องค์ประกอบของความสุข 3. ทำความดี ห้ามปรามความชั่ว
  จำนวนคนเข้าชม  10532

 

องค์ประกอบของความสุข 3. ทำความดี ห้ามปรามความชั่ว 

 

อ.อับดุลบารีย์  นาปาเลน

 

        การสั่งใช้ให้ทำความดีและห้ามปรามความชั่วเปรียบเสมือนเรือสำเภาที่คอยคุ้มกันสังคมมิให้ล่มจมหรือพินาศได้ ช่วยให้สังคมอยู่อย่างสงบและปลอดภัย ห่างไกลจากความชั่วร้ายทั้งหลาย เป็นเหตุให้เกิดความรักความสามัคคี เป็นกำแพงอันหนาแน่น ที่ช่วยปกป้องและเชิดชูศาสนาอิสลาม และสร้างความตกต่ำแก่บรรดาผู้ทำชั่วทั้งหลาย

        “บรรดาผู้ที่เราให้พวกเขามีอำนาจในแผ่นดิน คือบรรดาผู้ที่ดำรงซึ่งการละหมาด และบริจาคซะกาต และใช้กันให้กระทำความดี และห้ามปรามกันให้ละเว้นความชั่ว และบั้นปลายของกิจการทั้งหลายย่อมกลับไปหาอัลลอฮฺ “ 

(อัลหัจญ์ / ๔๑) 

       จากโองการ บรรดาผู้ที่อัลลอฮฺได้ให้อำนาจคือผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด เพราะเป็นสิ่งที่ยับยั้งการกระทำสิ่งลามกและความชั่ว จึงเป็นสาเหตุให้สังคมอยู่อย่างสงบสุข และผู้ที่ทำการจ่ายซากาต เพื่อให้คนรวยเมตตาคนจน และคนจนจะรักและไม่อิจฉาคนรวย ซึ่งเป็นเหตุให้สังคมสงบสุข

       พระองค์ได้บอกถึงการสั่งใช้ให้ทำความดีและห้ามปรามความชั่ว ให้มานำหน้าความศรัทธาต่อพระองค์ ทั้งๆ ที่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา

         “ พวกเจ้านั้น เป็นประชาชาติที่ดีเลศ ซึ่งถูกให้อุบัติขึ้นสำหรับมนุษย์ชาติ โดยที่พวกเจ้าสั่งใช้ให้ปฏิบัติความดี และห้ามมิให้ปฏิบัติความชั่ว และที่พวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺ “ 

(อาลอิมรอน / ๑๑๐)

       ความสำเร็จในโลกนี้และโลกหน้าของประชาชาตินี้ จะไม่ได้รับ นอกจากต้องมีการสั่งใช้ให้ทำความดีและห้ามปรามความชั่ว

         “ และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้า ซึ่งกลุ่มชน(หรือประชาชาติ) ที่จะเชิญชวนไปสู่ความดีและใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้กระทำสิ่งที่มิชอบ และชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ได้รับความสำเร็จ “ 

(อาลอิมรอน / ๑๐๔)

       การสั่งใช้ให้ทำความดีและห้ามปรามความชั่ว คือสิ่งจำเป็นเหนือผู้ศรัทธาทุกคน ทั้งหญิงและชาย ผู้หญิงต่างก็ตักเตือนซึ่งกันและกันระหว่างพวกนาง 

        “และบรรดามุมิน ชาย และบรรดามุมินหญิงนั้น บางส่วนของพวกเขาต่างเป็นผู้ช่วยเหลืออีกบางส่วน ซึ่งพวกเขาจะใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ชอบและห้ามปรามในสิ่งที่ไม่ชอบ และพวกเขาจะดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและจ่ายซะกาต และภักดีต่ออัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ ชนเหล่านี้แหละ อัลลอฮฺจะทรงเอ็นดูเมตตาแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ” 

(อัตเตาบะหฺ / ๗๑)

       เพราะมีจำนวนมิใช่น้อยจากผู้หญิงที่สร้างความเลวร้าย ไร้ความละอายในการที่พวกหล่อนได้สั่งใช้ให้ทำความชั่วและห้ามปรามความดี 

