ผู้ทำบิดอะหฺจะไม่ได้รับการอภัยโทษ และเป็นคนเสียสติ
  จำนวนคนเข้าชม  5748

 

ผู้ทำบิดอะหฺจะไม่ได้รับการอภัยโทษ และเป็นคนเสียสติ

 

เรียบเรียงโดย  อ.อับดุลบารีย์  นาปาเลน

 

ผู้ทำบิดอะหฺจะไม่ได้รับการอภัยโทษ จนกว่าเขาจะทิ้งบิดอะหฺนั้น

 

ดังในฮาดิษ

 
" إِنَّ اللهَ حَجَبَ التَّوْبَةَ عَنْ صَاحِبِ كُلِّ بِدْعَةٍ "

 

“แท้จริง อัลลอฮฺจะทรงปิดประตูการสารภาพผิด ของผู้ทำอุตริกรรมทุกคน” 
 

(รายงานโดยบัยฮากีย์ ใน ชูอะบุลอีมาน และต็อบรอนีย์ ในอัลอัวซอฏ ท่านอัลบานีย์กล่าวว่า เป็นสายรายงานที่ถูกต้อง )

 

       ในฮาดิษได้หมายถึงอีกความหมาย คือ อัลลอฮฺนั้นจะปกปิดหัวใจของพวกที่ทำบิดอะหฺ จากการเตาบะหฺกลับไปสู่อัลลอฮฺ เพราะพวกเขาจะอยู่ในความหลงผิดโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว กลับมองว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นถูกต้องแล้ว จึงถูกการปิดกันระหว่างพวกเขากับการเตาบะหฺ และในทำนองนี้ ท่านซุฟยาน อัสเซารีย์ ได้กล่าวว่า 


"البدعة أحب إلى إبليس من المعصية، المعصية يتاب منها، والبدعة لا يتاب منها"

 

“ บิดอะหฺ จะถูกรักไปยังอิบลีส มากกว่ามะซียะหฺ เพระการทำมะอฺชียะหฺจะมีการกลับตัวสารภาพผิด ส่วนการกระทำบิดอะหฺนั้นจะไม่กลับตัวสารภาพผิด “ 
 

(รายงานโดย อัลลาละกาอีย์ ในซุนนะหฺ)
 

ดังนั้น เป็นที่น่าห่วงใยมาก ของผู้ที่ได้ตายกลับไปหาอัลลอฮฺ ในสภาพที่ยังไม่ได้เตาบะหฺตัว


 

บิดอะหฺทำให้สติเสีย ตรงข้ามกับซุนนะหฺที่ทำให้เกิดความฉลาด 

 
       ดังที่ในหลายโองการในอัลกุรอาน คำว่า ฮิกมะหฺ ในหลายสายรายงานหรือในหนังสือตัฟซีรทั้งหลายจะหมายถึงซุนนะหฺของท่านนบี  ทั้งที่ความหมายเดิมของมันหมายถึง ความฉลาด หรือวิทยปัญญา ดั่งที่พระองค์ทรงตรัสว่า


هُوَ الَّذِي بَعَثَ فِي الْأُمِّيِّينَ رَسُولًا مِّنْهُمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِن كَانُوا مِن قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ ( 2 )

 

       “ พระองค์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งร่อซูลขึ้นคนหนึ่งในหมู่ผู้ไม่รู้จักหนังสือจากพวกเขาเองเพื่อสาธยายอายาตต่าง ๆ ของพระองค์แก่พวกเขา และทรงทำให้พวกเขาผุดผ่อง และทรงสอนคัมภีร์และความสุขุมคัมภีร์ภาพ(หมายถึง อัซซุนะหฺ)แก่พวกเขา และแม้ว่าแต่ก่อนนี้พวกเขาอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้งก็ตาม “ 
 

(อัลญุมอะหฺ)

 

และโองการที่ว่า 


لَقَدْ مَنَّ اللَّهُ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ إِذْ بَعَثَ فِيهِمْ رَسُولًا مِّنْ أَنفُسِهِمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِن كَانُوا مِن قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ ( 164 )

      “แน่นอนยิ่ง อัลลอฮ์นั้นทรงมีพระคุณแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งร่อซูลคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขาโดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะทำให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์ และวิทยปัญญาแก่พวกเขาด้วย และแท้จริงเมื่อก่อนนั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง “ 

