จุดยืนของมุสลิมกับข้อพิพาทระหว่างศอหาบะห์
เรียบเรียงโดย อิสมาอีล กอเซ็ม
มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
การเผยแผ่ศาสนาของท่านนบี มูฮัมหมัด เริ่มต้นการเผยแผ่เป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องทำการเผยแผ่แบบลับอยู่เป็นเวลาสามปี เพราะสภาพการณ์ในขณะนั้นไม่อำนวยให้ทำการเผยแผ่แบบเปิดเผย และขณะนั้นบรรดามุสลิมอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ ไม่มีรัฐอิสลามคอยให้การปกป้อง หลังจากผ่านไปสามปีอัลลอฮฺก็ได้มีคำสั่งให้ท่านนบี ทำการเรียกผู้คนมาสู่อิสลามด้วยวิธีการที่เปิดเผย เมื่อจำนวนมุสลิมได้เพิ่มขึ้นถึงทั้งผู้หญิง และผู้ชาย จำนวนหกสิบคน และมีผู้ที่มีเกียรติจากหลายเผ่าที่ทำการรับอิสลาม
แต่เมื่อท่านนบี ได้ทำการเผยแผ่แบบเปิดเผย การทำร้ายของชาวมักกะห์ที่มีต่อมุสลิมที่อ่อนแอก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น แต่อัลลอฮฺได้ให้บรรดามุสลิมอดทนต่อการทำร้ายจากบรรดาผู้ตั้งภาคี อัลลอฮฺไม่ได้มีคำสั่งใช้ให้บรรดามุสลิมทำการสู้รบกับบรรดามุชรีกีน(ผู้ตั้งภาคี) และในปีที่สิบสามในการแต่งตั้งท่านให้เป็นนบีนั้น อัลลอฮฺ ได้มีคำสั่งให้บรรดามุสลิมให้ทำการอพยพไปยังเมืองมาดีนะห์ เนื่องจากในเมืองมาดีนะห์มีมุสลิมที่ได้รับอิสลามที่พร้อมจะให้การช่วยเหลือสนับสนุนกับท่านนบี และบรรดาเหล่าศอหาบะห์ของท่าน จึงได้ทำการอพยพเมื่ออัลลอฮฺได้มีคำสั่งให้อพยพไปยังเมืองมาดีนะห์
เมื่อท่านนบีมูฮัมหมัด ได้อพยพไปยังเมืองมาดีนะห์ท่านก็สามารถที่สร้างสังคมมุสลิมโดยเอาหลักการอิสลามมาใช้เป็นกฎหมายในการปกครอง และทำให้การปกครองในยุคนั้นมีความเข้มแข็ง มุสลิมมีรัฐที่ปกครองตนเอง และมีกองกำลังที่สามารถจะปกป้องประชาชนจากการรุกรานของเหล่าศัตรู มุสลิมมีความเข้มแข็งขึ้นมาเรื่อยๆ อยู่บนความเป็นเอกภาพไม่มีการสู้รบด้วยกัน และเมื่อท่านนบี มูฮัมหมัด ได้เสียชีวิตไป บรรดามุสลิมก็ได้ทำการคัดเลือก มีการปรึกษาหารือ จนกระทั่งได้ผู้ดำรงตำแหน่งต่อจากท่านนบี ในการปกครองรัฐอิสลาม และในการดำเนินกิจการของประเทศ
โดยที่บรรดามุสลิมได้คัดสรรท่านอาบูบักรฺ อัซซิดดีก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งการปกครองต่อจากท่านนบี แต่ในยุคของท่าน อาบูบักรฺ อัซซิดดีก ก็มีความวุ่นวายได้เกิดขึ้นในการปกครองของท่าน เนื่องจากมีคนกลุ่มหนึ่งได้ละทิ้งอิสลาม โดยมีการปฏิเสธที่จะจ่ายซากาต หลังจากท่านนบี มูฮัมหมัด ได้เสียชีวิตไปแล้วนั้นพวกเขาคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องจ่ายซะกาตอีกต่อไป ท่านอาบูบักรฺเราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ก็ได้ปรึกษาหารือ ในเรื่องดังกล่าวจนได้ข้อสรุปว่า จำเป็นจะต้องทำการสู้รบกับบุคคลที่ปฏิเสธการจ่ายซากาต และท่านก็สามารถแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้