         “บรรดามุนาฟิก(บรรดาผู้ที่กลับกลอก) ชาย และบรรดามุนาฟิกหญิงนั้นบางส่วนของพวกเขาต่างมาจากอีกบางส่วน(คือเป็นพวกเดียวกัน) ซึ่งพวกเขาจะใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่เป็นความชั่วและห้ามปรามในสิ่งที่เป็นความดี และพวกเขากำมือของพวกเขาไว้(ด้วยความตระหนี่) พวกเขาได้ลืมอัลลอฮฺ แล้วพระองค์ก็ทรงลืมพวกเขา(คือ ไม่ช่วยเหลือพวกเขา) แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นพวกเขาคือผู้ละเมิด” 

(อัตเตาบะหฺ / ๖๗)

       ดังนั้นสำหรับมุสลิมะฮ์ จะต้องกล้าหาญกว่าในการสั่งใช้ทำความดีห้ามปรามความชั่ว และพระองค์ได้บอกถึงสภาพของผู้ที่ละทิ้งการตักเตือนว่า พวกเขานั้นคือผู้ที่ขาดทุน

        "ขอสาบานด้วยกาลเวลา(๑) แท้จริงมนุษย์นั้น ย่อมอยู่ในการขาดทุน(๒) นอกจากบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย และตักเตือนกันและกันในสิ่งที่เป็นสัจธรรม และตักเตือนกันและกันให้มีความอดทน(๓) "

(ซูเราะหฺ อัลอัสรฺ)

การตักเตือนไม่ได้จำเป็นเฉพาะคนบางคนเท่านั้น แต่จำเป็นสำหรับทุกๆคนเท่าที่มีความสามารถ

    จากท่านอาบีซอีด อัลคุฏรี กล่าวว่า ฉันได้ยินท่าน นบี  กล่าวว่า 

       “ ผู้ใดที่เห็นความชั่ว เขาจงเปลี่ยนแปลงมันด้วยมือ (อำนาจ) ของเขา  หากไม่มีความสามารถจงเปลี่ยนแปลงมันด้วยลิ้น(วาจา)ของเขา  และหากยังไม่สามารถจงเปลียนแปลงมันด้วยหัวใจของเขา (ด้วยการรังเกียจพฤติกรรมนั้น)  นั่นคืออีหม่านที่อ่อนสุด”  

( รายงานโดยมุสลิม / ๔๙)

จงกลัวอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวและอย่าหวั่นเกรงมนุษย์ในการที่จะตักเตือน 


จากอบีสอีด อัดคุฏรีย์ กล่าวว่า จากท่าน นบี  ท่านได้กล่าวว่า

         “ พึงรู้ไว้เถิด  อย่าได้ให้ความเกรงกลัวต่อผู้คนมาห้ามใครสักคนจากพวกเจ้า ที่จะกล่าวความจริง  หากได้เห็นสิ่งนั้น(คือไม่ตักเตือนหากได้เห็นความชั่ว)  เพราะมันไม่ได้ทำให้เขาเข้าใกล้กับความตาย หรือไม่ทำให้เขาห่างไกลจากริสกีย์(ปัจจัยยังชีพ)ได้เลย  หากเขาได้พูดความจริงหรือมีคนพูดถึงเขาในแง่ลบ”

(รายงานโดยอีหม่ามอะหฺมัด / ๑๑๔๗๔)

      และในทุกหนทุกแห่งหากได้เห็นความชั่วร้ายเกิดขึ้น และสร้างความวุ่นวาย สร้างความไม่สงบ ก็ต้องมีการตักเตือน โดยเฉพาะบนถนนหนทาง

จากอบีซอีด อัลคุฏรี (รอดียัลลอฮูอันฮฺ) กล่าวว่า 

ท่านเราะซูลลุลลอฮ์  ได้กล่าวว่า “ พวกท่านทั้งหลายจงระวังจากการนั่งตามท้องถนน” 

พวกเขาเลยถามว่า “โอ้ ท่านเราะสูลุลลอฮฺ มันเป็นเพียงแค่วงสนทนาของเรา” 

ท่านกล่าวว่า “เมื่อพวกท่านหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมันก็เป็นเพียงวงสนทนา พวกท่านก็จงให้สิทธิแก่ท้องถนน” 

พวกเขาถามว่า “สิทธิของท้องถนนคืออะไรหรือโอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ? 

