ละกุมดีนุกุมวะลิยะดีน
รวบรวมและแปลโดย อาบีดีณ โยธาสมุทร
ท่านอบูฮาติม อั้รรอซีย์ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวไว้หนังสือตัฟซีรของท่าน ความว่า “ รายงานจาก ซะอี้ด อิบนิ มีนา ผู้เป็นทาสของ อบิ้ลบัคตะรีย์ ได้กล่าวไว้ว่า อั้ลวะลี้ด อิบนุ มุฆีเราะฮฺ ,อั้ลอ้าส อิบนุ วาอิ้ล , อั้สวัด อิบนุ้ล มุตต่อลิบและ อุมัยยะฮฺ อิบนุ ค่อลัฟ ได้มาพบกับท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม แล้วพากันพูดขึ้นว่า
“มุฮัมหมัด เจ้าจงมาสักการะและภักดีต่อสิ่งที่พวกเราให้การสักการะและภักดี และพวกเราก็จะทำการสักการะและภักดีต่อสิ่งที่เจ้ากำลังให้การสักการะและภักดีอยู่ และทั้งพวกเราและเจ้า จงเข้ามามีส่วนร่วนต่อกันในเรื่องราวของพวกเราทั้งหมดทั้งปวงกันเสียเถิด เพราะถ้าหากว่าพวกเราเป็นฝ่ายที่ตั่งอยู่บนสิ่งที่ถูกต้องกว่าสิ่งที่เจ้าได้ตั้งตนอยู่แล้วละก็ เจ้าเองก็จะได้รับเอาส่วนของเจ้าจากความถูกต้องดังกล่าวไปเสีย แต่ถ้าหากว่าสิ่งที่เจ้าได้ตั้งตนอยู่บนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าสิ่งที่พวกเราเป็นอยู่แล้วละก็ พวกเราเองก็จะได้รับเอาส่วนของพวกเราจากความถูกต้องดังกล่าวมา”
แล้วอัลลอฮฺก็ทรงประทาน
( قل يا أيها الكافرون لاأعبدماتعبدون )
“จงพูดว่า พวกปฏิเสธทั้งหลาย ข้าจะไม่สักการะและภักดีต่อสิ่งที่พวกเจ้าให้การสักการะและภักดีกันอยู่”
จนกระทั้งสิ้นสุดซูเราะฮฺ ลงมา” จบคำพูดของท่าน (อั้ตตัฟซี้รบิ้ลมะอฺซู้ร เลขที่ ๒๐๐๗๙)
ท่านอั้ลบะฆ่อวีย์ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ในหนังสือตัฟซี้รของท่าน ความว่า “ สำหรับพวกเจ้าคือศาสนาของพวกเจ้า (การตั้งภาคี) และสำหรับข้าก็คือ ศาสนาของข้า (อั้ลอิสลาม)”
จบคำพูดของท่าน (มะอาลิมุ้ตตันซี้ล/ ๑๔๔๐)
ท่านอิบนุกะษี้ร ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ในหนังสือตัฟซี้รของท่าน ว่า
ซูเราะฮฺนี้ เป็นซูเราะแห่งการประกาศความบริสุทธิ์จากพฤติกรรมที่พวกที่ตั้งภาคีได้กระทำกัน ท่านยังได้กล่าวไว้อีกความว่า ดังนั้น ท่านจึงได้ประกาศแสดงตนว่ามีความบริสุทธิ์จากทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้เป็นกันอยู่ ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ที่ให้การสักการะและภักดีผู้หนึ่งนั้น เป็นที่แน่นอนเหลือเกินว่าเขาผู้นั้นจะต้องมีพระผู้ที่เป็นผู้ได้รับการสักการะและภักดีเป็นของตน ที่ตนกระทำการสักการะและภักดีต่อพระผู้นั้นอยู่ ทั้งยังต้องมีพิธีกรรมแห่งการสักการะและภักดีที่ตนใช้ในการดำเนินตนสู่พระผู้นั้นอีกด้วย ซึ่งท่านร่อซู้ลตลอดจนบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามท่านนั้น ต่างกระทำการสักการะและภักดีต่ออัลลอฮฺ ด้วยกับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้
