ศิลปะที่สำคัญของวิธีการดะอฺวะฮฺ 30 ประการ
เขียนโดย : อาอิฏบินอับดิลลาฮฺอัลก็อรนีย์
แปลและเรียบเรียงโดย : อาจารย์ อับดุลฆอนี บุญมาเลิศ
ศิลปะที่สำคัญของวิธีการดะอฺวะฮฺ ประการที่ 7-9
7. ไม่โจมตีบุคคลต่าง ๆ ด้วยการเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามพวกเขา
คุณลักษณะของนักดะอฺวะฮฺนั้น จะต้องไม่โจมตีบุคคลด้วยการเอ่ยชื่อพวกเขาบนเวทีต่อหน้าสาธารณะชน สมควรอย่างยิ่งที่จะทำตามแบบฉบับที่ท่านนบี ได้กระทำโดยกล่าวว่า “มันเรื่องอะไรของคนพวกหนึ่งที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้” เพื่อให้ผู้ที่กระทำความผิดจะได้รู้สึกตัวเอง และเขาไม่รู้สึกว่าถูกประจาน แต่สำหรับผู้ที่กระทำความผิดต่อต้านอัลลอฮฺ ด้วยข้อเขียน หรือ ด้วยการบิดเบือน หรือทำการเป็นบิดอะฮฺนอกศาสนา หรือล้อเลียนในกรณีเช่นนี้ไม่เป็นที่ต้องห้ามที่นักวิชาการจะพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ผู้คนได้ทราบถึงอันตรายของบุคคลเหล่านี้
ดังที่นักวิชาการได้แฉเรื่องราวของ อัลญะฮฺมุบินศ็อฟวาน อิบนุลมุบาร็อก ได้พูดเกี่ยวกับอัลญะฮฺมุผู้นี้ว่า “เขาคือผู้ร้ายที่ทำการชักนำผู้คนไปสู่นรก (อัลฮาวิยะฮฺ)” เพราะเขาได้กุเรื่องเท็จไม่ถูกต้องในเรื่องศาสนาขึ้น เขาบอกว่า “ฉันแปลกใจกับดัจญาลผู้หนึ่ง ที่เรียกคนไปลงนรกและชื่อของเขาก็เอามาจาก คำว่า “ญะฮันนัม” ดังนั้น นักวิชาการจึงได้แฉประจาน อัลญะฮฺมุ บินดิรฮัม และได้บันทึกชื่อเขาผู้นี้ในหนังสือฮะดีษหลายเล่ม นักวิชาการได้ตักเตือนให้ระมัดระวังบุคคลเหล่านี้ ในการประชุมของหลายองค์กรในการประชุมทั้งใหญ่และเล็ก ดังนั้น คนเหล่านี้สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องถูกกล่าวประจานแฉความชั่วของเขา
ส่วนกลุ่มคนที่มีประสงค์ดีแต่ผิดพลาด บุคคลเหล่านี้สมควรปกปิดหรือสงวนสถานะของพวกเขาเอาไว้ หรือบุคคลที่พลาดพลั้งไปโดยขั้นตอนไม่สมควรขึ้นบัญชีรายชื่อคนเหล่านี้ไว้ในบัญชีดำ เพราะการโจมตีโดยตรงด้วยกับการเอ่ยนาม อาจทำให้เขาจมอยู่ในความผิดนั้นอย่างไม่อาจถอนตัวได้ เพราะความกลัวเสียศักดิ์ศรีจึงทำให้เขาจมอยู่ในความผิดนั้น
8. นักเผยแพร่ จะต้องไม่คุยโวโอ้อวดยกตนในที่สาธารณะหรือที่ส่วนตัว
จำเป็นอย่างยิ่งที่นักดะอฺวะฮฺ จะต้องไม่คุยโวโอ้อวดตนในที่เมื่ออยู่ต่อหน้าประชาชน เขาจะต้องสำนึกเสมอว่า ตนเองนั้นยังทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะทำไปมากเพียงใดก็ตาม และยังต้องสรรเสริญอัลลอฮฺ ให้มาก ๆ ที่ทรงให้เขาได้มีความสามารถในการปราศรัยสั่งสอนเผยแพร่กับหมู่ชน เป็นการรับภารกิจช่วงต่อมาจากท่านร่อซูล โดยขอบพระคุณในเนี้ยะอฺมะฮฺนี้ ซึ่งอัลลอฮฺ ได้ตรัสแก่ท่านร่อซูล ของพระองค์ว่า