ท่านตอบว่า “คือ การลดสายตาลงต่ำ การงดการก่อกวน (ผู้อื่น) การกล่าวตอบสลาม และการกำชับให้ทำความดีและห้ามปรามความชั่ว”

 (รายงานโดยบุคอรีย์และมุสลิม)

       บางครั้งชัยฏอนสามารถหาทางหลอกลวงบรรดาผู้ศรัทธาได้  โดยเฉพาะในเวลาที่พวกเขาได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่เมื่อการตักเตือนได้มายังเขา พวกเขาก็กลับเข้าสู่หนทางที่ถูกต้อง

       “แท้จริงบรรดาผู้ที่ยำเกรงนั้น หากได้มาประสบแก่พวกเขาจากบรรดาชัยฏอน(คือมายั่วยุให้พวกเขาทำชั่ว) เมื่อมีคำชี้นำ ใด ๆ พวกเขาก็รำลึก ได้ แล้วทันใดพวกเขาก็มองเห็น” (หมายถึงพวกเขาได้ลุกขึ้นตื่นออกจากความชั่วนั้นและได้มองเห็นทางที่ถูกต้อง)

(อัลอะร้อฟ / ๒๐๑)

 หากปราศจากการสั่งใช้ให้ทำความดีและห้ามปรามความชั่วแล้ว เป็นสาเหตุทำให้ประชาชาติต้องล่มสลาย

        “บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาในหมู่วงศ์วานอิสรออีลนั้นได้ถูกสาปโดยถ้อยคำของดาวูด และอีซาบุตรของมัรยัม นั่นก็เนื่องจากการที่พวกเขาฝ่าฝืน และที่พวกเขาเคยละเมิดกัน  ปรากฏว่าพวกเขาต่างไม่ห้ามปรามกันในสิ่งไม่ชอบที่พวกเขาได้กระทำมันขึ้น ช่างเลวร้ายจริง ๆ ในสิ่งที่พวกเขากระทำ “ 

( อัลมาอีดะหฺ / ๗๘-๗๙)

       หากผู้รู้ได้ละทิ้งการตักเตือน เสมือนกับว่าเขานั้นได้รังแกผู้ที่กระทำผิดนั้น เป็นการยอมรับต่อสิ่งที่ผิดโดยปริยาย และผู้ที่กระทำผิดนึกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นเป็นความถูก จึงทำให้ความผิดนั้นไม่ได้หมดไป แต่กลับสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น  ด้วยเหตุนี้เองที่โทษทันจะลงมาประสบด้วยกันทั้งหมด

        “แท้จริง หากผู้คนได้เห็นผู้ที่กระทำการอธรรม แล้วพวกเขาไม่ช่วยกันห้ามปราม หยุดยั้งจากน้ำมือแห่งความชั่วของเขาผู้นั้น เกือบแล้วที่อัลลอฮฺจะลงโทษด้วยการลงโทษที่ครอบคลุมพวกเขาทั้งหมด(คือ ทั้งคนดีและคนชั่ว)”

 (รายงานโดย อาบีดาวูด ติรมีซีย์ และอะหฺมัด )

        การละทิ้งการสั่งใช้ให้ทำความดีและห้ามปรามความชั่วเป็นสาเหตุที่จะนำมาซึ่งการลงโทษอย่างฉับพลัน และดุอาร์ก็จะไม่ถูกตอบรับ

จากท่านฮูซัยฟะหฺ จากท่านนบี  ได้กล่าวว่า 

       “ ฉันขอสาบานต้อผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในมือของพระองค์ พวกท่านทั้งหลายจงสั่งใช้ให้ทำความดี และต้องร่วมกันหักห้ามจากความชั่ว หรือ(ถ้าพวกท่านไม่ทำเช่นนั้น)เห็นทีอัลลอฮฺจะส่งการลงโทษของพระองค์อย่างรวดเร็วลงมายังพวกท่าน  เมื่อนั้นแม้พวกท่านจะวิงวอนขอจากพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ทรงตอบรับ” 