ด้วยเหตุนี้ ถ้อยคำแห่งอั้ลอิสลามจึงได้แก่ถ้อยคำที่ว่า “ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮฺ มุฮัมมะดุ้รร่อซูลุ่ลลอฮฺ” หมายถึง ไม่มีผู้ใดทั้งสิ้นที่เป็นพระผู้ที่ได้รับการสักการะและภักดีนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น และไม่มีวิถีทางสายใดทั้งสิ้น ที่จะนำไปสู่พระองค์ได้เว้นเสียแต่วิถีทางที่ท่านร่อซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ได้นำมาเท่านั้น ในขณะทีทางฝ่ายของพวกที่ตั้งภาคี พวกเขากลับกระทำการสักการะและภักดีต่อผู้อื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮฺ ด้วยพิธีกรรมการสักการะที่อัลลอฮฺไม่ได้ทรงอนุมัติไว้
และด้วยเหตุนี้เอง ท่านร่อซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม จึงได้กล่าวกับพวกเขาว่า
( لكم دينكم ولي دين ) “สำหรับพวกเจ้าคือศาสนาของพวกเจ้าและสำหรับข้าก็คือ ศาสนาของข้า”
เช่นเดียวกับที่พระองค์ พระผู้ทรงสูงส่ง ได้ตรัสไว้ว่า
( وإن كذبوك فقل لي عملي ولكم عملكم أنتم بريئون مما أعمل وأنا بريء مما تعملون )
“และหากว่าพวกเขาปฏิเสธต่อเจ้ากันแล้วละก็ เจ้าจงกล่าวไปว่า สำหรับข้าก็คือกิจการของข้า และสำหรับพวกเจ้าก็คือกิจการของพวกเจ้า พวกเจ้าเป็นพวกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ จากสิ่งที่ข้าได้กระทำอยู่ และข้าเองก็เป็นผู้ที่บริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำกัน”
และทรงตรัสไว้ว่า
( لنا أعمالنا ولكم أعمالكم ) “สำหรับพวกเราก็คือกิจการของพวกเราและสำหรับพวกเจ้าก็คือกิจการของพวกเจ้า”
และท่านอัลบุคอรีย์ได้กล่าวไว้ว่า มีการกล่าวกันว่า “สำหรับพวกเจ้าคือศาสนาของพวกเจ้า (การปฏิเสธ) และสำหรับข้าก็คือ ศาสนาของข้า(อั้ลอิสลาม)” จบคำพูดของท่านอิบนุกะษี้ร ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ
(ตั้ฟซีรุ้ลกุ้รอานิ้ลอะซีม/๔/๗๒๘)
ท่าน อั้ซซะอฺดี้ย์ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺได้กล่าวไว้ในหนังสือตัฟซี้รของท่านว่า และด้วยเหตุนี้เองพระองค์จึงได้ทรงจำแนกระหว่างทั้งสองกลุ่มนี้ และได้ทรงแบ่งแยกทั้งสองจำพวกนี้ออกจากกัน โดยทรงตรัสไว้ว่า
( لكم دينكم ولي دين ) “สำหรับพวกเจ้าคือศาสนาของพวกเจ้าและสำหรับข้าก็คือ ศาสนาของข้า”
ดังที่พระองค์พระผู้ทรงสูงส่งได้ทรงตรัสไว้ว่า
( قل كل يعمل على شاكلته ) “จงกล่าวเถิดว่า ทุกๆคนล้วนแต่จะกระทำกันตามแต่ชนิดของตน”