แต่ปัญหาการเผชิญหน้าระหว่างมุสลิมยังไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งในยุคของท่านฮุมัร บิน คอตต็อบ รอฎิยัลลอฮูอันฮู ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นคอลีฟะห์ มุสลิมก็ยังคงอยู่โดยปราศจากการขัดแย้งในกลุ่มมุสลิม แต่เริ่มมีข้อพิพาท และมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป เมื่อเข้าสู่ยุคของท่านอุสมาน บิน อัฟฟาน ในการปกครองรัฐอิสลาม เริ่มมีกระแสปลุกปั่นให้มีความเกลียดชังท่านอุสมาน บิน อัฟฟาน รอฎิยัลลอฮูอันฮู และผู้ที่ปลุกปั่นสร้างความเกลียดชังแก่ท่านอุสมาน ก็คือ อับดุลลอฮฺ อิบนู ซาบาฮฺ และพรรคพวกของเขา ก็สามารถมารวมผู้คนมาปิดล้อมบ้านของท่านอุสมาน รอฎิยัลลอฮูอันฮู และจบลงด้วยกับการที่ท่าน อุสมานรอฎิยัลลอฮูอันฮูถูกสังหาร
การเสียชีวิตของท่านอุสมาน อิบนู อัฟฟาน ถือว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ได้นำมุสลิมให้เกิดการสู้รบระหว่างกัน เสียเลือดเนื้อ ทรัพย์สิน และมีบุคคลสำคัญได้ถูกสังหาร หลังจากท่าน อุสมาน บิน อัฟฟานได้ถูกสังหาร ท่านอะลี บิน อะบีตอลิบ รอฎิยัลลอฮูอันฮู ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็น คอลีฟะห์ ท่านก็ต้องเผชิญหน้า กับท่าน มูอาวิยะห์ บิน อะบี ซุฟยาน รอฎิยัลลอฮูอันฮูมา ในประเด็นที่ท่านอุสมาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้ถูกสังหาร โดยที่ท่าน อะลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ต้องการให้ท่าน มูอาวิยะห์ มาทำการสัตยาบันต่อท่าน ในการเป็นคอลีฟะห์ผู้นำมุสลิม แต่ท่านมูฮาวิยะห์มีความเห็นว่า ให้ท่านอะลี ทำการจับตัวบุคคลที่ได้สังหารท่าน อุสมาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน แล้วท่านจะยอมรับการให้สัตยาบัน กับ ท่านอะลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ จากมุมมองตรงนี้ ทำให้เป็นเหตุให้กองทัพของท่านทั้งสองต้องเผชิญหน้ากัน จนมีผู้ล้มตายจากทั้งสองฝ่าย แต่เหล่าศอหาบะห์ คือกลุ่มคนที่ดีที่สุดที่อัลลอฮฺได้กล่าวถึงคุณลักษณะของพวกเขาไว้ในอัลกุรอาน
قال الله تعالى :
سُجَّدًا يَبْتَغُونَ فَّارِ رُحَمَاءُ بَيْنَهُمْ تَرَاهُمْ رُكَّعًاشِدَّاءُ عَلَى الْكُمُّحَمَّدٌ رَّسُولُ اللَّهِ وَالَّذِينَ مَعَهُ أَوْرَاةِ وَمَثَلُهُمْ ثَرِ السُّجُودِ ذَٰلِكَ مَثَلُهُمْ فِي التَّفَضْلًا مِّنَ اللَّهِ وَرِضْوَانًا سِيمَاهُمْ فِي وُجُوهِهِم مِّنْ أَلِيَغِيظَ بِهِمُ اسْتَوَىٰ عَلَىٰ سُوقِهِ يُعْجِبُ الزُّرَّاعَشَطْأَهُ فَآزَرَهُ فَاسْتَغْلَظَ فَفِي الْإِنجِيلِ كَزَرْعٍ أَخْرَجَ مِنْهُم مَّغْفِرَةً وَأَجْرًا عَظِيمًاالْكُفَّارَ وَعَدَ اللَّهُ الَّذِينَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ ( 29 )
