ความผิดของผู้ที่เจตนาอุตริในศาสนา
  จำนวนคนเข้าชม  3499

 

ความผิดของผู้ที่เจตนาอุตริในศาสนา

 

เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม

 

ความผิดของผู้ที่เจตนาตั้งใจในการให้การอุตริในศาสนาเกิดขึ้น 

 

        ความผิดต่างๆของผู้ที่ได้กระทำตามเขานั้น เขาจะได้รับความผิดนั้นด้วย เนื่องจากเขาเป็นบุคคลที่ริเริ่มกระทำสิ่งที่เป็นบิดอะห์นั้นขึ้นมา ดังคำพูดของท่านนบี  ที่ว่า

 

((م من سن في الإسلام سنة حسنة كان له أجرها وأجر من عمل بها من بعده لا ينقص ذلك من أجوره منشيئا، ومن سن في الإسلام سنة سيئة كان عليه وزرها ووزر من عمل بها من بعده لا ينقص ذلك أوزارهم شيئا))

 

         "ใครที่ได้ให้เกิดขึ้นมาในอิสลาม ซึงเป็นแนวทางที่ดี สำหรับเขาแล้วจะได้รับผลตอบแทนนั้น และจะได้รับผลตอบแทนของบุคคลที่ได้ปฏิบัติตามแนวทางนั้นด้วย โดยที่ผลบุญดังกล่าวนั้นจะไม่ลดจากพวกเขาแต่อย่างใด

          และใครที่ได้ให้มีขึ้นในอิสลามซึงแนวทางที่ไม่ดี เขาก็จะได้รับความผิดจากการให้มีแนวทางนั้นเกิดขึ้น และความผิดของผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางนั้นจะตกยังเขาเช่นเดียว โดยที่ความผิดของพวกเขาไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด"

 

        จากหะดีษนี้มันเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่า ใครที่ได้ริเริ่มการงานที่ดี ที่มีบทบัญญัติรับรองในกิจการงานนั้นๆ แล้วจากการที่คนแรกได้ริเริ่มปฏิบัติการงานนั้นๆ แล้วผู้คนต่างได้ปฏิบัติตามเขา แน่นอนผลบุญของบุคคลที่ได้มาตามเขา ก็จะได้รับแก่เขาด้วยโดยที่อัลลอฮฺ ไม่ได้ลิดรอนให้ผลบุญของพวกเขาได้ลดลงแต่ประการใด ในทางตรงกันข้ามใครที่ได้ริเริ่มกระทำการงานที่ไม่ได้มีบทบัญญัติทางศาสนาได้รองรับไว้ โดยเขาคิดเอาเองว่า มันเป็นสิ่งที่กระทำแล้วได้รับผลบุญ การกระทำของเขาถือว่า เป็นการอุตริขึ้นมาในศาสนา และหากมีผู้คนมาทำตามเขาในสิ่งที่เขาอุตริขึ้นมา แน่นอนความผิดของคนเหล่านั้นก็จะตกอยู่ที่เขาเช่นเดียวกัน โดยที่ความผิดของพวกเขาก็ไม่ลดลงแต่อย่างใด

 

       ดังนั้นสิ่งที่บรรดามุสลิมสมควรระวัง ก็คือการอุตริขึ้นมาในศาสนา ถึงแม้ว่าเราจะมีเจตนาดีก็ตาม แต่หากสิ่งที่เราทำไม่มีบทบัญญัติมารองรับสิ่งนั้น ถึงแม้เราจะกระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ มันก็ไม่ได้ทำให้เราได้รับผลบุญ เพราะเงื่อนไขที่ทำให้การงานของเราถูกตอบรับ ณ ที่อัลลอฮฺ จะต้องประกอบไปด้วยสองเงื่อนไขด้วยกันคือ

๑. ต้องมีความบริสุทธิ์ใจในการประกอบการงานเพื่ออัลลอฮฺ

 

๒. ต้องตามแนวทางของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม

หากขาดเงื่อนไขหนึ่งเงือนไขใด การงานนั้นก็ไม่ถูกตอบรับ

        จากหะดีษข้างต้นที่กล่าว มีคนบางคนเข้าใจได้นำหะดีษนี้มาเป็นหลักฐานว่า แท้จริงมีบิดอะห์หาสานะห์ (การอุตริที่ดี) ซึงความเข้าใจดังกล่าวมันเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ทุกการอุตริขึ้นมาในศาสนานั้นถือว่าเป็นความหลงผิด แต่สำหรับการกระทำสิ่งประดิษฐใหม่ที่เกิดขึ้น เช่นในอดีตผู้คนสร้างบ้านด้วยไม้ แต่ปัจจุบันการสร้างด้วยปูซิเมนต์ หรือ มีการสร้างโรงเรียน มีการพิมพ์หนังสือแบบเรียน และอีกมากมายที่เป็นการคิดค้นประดิษฐเครื่องใช้ทำมาอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตให้แก่มวลมนุษย์สิ่งต่างๆเหล่านี้ ไม่ถือว่าเป็นบิดอะห์ที่ถูกตำหนิ หรือ เป็นบิดอะห์ที่ต้องห้าม เพราะมันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตในโลกนี้ 