“และหากมิใช่ความโปรดปรานของอัลลอฮฺแก่พวกเจ้า และความเมตตากรุณาของพระองค์แล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดเลยในหมู่พวกเจ้าบริสุทธิ์”
(อันนูร/21)
และได้ตรัสกับร่อซูล อีกในช่วงสุดท้ายหลังจากที่ท่านปฏิบัติหน้าที่สำเร็จว่า
“เมื่อความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ และการพิชิตได้มาถึงแล้ว และเจ้าได้เห็นประชาชนเข้าใจศาสนาของอัลลอฮฺ เป็นหมู่ ๆ
ดังนั้น จงแซ่ซ้องด้วยการสรรเสริญสดุดีพระเจ้าของเจ้าและจงขออภัยโทษต่อพระองค์เถิด
แท้จริง พระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษเสมอ”
(อันนัศรฺ / 1 – 3)
นักวิชาการกล่าวว่า “อัลลอฮฺ ได้ทรงบัญชาให้ท่านนบี ขออภัยโทษต่อพระองค์” เป็นการไม่ถูกต้องและสมควรที่นักดะอฺวะฮฺจะมาสรรเสริญตนเองหรือคุยโวโอ้อวดตนโดยพูดว่า “ฉันได้เคยใช้พวกท่านตลอดมา แต่พวกท่านก็ฝ่าฝืนอยู่ประจำ... ฉันได้เคยห้ามปรามพวกท่านเสมอแต่พวกท่านก็ไม่เชื่อฟังตามที่บอกห้ามนั้น... ฉันได้สังเกตเห็นพวกท่าน... ฉันเห็นอยู่ตลอด... ฉันได้พูดมาตลอด... ฉันบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าคนเหล่านี้จะฝ่าฝืนต่อพระผู้เป็นเจ้ากันไปถึงไหน”
คำพูดดังกล่าวนี้ เป็นการพูดปัดความผิดให้พ้นตนเอง เพื่อจะได้ไม่ถูกตำหนิหรือถูกลงโทษ เพื่อให้เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ พฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าผิด นักดะอฺวะฮฺต้องยอมรับในสิ่งที่ผิดนั้นเป็นของทั้งผู้พูดและผู้ฟังด้วยกัน ความบกพร่องผิดพลาดนั้นมีอยู่ร่วมกัน โดยพูดว่า พวกเราได้มีส่วนร่วมกัน ในประเด็นนี้ พวกเราทุกคนผิดพลาดไปแล้ว หน้าที่ของพวกเราทุกคนก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ทำตนเป็นนักดะอฺวะฮฺที่พ้นความผิดดังกล่าวนั้น ไม่ต้องถูกตำหนิหรือถูกต่อว่า พวกเรานั้นไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นครอบครัวเดียวกัน ในบางครั้งพวกที่นั่งชุมนุมอยู่ด้วยกันนั้นอาจมีคนที่สะอาดบริสุทธิ์กว่านักดะอฺวะฮฺก็ได้ หรือมีคนที่เป็นที่รักของอัลลอฮฺ เป็นผู้ที่ใกล้ชิดพระองค์ที่สุดอยู่ด้วยก็เป็นได้
9. นักดะอฺวะฮฺต้องไม่ท้อแท้หมดหวัง และล้มเลิกในการทำงาน