"มุฮัมมัดเป็นร่อซูลของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับเขา เป็นผู้เข้มแข็งกล้าหาญต่อพวกปฏิเสธศรัทธา เป็นผู้เมตตาสงสารระหว่างพวกเขาเอง เจ้าจะเห็นพวกเขาเป็นผู้รูกั๊วะ ผู้สุญูด โดยแสวงหาคุณความดีจากอัลลอฮฺและความโปรดปราน (ของพระองค์) เครื่องหมายของพวกเขาอยู่บนใบหน้าของพวกเขาเนื่องจากร่องรอยแห่งการสุญูด นั่นคืออุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัตเตารอต และอุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัลอินญีล
ประหนึ่งเมล็ดพืชที่งอกหน่อหรือกิ่งก้านของมันออกมาแล้วทำให้มันงอกงาม แล้วมันก็เติบโตแข็งแรงและทรงตัวอยู่ได้บนลำต้นของมัน นำความปลื้มปิติมาให้แก่ผู้หว่าน เพื่อที่พระองค์จะก่อความโกรธแค้นแก่พวกปฏิเสธศรัทธา เพราะพวกเขา (มุสลิมีน) และอัลลอฮฺทรงสัญญาบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลายในหมู่พวกเขาว่าจะได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง"
قال الله تعالى :
اللَّهُ عَنْهُمْ وَرَضُوا وَالَّذِينَ اتَّبَعُوهُم بِإِحْسَانٍ رَّضِيَ وَالسَّابِقُونَ الْأَوَّلُونَ مِنَ الْمُهَاجِرِينَ وَالْأَنصَارِيمُدِينَ فِيهَا أَبَدًا ذَٰلِكَ الْفَوْزُ الْعَظِعَنْهُ وَأَعَدَّ لَهُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي تَحْتَهَا الْأَنْهَارُ خَالِ ( 100 )
"บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ(ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์ด้วย
และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่าง พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง"
ดังนั้นประเด็นความขัดแย้งของเหล่าศอหาบะห์ ถือว่าเป็นประเด็นที่มีการวินิจฉัยระหว่างพวกเขา ใครได้วินิจฉัยถูกต้องเขาก็ได้รับผลบุญสอง ใครวินิจฉัยผิดพลาดก็ได้รับผลบุญหนึ่ง ดังนั้นกับความดีอันมากมายของพวกเขาที่มีต่อศาสนา ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ความดีงามของพวกเขาต้องลดลง หรือความขัดแย้งนั้นจะมาทำลายความน่าเชื่อถือ เพราะพวกเขาเป็นมนุษย์ปถุชนธรรมดา ที่ไม่สามารถหลีกเหลี่ยงความผิดพลาดได้ ความขัดแย้งการสู้รบระหว่างพวกเขานั้น เรานั้นไม่สามารถไปวิพากษ์วิจารณ์ หรือกล่าวหาศอหาบะห์คนหนึ่งคนใด เป็นผู้ที่ผิด หรือเป็นผู้ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยม เช่น