         ท่านนบี มูฮัมมหัด ได้ห้ามก็คือการอุตริกรรมของผู้คนขึ้นมาแล้วมายึดถือเป็นศาสนา ทั้งที่บทบัญญัติเหล่านั้นไม่มีมาจากอัลลอฮฺ และจากรอซูลของพระองค์ ดังนั้นการอุตริกรรมทางศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต และถือว่าเป็นบาปที่ได้รับการสาปแช่งจากอัลลอฮฺ ซุบหานาฮูวาตาอาลา เพราะคนที่ได้อุตริกรรมขึ้นมาในศาสนานั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่มาตำหนิอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ เหมือนกับว่า ศาสนาของอัลลอฮฺยังไม่สมบูรณ์ สมควรได้รับการเพิ่มเติม และอีกประการหนึ่งเหมือนกับว่า ผู้ที่ทำการอุตริกรรมในศาสนานั้น รู้ดีกว่าอัลลอฮฺในบทบัญญัติของพระองค์ ถือว่าเป็นการกระทำที่น่าเกลียด ที่น่าตำหนิ และต้องต่อต้านการกระทำเหล่านี้ 

       และคนที่กระทำการอุตริกรรมทางศาสนานั้นถือว่า เป็น บุคคลที่ทำลายศาสนาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อผู้คนจำนวนได้ปฏิบัติตามบิดฮะห์ในศาสนา ก็แสดงว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติศาสนาของอัลลอฮฺ เพราะมันเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้คิดขึ้นมา แล้วให้มันเป็นศาสนา แต่ศาสนาที่เราจะต้องปฏิบัตินั้น คือศาสนาที่มีบทบัญญัติมาจากอัลลอฮฺ และได้รับความพอใจจากพระองค์ดังคำดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า

 

         "แท้จริงศาสนา ณ อัลลอฮ์นั้นคือ อัลอิสลาม และบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ มิได้ขัดแย้งกันนอกจากหลังจากที่ได้รับความรู้มายังพวกเขาเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากความอิจฉาริษยาระหว่างพวกเขาเอง และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์แล้วไซร้ แน่นอนอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระ"

(อาละอิมรอน : 19)


         อิสลาม คือ ศาสนาของอัลลอฮฺที่พระองค์ได้มีบทบัญญัติมายังมวลมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิตด้วยความสงบสุข ดังนั้นหากอยากจะได้รับความพอพระทัยจากอัลลอฮฺเราจะต้องปฏิบัติในหลักการอิสลาม ไม่ใช่เราปฏิบัติตามความรู้สึกนึกคิดของเรา หรือเราปฏิบัติตามสิ่งที่เราเห็นดีว่าน่าจะนำมาปฏิบัติ โดยไม่มีที่มาทางบทบัญญัติได้ให้การยืนยันในเรื่องนั้นๆ หรือปฏิบัติตามบรรพชนรุ่นก่อนที่เขาสืบทอดมา โดยที่คิดเอาเองว่าสิ่งนั้น คือศาสนา สิ่งนั้นเมื่อปฏิบัติแล้วจะได้รับผลบุญ

        การปฏิบัติศาสนานั้นเราต้องให้ความสำคัญ ในหลักฐานที่มาจากอัลกุรอาน และอัซซุนนะห์ ที่ชัดเจนไม่ใช่มาจากการอุตริกรรมที่มีใครคิดค้นขึ้นมา เพราะผลบุญที่เราปฏิบัติผู้ที่จะให้ผลบุญแก่เรา คือ อัลลอฮฺ ซุบหานาฮูวาตาอาลา เมื่อเราไม่ได้ทำตามพระองค์เราจะผลบุญจากพระองค์ได้อย่างไร หากเราไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางของอิสลามของพระองค์ พระองค์ก็ไม่ต้องการในสิ่งที่เรากระทำไป เพราะไม่ครบเงื่อนไขของการกระทำอิบาดะห์ คือ

๑. มีความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺไม่มีเจตนาใดๆแอบแฝง

 

๒. ปฏิบัติตามแนวทางของท่านรอซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮู อะลัยอิวะสัลลัม

        ดังนั้นเราจะต้องต่อสู้ขจัดสิ่งที่เป็นการอุตริกรรมขึ้นมาในศาสนา เพื่อรักษาอิสลามอันบริสุทธิ์ และเพื่อเราจะได้รับความเมตตาจากอัลลอฮฺ เราจะได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์ 

         ปัจจุบันหนึ่งในสาเหตุที่ประชาชาติอิสลามต้องประสบกับความตกต่ำ ก็เนื่องจากการหันหลังหลักคำสอนของศาสนาที่ถูกต้อง แต่กลับไปยึดถือปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มีที่มาทางศาสนา จึงเป็นสาเหตุให้บรรดาประชาชาติอิสลามมีความแตกแยก ทั้งที่ในอดีตมุสลิมมีความเข้มแข็งเป็นที่น่าเกรงขราม และมุสลิมมีความเจริญก้าวหน้าในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การเมืองการปกครองมุสลิมมีกองทัพที่เข้มแข็ง มุสลิมมีเศษฐกิจที่ดี ก็เพราะมุสลิมได้ปฏิบัติศาสนาตามแนวทางของท่านนบี มูฮัมหมัด อย่างเคร่งครัด และไม่มีการอุตริกรรมขึ้นมาในศาสนา

ขออัลลอฮฺได้โปรดแก้ไขปรับสภาพของบรรดามุสลิมให้กลับมาสู่หนทางที่ถูกต้องของพระองค์ …. อามีน

 


والله أعلم