เมื่อใดที่สังคมมีความตกต่ำเสื่อมทราม มีผู้คนทำชั่วมากๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่นักดะอฺวฮะ จะต้องไม่ท้อแม้สิ้นหวัง หรือล้มเลิกการทำงานไปเสียง่ายๆ ในขณะที่ยังมีผู้คนจำนวนมากมาย งมงายสู่การละเล่นเพลิดเพลินสนุกสนานกับโลกดุนยา มีผู้คนเพียงจำนวนน้อยที่ยังคงมุ่งมั่นสู่การเรียน การฟังบรรยายธรรมทางศาสนา ตามแนวทางของอัลลอฮฺ ในสิ่งสร้างของพระองค์
“...แล้วเจ้าจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆในแนวทางของอัลลอฮฺ” (อัลอะหฺซาบ/62)
แท้จริง อัลลอฮฺ ได้ระบุไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า คนชั่วนั้นมีมากกว่าคนดี คนหลงทางนั้นมากกว่าคนไม่หลงทาง คนบ่อนทำลายนั้นมีมากกว่าคนไม่บ่อนทำลาย
“...และส่วนน้อยแห่งปวงบ่าวของเราที่เป็นผู้กตัญญูรู้คุณ” (สะบะอฺ/13)
และได้ตรัสไว้อีกว่า
“และหากเจ้าเชื่อฟังคนส่วนมากในแผ่นดินแล้วพวกเขาก็จะทำให้เจ้านั้นหลงจากทางของอัลลอฮ์” (อัลอันอาม/116)
และทรงตรัสต่อไปอีกว่า
“และส่วนใหญ่ของมนุษย์จะไม่ศรัทธาต่อเจ้า ถึงแม้เจ้าจะปรารถนาให้พวกเขาเป็นผู้ศรัทธา” (ยูซุฟ/103)
พระองค์ยังตรัสต่ออีกว่า
“...เจ้าจะบังคับผู้คนจนกว่าพวกเขาจะเป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือ?” (ยูนุส/99)
ในซูเราะฮฺที่ว่า
“เจ้านั้นมิใช่เป็นผู้มีอำนาจเหนือพวกเขาแต่อย่างใด” (อัลฆอซิยะฮฺ/22)
และอีกซูเราะห์ที่ว่า
“...ข้านั้นมิใช่เป็นผู้พิทักษ์เจ้าอีก” (อัลอันอาม/66)
และพระองค์ตรัสอีกว่า
“...หน้าที่ของเจ้านั้นมิใช่อื่นใด นอกจากการเผยแพร่เท่านั้น...” (อัชชูรอ/48)
ดังนั้น เราไม่มีทั้งกระบองหรือแส้อันใด หรือแม้แต่การลงโทษใดๆ หรือการคุมขังใดๆ หากแต่เรามีแต่ความรักความเมตตา และการเชิญชวน และความยิ้มแย้มที่จะนำพาผู้คนเข้าสู่สวนสวรรค์ที่ใหญ่ไพศาลดุจท้องฟ้าและผืนแผ่นดิน หากพวกเขาตอบรับเราก็สรรเสริญอัลลอฮ์ หากไม่ตอบรับและต่อต้านเราก็มอบเรื่องของพวกเขาไว้กับอัลลอฮฺ พระองค์ทรงคิดบัญชีพวกเขาเอง
นักวิชาการบางท่านบอกว่า “บรรดาพวกปฏิเสธศรัทธานั้นมีมากกว่ามุสลิมที่ศรัทธาที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน พวกทำอุตริในเรื่องศาสนามีมากกว่าอะฮฺลุลซุนนะฮฺ และพวกที่บริสุทธิ์ใจที่มาจากอะฮฺลุลซุนนะฮฺนั้น มีน้อยกว่าพวกที่ไม่บริสุทธิ์ใจ”
ลักษณะที่ดีอีกส่วนหนึ่งจำต้องมีสำหรับนักดะอฺวะฮฺคือ เขาต้องสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คน เพื่อจะได้พิจารณาดูชีวิตความเป็นอยู่และรับทราบข่าวคราวของพวกเขา อัลลอฮฺ ทรงได้ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า
“...และในทำนองนั้น เราจะแจกแจงโองการทั้งหลาย และเพื่อที่วิถีทางของผู้ที่กระทำผิดจะได้ประจักษ์ชัด”
