การบอยคอตสินค้าที่เป็นศัตรูกับอิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  7238

 

การบอยคอตสินค้าที่เป็นศัตรูกับอิสลาม 

 

แปลและเรียบเรียง  อ.กิสมัต ปาทาน

 

คำถาม 

 

         ศาสนาอนุญาตให้มีการติดต่อซื้อขายกับยิวหรือบริษัทที่มียิวเป็นเจ้าของหรือมีผู้ถือหุ้นเป็นยิวหรือเป็นบริษัทที่มีสาขาอยู่ในอิสราเอลหรือไม่ ?
 

         ฉันเคยได้ยินมุสลิมบางคนกล่าวว่า ศาสนาอิสลามห้ามการติดต่อซื้อขายกับยิวในทุกกรณี เท่าที่ฉันเคยได้เรียนมาบ้างนั้น ฉันเคยได้ยินมาว่า สมัยท่านนบีมุฮัมมัด หรือแม้แต่ตอนที่ชาวมุสลิมอยู่ในภาวะสู้รบกับชาวยิวนั้น ท่านนบี  ก็มิได้ห้ามการติดต่อซื้อขายกับยิวแต่อย่างใด และตอนที่ท่านนบี  เสียชีวิต โล่ของท่านที่ท่านเคยใช้ในการสงครามก็ยังติดจำนำกับยิวคนหนึ่งในเมืองมาดีนะห์ ข้าพเจ้าจึงขอคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยครับ ? 

 

 

คำตอบ 

 

ประการที่ 1 

 

          ในกรณณีทั่วไปนั้นการติดต่อซื้อขายกับยิวนั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาอณุญาตให้กระทำได้ โดยอ้างหลักฐานจากการที่ท่านนบี  และศอฮาบะห์ ได้ติดต่อซื้อขายกับชาวยิวในเมืองมาดีนะห์ ทั้งการกู้เงิน การจำนำและอื่นๆที่เป็นการค้าขาย สิ่งที่ฮาลาลในศาสนา แต่ชาวยิวเหล่านั้นเป็นชาวยิวที่ได้มีพันธะสัญญาได้รับการคุ้มครองจากมุสลิมหรือที่เรียกว่า “อะห์ลุ้ลอะหดฺ” (أهل العهد) หรือชาวสัญญา ซึ่งหากคนใดในหมู่พวกเขาละเมิดสัญญา ก็จะถูกประหารชีวิตหรือเนรเทศ แม้กระนั้นก็ตามยังมีการระบุถึงหลักฐานที่อนุญาตให้ทำการติดต่อซื้อขายกับผู้ปฏิเสธถึงแม้จะเป็นชาวสงครามก็ตาม 

         อิหม่ามบุคอรีย์ ได้กำหนดหัวข้อหนึ่งในหนังสือของท่านว่า “การซื้อขายกับมุชริกีนและชาวสงคราม” (باب الشراء والبيع مع المشركين وأهل الحرب) ซึ่งท่านได้บันทึกจากรายงานของท่านอับดุลรอฮมานบินอบีบักร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา (ท่านอับดุลลอฮมาน)ได้กล่าวว่า 

“ครั้งหนึ่งพวกเราอยู่กับท่านนบี  ได้มีชายมุชริกีนคนหนึ่งเข้ามาหาพร้อมกับแกะตัวหนึ่ง 

ท่านนบี  จึงได้ถามว่า “เป็นของขายหรือของที่จะให้เปล่า(โดยไม่คิดราคา)” 

ชายคนนั้นตอบว่า “เป็นของขาย” 

ท่านนบี  จึงได้ซื้อแกะจากชายคนนั้น” 

(บันทึกโดยบุคอรีย์ 2216)

 อิหม่ามนะวาวีย์ รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า 

        “บรรดา(อุละมาอฺ)มุสลิมีนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในเรื่องการอนุญาตให้ติดต่อค้าขายกับผู้ที่มีสัญญาได้รับการคุ้มครองจากชาวมุสลิม (อะห์ลุ้ล ซิมมะห์) หรือผู้ปฏิเสธคนอื่นๆ ในทุกๆสิ่งที่เป็นฮาลาล แต่ไม่เป็นที่อนุญาตให้มุสลิมขายอาวุธหรือสิ่งที่ใช้ในการสงคราม ให้กับผู้ปฏิเสธที่ทำสงคราม (อะห์ลุ้ลหัรบฺ) หรือสิ่งที่สนับสนุนศาสนาของพวกเขา" 

        ท่านอิบนุบัตเตาะห์ ได้กล่าวว่า  “การติดต่อค้าขายกับผู้ปฏิเสธนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ ยกเว้นในสิ่งที่พวกเขาจะนำไปใช้ในการต่อสู้กับชาวมุสลิม” 

         มีบันทึกในหนังสืออัลมัจมูอฺว่า “เป็นที่เอกฉันท์ว่าไม่อนุญาตให้ขายอาวุธต่อผู้ปฏิเสธที่เป็นชาวสงคราม(อะห์ลุ้ล หัรบฺ)” ซึ่งเหตุผลในเรื่องดังกล่าวนั้นชัดเจน กล่าวคือถ้าอาวุธที่ขายจะนำไปใช้ในการเข่นฆ่าชาวมุสลิม 


ประการที่ 2 

        เป็นสิ่งที่ชัดเจนแล้วว่าศาสนาสนับสนุนการทำญิฮาด การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ ต่อศัตรูของอิสลามซึ่งได้แก่ชาวยิว หรือผู้ปฏิเสธอื่น ๆ ด้วยชีวิตหรือทรัพย์สิน และทุกสิ่งที่สามารถทำลายเศรฐกิจของพวกเขาให้อ่อนแอได้ ซึ่งแน่นอนว่าทุนทรัพย์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำสงครามไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน

       ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่มุสลิมทั้งหลายต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องการทำความดี เรื่องการตักวา(ยำเกรง) และการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ ทุกสถานที่ทุกโอกาส อันที่จะทำให้พี่น้องมุสลิมมีความมั่นคงในศาสนา ชีวิตและทรัพย์สิน ให้ประสบชัยชนะ และสามารถปฎิบัติศาสนบัญญัติต่างๆ ได้โดยไม่มีสิ่งใดมาขัดขวาง 

       นอกจากนี้มุสลิมยังจำเป็นต้องช่วยเหลือพี่น้องของเขาในทุก ๆ ทางที่ทำได้เพื่อสนับสนุนพี่น้องของเขาในการต่อสู้กับผู้ปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวคริสต์ และอื่นๆ ท่านนบี  ได้กล่าวว่า 

“พวกเจ้าจงญิฮาด(ต่อสู้)บรรดามุชริกีนด้วยทรัพย์สินของพวกเจ้า ด้วยชีวิตของพวกเจ้าและด้วยลิ้นของพวกเจ้า” 

(บันทึกโดยอบูดาวูด)

         เชคอัลบานีย์ ได้บอกว่าหะดีษนี้เป็นหะดีษที่ศอเฮียะฮฺ ฉะนั้นแล้ว มุสลิมต้องช่วยเหลือบรรดามุญาฮิดีนในทุกๆสิ่ง ทุกๆโอกาส ที่สามารถทำได้ และพยายามทุกวิถีทางที่จะนำความมั่นคงแข็งแรงมาสู่ศาสนาและประชาชาติ ในขณะเดียวกันก็กระทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ศัตรูอิสลามนั้นอ่อนแอ เช่นไม่สนับสนุนด้านการเงินต่อพวกเขาโดยจ้างพวกเขาทำงาน เป็นพนักงาน เป็นนักบัญชี เป็นวิศวกรหรืออื่นๆ ที่เป็นการสนับสนุนให้พวกเขามีรายได้ใช้ในการต่อสู้ทำลายอิสลาม 

         ผลสรุปคือ ผู้ใดก็ตามที่บอยคอตสินค้าของคนที่กำลังต่อต้านอิสลามและกำลังเข่นฆ่าทำลายล้างประชาชาติมุสลิมโดยที่ต้องการแสดงออกถึงการไม่สนับสนุนพวกเขา ต้องการทำให้เศษฐกิจของพวกเขาอ่อนแอเพื่อไม่ให้มาสร้างความอธรรมต่อชาวมุสลิมแล้ว แน่นอนเขาย่อมได้รับผลบุญและการตอบแทนที่ดี ต่อการเนียต(เจตนา) ครั้งนี้อินชาอัลลอฮฺ 

          และผู้ใดที่ติดต่อค้าขายกับพวกเขา โดยยึดหลักการเดิมของอิสลามที่ว่าด้วย การอนุญาตให้ติดต่อค้าขายกับบรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลาย โดยเฉพาะในสิ่งที่เขามีความจำเป็นต้องใช้ ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ อินชาอัลลอฮฺ และไม่ถือเป็นการบกพร่องในเรื่องจุดยืนเรื่องวาลาอฺและบารออฺ ในอิสลามแต่อย่างใด 


          เหตุการณ์นี้ได้ถูกถามต่อสภาอุลามาอ (อัลลุจนะห์ อัดดาอิมะห์) ของซาอุดิอารเบียว่า อะไรคือฮุก่มของการละทิ้งการติดต่อค้าขายกับมุสลิมแต่กลับไปค้าขายกับผู้ปฏิเสธ การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่? 

 

คำตอบ

         ตามหลักแล้ว การที่มุสลิมซื้อขายในสิ่งที่ฮาลาลกับคนมุสลิมหรือผู้ปฏิเสธ นั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาติให้กระทำได้ ซึ่งท่านนบี  ได้ซื้อจากชาวยิว แต่การที่มุสลิมหลีกเลี่ยงการติดต่อซื้อขายกับมุสลิมโดยปราศจากเหตุผลเช่น การโกง หรือการเพิ่มราคาสินค้าอย่างไม่ยุติธรรม สินค้าไม่มีคุณภาพ หรือเป็นเพราะชอบที่จะซื้อขายกับผู้ปฏิเสธโดยไม่มีสาเหตุอื่นนั้นถือเป็นสิ่งที่ต้องห้าม(หะรอม)   เนื่องจากเป็นการแสดงออกถึงการสนับสนุนผู้ปฏิเสธ พอใจในการกระทำของพวกเขา เปรียบเสมือนการจงรักภักดีต่อผู้ปฏิเสธ

         แต่ในกรณีที่มีเหตุผล สมควรในการไม่ติดต่อค้าขายกับมุสลิมด้วยกัน เช่น การโกง สินค้าไม่มีคุณภาพ สินค้าแพงเกินจริง เช่นนี้แล้วจำเป็นที่เราต้องแนะนำตักเตือนเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น หากการตักเตือนนี้ได้ผลเราก็ควรซื้อขายกับมุสลิมด้วยกัน หากไม่ได้ผล ก็อนุญาตให้ติดต่อซื้อขายกับผู้อื่นที่มีความยุติธรรมและซื่อสัตย์ได้ 

( ฟัตวา อัลลุจนะห์ 13/18)

 วัลลอฮุอะอลัม والله أعلم 

 

ที่มา http://islamqa.info/ar/20732