(รายงานโดย ติรมีซีย์ / ๒๑๖๙ เป็นฮาดิษที่ฮาซัน )

       ด้วยการละทิ้งการตักเตือน จะทำให้สังคมเกิดความแตกแยกอย่างแน่นอน เพราะผู้ที่ทำความชั่วนั้น พวกเขาจะมีแนวทางการปฏิบัติใหม่ แตกต่างจากบรรดาผู้ที่ทำความดี จึงต้องมีการแตกกลุ่มด้วยกันระหว่างทั้งสอง

รายงานจากท่านนุอฺมาน บิน บาชีร (รอดียัลลอฮูอันฮฺ) กล่าวว่า 

        “อุปมาผู้ที่ยืนหยัดอยู่บนกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺ และผู้ที่ได้ตกอยู่ในการฝ่าฝืนมัน(ตกอยู่ในการฝ่าฝืนกฎของอัลลอฮฺ)อุปมัยดังเช่น กลุ่มชนหนึ่ง พวกเขาได้มีการจับฉลากกันบนเรือลำหนึ่ง แล้วส่วนหนึ่งของพวกเขา ได้อยู่ชั้นบนของเรือ และส่วนหนึ่งของพวกเขาได้อยู่ชั้นล่างของเรือลำนั้น แล้วบรรดาผู้ที่อยู่ในชั้นล่างของเรือ เมื่อพวกเขาต้องการดื่มน้ำ พวกต้องเดินผ่านผู้ที่อยู่เบื้องบนของพวกเขา 

ดังนั้นพวกเขา (กลุ่มที่อยู่ชั้นล่าง)จึงกล่าวว่า “ถ้าพวกเราเจาะรูสักรูหนึ่งในส่วนของพวกเรา(เพื่อจะเอาน้ำ) และพวกเราก็จะไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้ที่อยู่ข้างบนพวกเรา" 

ดังนั้น หากพวกเขา(พวกที่อยู่ชั้นบน)ปล่อยให้พวกเขา(กลุ่มที่อยู่ชั้นล่างของเรือ)ทำตามความต้องการของพวกเขา แน่นอนพวกเขาทั้งหมด ก็จะประสบกับความวิบัติ(ด้วยการจมน้ำ)  และถ้าหากพวกเขายับยั้งพวกด้านล่างไว้(ไม่ให้เจาะท้องเรือ) แน่นอน พวกเขาจะปลอดภัยและพวกเขา(ทั้งสองกลุ่ม)จะปลอดกันภัยทั้งหมด” 

(รายงานโดยบุคอรีย์ /๒๖๘๖)

         ตรงนี้เปรียบเสมือนคนธรรมดาทั่วไปหากพวกเขาไม่อดทนในการเข้าหาบรรดาผู้รู้ และหันไปทำสิ่งที่ผิดต่อหลักศาสนา และเช่นเดียวกันหากผู้รู้ปล่อยให้พวกเขาได้ทำความชั่วโดยที่ไม่ตักเตือน แน่นอน ทั้งหมดต้องเจอกับความพินาศ เจอกับความชั่วร้ายด้วยกันทั้งหมด  และผู้ที่ตักเตือนเท่านั้นที่จะรอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์

       “ครั้นเมื่อพวกเขาลืม ในสิ่งที่พวกเขาถูกตักเตือนในสิ่งนั้น เราก็ช่วยเหลือบรรดาผู้ที่ห้ามปรามการทำชั่วให้รอดพ้น(จากการลงโทษ) และได้จัดการแก่บรรดาผู้ที่อธรรมเหล่านั้น ด้วยการลงโทษอันรุนแรงเนื่องด้วยการที่พวกเขาละเมิด” 

(อัลอะร้อฟ / ๑๖๕)

        จำเป็นสำหรับผู้ที่ถูกตักเตือน ต้องรับคำตักเตือนนั้น พร้อมกับขอบคุณแก่ผู้ที่มาเตือน และขอดุอาร์ให้แก่พวกเขา จากที่พวกเขาได้หวังดีและได้ทุ่มเทช่วยเหลือในการงานของศาสนา