(อัลอันอาม/55)
จากการรอบรู้ของอัลลอฮฺ ที่ทรงมอบให้แก่ท่านรอซูล ของพระองค์ได้ใช้ชีวิตอยู่ใน นครมักกะฮฺ ถึง 40 ปี โดยใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาของนครมักกะฮฺ และในที่ราบลุ่มของนครมักกะฮฺนั้น ท่านจึงทราบถึงวิถีชีวิตของเขาเป็นอย่างดี รู้ทุกเส้นทางทั้งขาออกและขาเข้าของนครมักกะฮฺ และทราบดีอย่างละเอียดเกี่ยวกับปัญหาและวิกฤตที่เกิดขึ้นในนครมักกะฮฺ ท่านทราบดีถึงสภาพบ้านเรือนของชาวมักกะฮ์ ซึ่งชาวมักกะฮฺที่เป็นพวกกาเฟรต่างก็คัดค้านการเป็นนบีของท่านโดยกล่าวว่า
“ไฉนเล่า (มะลาอิกะฮฺ) จึงมิได้ถูกประทานลงมาให้แก่เขา...”
ดังนั้น อัลลอฮฺ ทรงระบุว่า แท้ที่จริงแล้วนบีจะต้องเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่เขามีชีวิตอยู่ เป็นความหวังของผู้คน เป็นผู้มาขจัดและคลี่คลายความทุกข์ยากและปัญหาของมนุษย์ และต้องทราบดียิ่งถึงความต้องการของผู้คนทั้งหลาย
ความจริงอีกประการหนึ่งก็คือ นักดะอฺวะฮฺ จะต้องศึกษาสภาพพื้นที่เป็นอย่างดี และมีความรู้ในข้อมูลของสังคมตรงนั้นในส่วนที่เป็นประโยชน์ เขาจะต้องรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในพื้นที่ ? มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อะไรบ้าง ? ปัญหามันคืออะไร ? เขาจะต้องทราบวิถีการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ การค้าขายต่างๆ ของพ่อค้า ตลอดจนชาวไร่ชาวนา และชนในระดับชั้นต่างๆ และต้องทำการสำรวจในทุกสถานที่ซึ่งมีการรวมตัวของผู้คนในท้องตลาด ในร้านค้า ในมหาวิทยาลัย และในสโมสร เพื่อเขาจะได้เป็นผู้ดูแลที่เข้มแข็ง สามารถพูดสั่งสอนอย่างถูกต้อง ตรงสภาพความเป็นจริงให้ผู้คนทราบ
ด้วยเหตุนี้นักวิชาการจึงบอกว่า มีความจำเป็นเมื่อนักดะอฺวะฮฺเข้าไปที่ใด เขาต้องศึกษาและรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพื้นที่นั้นเป็นอย่างดี แม้กระทั่งเมื่อนักวิชาการบางท่าน เมื่อจะเดินไปต่างประเทศเขาจะต้องสืบหาข้อมูลจากบันทึกของสถานที่นั้นเป็นประการแรก รวมทั้งรายละเอียดของวันก่อตั้งประเทศ รู้ที่ตั้งของประเทศ แม้แต่สถานที่พักผ่อน และขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวเมืองว่า พวกเขาดำเนินชีวิตกันอย่างไร ? พวกเขาชอบอะไรและไม่ชอบอะไร ? และพยายามที่จะทราบให้ได้ว่า ในสถานที่นี้สมควรจะใช้วิธีการอบรมสั่งสอนอย่างไร ? เพื่อที่เขาจะได้พูดได้ถูกต้องและตรงประเด็นเหมาะสมกับสภาวการณ์และสังคมที่นั่น
ที่มา อัลอิศลาห์สมาคม