(อาละอิมรอน )

ตรงกันข้ามที่บิดอะหฺ กลับมาทำให้ผู้กระทำมันนั้นเปลียนเป็นคนเสียสติ หลงทาง เห็นผิดเป็นถูก หรือทำให้มีความคิดที่เพี้ยน 



        ♣ ตัวอย่างในบิดอะหฺแรก นั่นคือบิดอะหฺคอวาริญ ที่พวกเขาได้โยนการเป็นกาเฟรแก่ท่านอุสมาน ผู้ที่ท่านนบี  ได้ยกลูกสาวสองคนแก่ท่านจนกระทั้งได้สมยานามว่า ศุนนูรัยนฺ (ผู้ที่มีสองรัสมี) และท่านนบี  มักจะให้เกียรติแก่ท่านมาก และยังบอกว่า บรรดามลาอีกะหฺยังมีความละอายแก่ท่าน และได้ซื้อดินเพื่อขยายมัสญิดให้ท่านนบี  แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้ร่วมกันฆ่าท่านอุสมาน ในขณะที่กำลังอ่านอัลกุรอานอยู่ 

       ♣ และพวกคอวาริญที่ได้ฆ่าท่านอาลีก็เช่นเดียวกันที่พวกเขามองผิดเป็นถูก จนกระทั่งมีคนหนึ่งจากพวกเขาได้กล่าวว่าขึ้นว่า


يا ضربة من تقى ما أراد بها ... إلا ليبلغ من ذي العرش رضواناً

إني لأذكره يوما فأحسبه ... أوفى البرية عند الله ميزاناً

“ โอ้(ความปริศนา)จากการสังหารของผู้ที่ยำเกรง ที่เขาไม่ต้องการอะไร นอกจากเพื่อต้องการบรรลุสู่ความพึงพระทัยของพระผู้ทรงเจ้าบัลลังก์
 

และแท้จริง วันหนึ่งฉันก็ได้นึกถึงเขาขึ้นมา และคิดได้ว่า ในบรรดามนุษย์นั้นเขาเป็นผู้ทรงกตัญญูมากที่สุดแล้ว ณ ที่อัลลอฮ” 
 

 

( อัลมิลัล วันนิฮัล ของ ชะหฺริสตานี / ๑/๑๒๐)

       ♣ เช่นเดียวกับพวกรอฟิเฏาหฺ (พวกชีอะหฺ) ที่ปฏิเสธท่านอาบูบักร และท่านอูมัร  และได้ด่าทอ สาปแช่งต่อบรรดาศอฮาบะหฺ และมิตรสหายของท่านนบี และกล่าวว่า ทำสิ่งนี้แล้วจะได้บุญ หรือการที่พวกเขากระทำกันในวันอาชูรอ ที่ได้เฆี่ยนตีหลังและกรีดเนื้อตัวเองเพื่อให้หลั่งเลือด แสนที่จะหน้าอับอายต่อหน้าศาสนิก ทำไมพวกเขาถึงคิดไม่ได้ว่า "สิ่งนี้หรือที่มาจากอิสลาม" 

       ♣ หรือเหมือนกับพวกตอรีกัต ซูฟีย์ ที่พวกเขาได้ย่อคำรำลึกถึงอัลลอฮฺ จาก กาลีมะตุตเตาฮีด ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ ให้เหลือแค่ อัลลอฮู หรือลดเหลือแค่คำว่า “ ฮู ฮู “ 

ด้วยเหตุนี้ ท่านอีหม่ามชาฟีอีย์ได้กล่าวว่า


قال الشافعي: لو أن رجلا تصوف أول النهار لا يأتي الظهر حتى يصير أحمق. وما لزم أحد الصوفية أربعين يوما فعاد عقله إليه أبدا "

“ หากมีผู้ชายคนหนึ่งได้กลายเป็นซูฟีย์ในตอนเช้าตรู่ เขาจะไม่มาอีกทีในตอนเที่ยงนอกจากว่าเขาได้กลายเป็นคนโง่ไปแล้ว

และไม่มีใครสักคนที่ได้อยู่ร่วมกับพวกซูฟีย์ถึงสี่สิบวัน นอกจากสติปัญญาของเขาจะไม่กลับมาอีก “

(หนังสือ ตัลบีส อิบลีส / ๓๗๐)