( أنتم بريئون مما أعمل وأنا بريء مما تعملون )
“พวกเจ้าเป็นพวกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆจากสิ่งที่ข้าได้กระทำอยู่ และข้าเองก็เป็นผู้ที่บริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำกัน”
สิ้นสุดคำพูดของท่าน. (ตัยซีรุ้ลกะรีมิ้รเราะฮฺมาน/๙๓๖)
ท่านมุฮัมหมัด อมีน อั้ชชังกีตี้ย์ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ใน หนังสือ ตัฟซี้รของท่านว่า พระดำรัสนี้อยู่ในมุมมองเดียวกันกับพระดำรัสที่ผ่านมาแล้วก่อนหน้านี้ในซูเราะฮฺยูนุสที่ว่า
( أنتم بريئون مما أعمل وأنا بريء مما تعملون )
“พวกเจ้าเป็นพวกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆจากสิ่งที่ข้าได้กระทำอยู่ และข้าเองก็เป็นผู้ที่บริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำกัน”
และเช่นเดียวกันกับพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า
( لنا أعمالنا ولكم أعمالكم ) “สำหรับพวกเราก็คือกิจการของพวกเราและสำหรับพวกเจ้าก็คือกิจการของพวกเจ้า”
ซึ่งในพระดำรัสดังกล่าวมิได้มีการให้การรับรองต่อพวกเขาในศาสนาที่พวกเขาได้ยึดถือกันอยู่แต่ประการใด หากแต่เป็นพระดำรัสที่อยู่ในรูปแบบของการขู่คาดโทษต่างหาก ดังเช่นพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า
( وقل الحق من ربكم فمن شاء فليؤمن ومن شاء فليكفر إنا أعتدنا للظالمين نارا أحاط بهم سرادقها )
“และจงกล่าวว่า สัจธรรมนั้นมาจากพระเจ้าของพวกเจ้า ดังนั้นผู้ใดประสงค์เขาก็จงศรัทธาเถิด และผู้ใดประสงค์เขาก็จงปฏิเสธเสีย แน่นอนว่าเราได้ตระเตรียมนรกไว้สำหรับพวกที่อธรรมแล้ว ซึ่งกำแพงของมันได้ปิดล้อมพวกมันไว้โดยรอบ”
อีกทั้งในซูเราะฮฺนี้เองยังมี พระดำรัสของพระองค์ที่ว่า
( قل ياأيها الكافرون ) “จงกล่าวว่า พวกปฏิเสธทั้งหลาย”
ซึ่งเป็นการเล่าถึงลักษณะที่เพียงพอแล้วว่าการสักการะและภักดีของพวกเขาตลอดจนศาสนาของพวกเขานั้นคือ การปฏิเสธและพระผู้ทรงเป็นสัจธรรมยังได้ตรัสกับพวกเขาอีกว่า
( لا أعبد ماتعبدون ) “ข้าจะไม่ทำการสักการะและภักดีต่อสิ่งที่พวกเจ้าได้สักการะและภักดีกันอยู่”
ทั้งนี้ เนื่องจากมันเป็นการสักการะและภักดีที่เป็นเท็จ เป็นการสักการะและภักดีของพวกปฏิเสธ ซึ่งหลังจากทั้งหมดทั้งปวงนี้ ถ้าหากพวกเจ้ายังยืนการที่จะไม่เอาอะไรอื่นนอกจากสิ่งที่พวกเจ้าเป็นกันอยู่นี้เท่านั้นแล้วละก็ ดังนั้น สำหรับพวกเจ้าก็คือศาสนาของพวกเจ้าและสำหรับข้าก็คือ ศาสนาของข้า สิ้นสุดคำพูดของท่าน
(อัดว้าอุ้ลบะยาน เล่มที่ ๙)
วั้ลลอฮุอะอฺลัม วะศ็อลลัลลอฮุอลามุฮัมมัด วะอาลิฮีวะเศาะฮฺบิฮีอัจมะอีน
อ้างจาก : https://library.islamweb.net