การกล่าวศอหาบะห์ อัมรฺ อิบนุล อาส ว่าเป็นผู้ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมมีความเจ้าเล่ห์ต่อท่าน อะลี รอฎิยัลลอฮูอันฮู หรือ ตำราบางเล่มได้กล่าว ตำหนิท่าน มูอาวิยะห์ ในการที่ท่านได้ทำการต่อสู้กับท่านอะลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ นั้นแค่ต้องการอำนาจการปกครอง ซึ่งการกล่าวหาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่พาดพิงไปยังเหล่าศอหาบะห์ผู้ทรงเกียรติ ที่อัลลอฮฺ ได้พอใจต่อพวกเขา ซึ่งพระองค์ได้กล่าวถึงพวกเขาไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ ดังนั้นตามหลักความเชื่อของอะลุซซุนนะห์ วัลญามาฮะห์ จะต้องไม่ไปกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างศอหาบะห์ในเชิงวิจารณ์และสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อเหล่าศอหาบะห์ของท่าน นบี
ความดีงามของเหล่าศอหาบะห์มีมากมายที่พวกเขาได้เสียสละอดทนในการเชิดชูอิสลาม และต่อสู้ทั้งแรงกายและทรัพย์สินเพื่อให้อิสลามได้สูงส่ง และด้วยความดีงามของพวกเขาอิสลามได้กระจายออกไปในทุกสารทิศในโลกใบนี้ ดังนั้นจากเหตุการณ์ที่เป็นข้อพิพาทในประวัติศาสตร์ได้มีกลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่ออิสลาม พยายามนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นประเด็นลดความน่าเชื่อถือของเหล่าศอหาบะห์ ดังนั้นหลักความเชื่อของอะลุซซุนนะห์ วัลญามาฮะห์ จะไม่พูดถึงเรื่องราวความขัดแย้งที่นำไปสู่การสู้รบและสูญเสียชีวิตระหว่างพวกเขา เช่น การสู้รบในสมรภูมิ ซิฟฟีน ระหว่างท่านมูอาวิยะห์ และท่านอะลี บิน อะบีตอลิบ ขออัลลอฮทรงพอพระทัยต่อพวกเขา หรือ ในสมรภูมิอูฐที่มีการต่อสู้ ระหว่างกองกำลังของท่าน หญิงอาฮิชะห์ รอฎิยัลลอฮูอันฮา กับท่านอะลี รอฎิยัลลอฮูอันฮู
เราจะไม่มีการพูดถึงว่าพวกเขาในทางที่เสียหาย เราจะพูดถึงพวกเขาในด้านดีเท่านั้น และอะลุซซุนนะห์ ต่างก็มีความเชื่อว่า ในหมู่พวกเขาไม่มีใครที่ไม่มีความผิดพลาด แต่ความดีงามของพวกเขามีมากกว่า ซึงมีหะดีษมากมายที่กล่าวถึงความดีของพวกเขา
في الصحيحينعن البراء بن عازب عن النبي صلى الله عليه و سلم أنه قال في الأنصار ( لا يحبهم إلا مؤمن و لا يبغضهم إلا منا فق من أحبهم أحبه الله و من أبغضهم أبغضه الله)
มีปรากฎใน ซอเอียะทั้งสอง บุคอรีย์ และมุสลิม มีรายงานจากท่าน บัรรอฮ บิน อาซิบ จากท่านนบี แท้จริงเขาได้กล่าวเกี่ยวกับชาวอันซอร์
"ไม่มีใครรักพวกเขา นอกจากผู้ศรัทธา และไม่มีใครโกรธเกลียดพวกเขา นอกจากผู้กลับกลอก
ใครที่รักพวกเขา อัลลอฮฺก็รักเขา และใครโกรธเกลียดพวกเขา เขาก็โกรธเกลียดพวกเขา"
เครื่องหมายอย่างหนึ่งของผู้ศรัทธาที่อัลลอฮรักพวกเขา ก็คือพวกเขามีความรักต่อเหล่าศอหาบะห์ และเครื่องหมายที่ชี้ถึงผู้กลับกลอก (มูนาฟิก ) ผู้ที่ไม่หวังดีต่ออิสลาม คือ เขามีความเกลียดชังต่อเหล่าศอหาบะห์ และพวกเขาพยายามที่สร้างชื่อเสียงในด้านไม่ดีแก่เหล่าศอหาบะห์ เช่น ในยุคของท่านนบี มุนาฟิกได้ฉวยโอกาสในเหตุการณ์หนึ่งเพื่อใส่ร้ายภรรยาของท่านนบี คือท่านหญิง อาฮิชะห์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา โดยใส่ร้ายภรรยาของท่านนบี ว่ามีชู้ สุดท้ายอัลลอฮฺได้ประทาน อายะห์อัลกุรอานมายืนยันถึงความบริสุทธิ์ของท่านหญิงอาฮิชะห์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา
