได้ทรงให้สัตว์แต่ละชนิดแพร่สะพัดไปในแผ่นดิน

และในการให้ลมเปลี่ยนทิศทาง

และให้เมฆซึ่งถูกกำหนดให้บริการ (แก้โลก) ผันแปรไปในระหว่างฟากฟ้าและแผ่นดินนั้น

แน่นอน ล้วนเป็นสัญญาณนานาประการสำหรับกลุ่มชนที่ใช้สติปัญญา”

 

          พระองค์ได้ทรงแจ้งแก่เราในอายะฮฺนี้ทั้งหมด ที่เราได้รู้ได้เห็นและสัมผัสได้ ดังที่พระองค์ตรัสในซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 164 ว่า :

 

“แท้จริง ในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการสับเปลี่ยนของกลางคืนและกลางวัน และเรือที่แล่นอยู่ในท้องทะเล

พร้อมด้วยสิ่งอำนวยประโยชน์แก่มนุษย์ และน้ำที่อัลลอฮฺได้ทรงให้หลั่งลงมากจากฟากฟ้า”

     - ความกว้างขวางและความสูงส่งของฟากฟ้า ตลอดจนสิ่งที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง น่าพิศวง ยิ่งนัก และผืนแผ่นดินก็เช่นกัน ที่ความกว้างใหญ่ไพศาล ตลอดจนสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ภูเขา ฯลฯ

     - ประการต่อมา คือ ความแตกต่างของกลางคืนและกลางวันและน้ำที่หลั่งลงมาจากฟากฟ้า ให้สิ่งมีประโยชน์มากมายแก่ผู้คนออกมาจากท้องทะเล มีสายน้ำที่รองรับเรือเดินสมุทรใหญ่เพื่อให้แล่นไปบนผิวน้ำ บรรทุกสัมภาระและผู้คนจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งได้

     - ประการต่อมา ทรงให้ฝนหลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วทรงให้แผ่นดินที่ตายไปแล้ว ได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และได้ทำให้สัตว์ต่าง ๆ ได้แพร่กระจายไปบนแผ่นดิน ทรงให้สายลมพัดโชยไป พร้อมมีก้อนเมฆ ระหว่างท้องฟ้ากับพื้นดิน

 

         บรรดาหลักฐานยิ่งใหญ่ต่าง ๆ เหล่านี้ ยืนยันไว้สำหรับผู้ที่ใคร่ครวญ และคิดถึงสิ่งทั้งปวงนี้ แสดงให้เห็นว่ามีผู้ทรงสร้างมันขึ้นมา และผู้ที่ทรงสร้างมันนั้น ทรงทำให้มันมีขึ้นมาได้โดยไม่เคยมีมาก่อนเลย และพระองค์คือพระเจ้าแห่งสากลโลก ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพราะบรรดาสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องอาศัยอัลลอฮฺ  ดังที่พระองค์ได้ทรงแจ้งไว้ ในซูเราะฮฺ อัรรูม อายะฮฺที่ 25 ว่า

“และส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ คือ ชั้นฟ้าและแผ่นดินที่มั่นคงอยู่ตามพระบัญชาของพระองค์.....”

          บรรดาอายะฮฺต่าง ๆ เหล่านี้มีสัญญาณให้เราได้เห็น และเป็นหลักฐานให้อ่าน และให้เราได้ทำ ซึ่งผู้มีสติปัญญาที่ครบถ้วนสมบูรณ์ และมีสายตาที่กว้างไกลที่จะเข้าใจ ด้วยเหตุนี้ ในท้ายของซูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 164 พระองค์อัลลอฮฺ  ได้ตรัสว่า

 

“แน่นอนล้วนเป็นสัญญาณนานาประการ สำหรับกลุ่มชนที่ใช้สติปัญญา”

 

 

แปลและเรียบเรียงโดย : อ.อับดุลฆอนี บุญมาเลิศ 
 

ที่มา อัลอิศลาห์สมาคม