แต่ปัจจุบันยังมีมูนาฟิกผู้กลับกลอกที่อ้างว่าตัวเองเป็นมุสลิมยังคงใส่ร้ายภรรยาของท่านนบี ทั้งที่อัลกุรอานได้ถูกประทานลงมายืนยันความบริสุทธิ์ของท่านหญิงอาฮิชะห์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา การที่พวกเขายังไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ก็เท่ากับเขาปฏิเสธอัลกุรอาน ที่เป็นคำพูดของอัลลอฮฺ แน่นอนผู้ที่ปฏิเสธอัลกุรอาน เขาก็อยู่ในสถานะของผู้ปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นมุสลิมเราต้องไม่พูดถึงเหล่าศอหาบะห์ของท่านนบี ทุกคน ในสิ่งที่เป็นความผิดพลาดของพวกเขา อันเนื่องจากความดีที่พวกเราได้กระทำ มันไม่สามารถเทียบกับความดีอันมากมายที่บรรดาศอฮาบะฮได้ทำ ดังเช่นหะดีษ
فقال رسول الله صَلَّى الله عليه وسلم" :لا تسبوا أحدًا من أصحابي، فإن أحدَكم لو أنفق مثَل أحدٍ ذهبًا ما أدرك مُدَّ أحدِهم ولا نَصِيفَهُ
"พวกท่านอย่าได้ด่าคนหนึ่งคนใดจากบรรดาศอหาบะห์ของฉัน
เพราะว่าหากคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้าหากเขาได้บริจาคทองทำภูเขาหูฮุด
ก็ไม่สามารถเทียบเท่าหนึ่งกำมือของคนหนึ่งจากพวกเขา และไม่เท่าครึ่งหนึ่งของกำมือ"
(บันทึกโดย บุคอรีย์ และมุสลิม)
คนที่ไม่มีศาสนาเท่านั้นที่เกลียดชังต่อเหล่าศอหาบะห์ ของท่านนบี และการใส่ไคล้แก่บรรดาศอหาบะห์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม นั้นถือว่าเป็นทางของบรรดาศัตรูอิสลามทั้งในอดีต และในปัจจุบันที่ใช้เป็นแนวทางในการทำลายรากฐานของอิสลาม เพราะบรรดาศอหาบะห์ คือผู้ที่เข้าใจศาสนาดีที่สุด ผู้เข้าใจอัลกุรอาน และคำพูดของท่านนบี มูฮัมหมัด ดีที่สุด การทำลายความน่าเชื่อถือของพวกเขา ก็คือการทำลายหลักการอิสลามอีกวิธีหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่จะต้องลุกขึ้นมาปกป้องเกียรติของบรรดาศอหาบะห์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม จากกลุ่มที่ไม่หวังดีต่ออิสลาม และจะต้องกล่าวสิ่งดีของพวกเขา และระงับลิ้นของเราที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องราวที่เป็นข้อพิพาท การสู้รบระหว่างพวกเขา ไปในทางที่เสียหาย เพราะอัลลอฮ์ ได้รับรองพวกเขาไว้ในอัลกุรอาน ถึงความดีงามความประเสริฐของพวกเขา และอัลลอฮ์ ทรงพอพระทัยพวกเขาทั้งหมด
ขออัลลอฮ์ได้โปรดประทานแนวทางที่เที่ยงตรงให้แก่บรรดามุสลิม ที่ได้เจริญรอยตามแนวทางของบรรพชนแห่งคุณธรรมในอดีต ที่พวกเขาเจริญตามแนวทางของท่านนบี และปกป้องเราให้รอดพ้นจากแนวทางแห่งความหลงผิด