วิถีแห่งสะลัฟ ศอและฮฺ
  จำนวนคนเข้าชม  15022

 

วิถีแห่งสะลัฟ ศอและฮฺ

 

โดย… เชค ซอและฮฺ บิน เฟาซาน อัลเฟาซาน 


 

        การสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ พระผู้ป็นเจ้าแห่งทุกสรรพสิ่ง และขอพระองค์อัลลอฮฺ ประทานการสดุดีและความสันติแด่ท่านนบีของพวกเรา ท่านมุฮัมหมัด และแด่วงศ์วานตลอดจนมิตรสหายของท่านทั้งหมดทั้งมวลด้วยเถิด
 

        หัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่มีความสำคัญมากทีเดียวนั้นก็คือ  วิถีแห่งสะลัฟ ศอและฮฺ และความจำเป็นที่อุมมะฮฺจะต้องอาศัยและพึ่งพาต่อวีถีทางนี้ 
 

         ความหมายของคำว่า ซะลัฟ ซอและฮฺ คือ ยุคแรกของประชาชาตินี้ อันได้แก่ บรรดาศ่อฮาบะฮฺของท่านร่อซู้ล ทั้งที่เป็นชาวมุฮาญิรีนและที่เป็นชาวอันศ้อร 
 

อัลลอฮฺ ได้ตรัสไว้(ความ)ว่า 
 

        "และบรรดาผู้ที่รุดหน้าไปเป็นชุดแรก ทั้งจากชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศ้อรตลอดจนบรรดาผู้ที่ดำเนินตามพวกเขาเหล่านั้นด้วย(การดำเนินตาม)อย่างดีเลิศนั้น อัลลอฮฺได้ทรงพอพระทัยพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็พอใจต่อพระองค์ และพระองค์ยังได้ทรงตระเตรียมบรรดาสรวงสวรรค์ที่มีธารน้ำหลายสายไหลผ่านเบื้องใต้ของมันไว้ให้พวกเขา พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นอย่างนิรันดร์ นั้นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่"

 

พระองค์  ได้ตรัสความว่า 
 

        "สำหรับบรรดาผู้ขัดสนที่เป็นชาวมุฮาญิรีน ที่ถูกขับไล่ออกจากถิ่นที่อยู่ของพวกเขา และจากทรัพย์สินต่างๆของพวกเขา พวกเขาต่างมีความมุ่งหวังในความโปรดปราณและความพอพระทัยจากอัลลอฮฺ อีกทั้งพวกเขายังสนับสนุนช่วยเหลืออัลลอฮฺและร่อซู้ลของพระองค์ คนเหล่านี้แหละที่เป็นบุคคลผู้มีความสัจจริง"

 

อายะฮฺนี้พูดถึงบรรดามุฮาญิรีน ต่อมาพระองค์ก็ได้ทรงตรัสถึงชาวอันศ้อร(ความ)ว่า 
 

         "และบรรดาผู้ที่ตระเตรียมบ้านเรือนและความศรัทธาไว้ก่อนหน้าพวกเขา บุคคลเหล่านี้ต่างมีความรักต่อผู้ที่อพยพเข้ามาพักพิงกับพวกเขา และบุคคลเหล่านี้ต่างไม่พบความต้องการใดๆในหัวอกของพวกเขาเลยในสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้น(ผู้อพยพ)นำมาด้วย ทั้งพวกเขายังยอมเสียสละให้ได้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ถือเป็นสิทธิของตนก็ตาม และผู้ใดก็ตามที่ได้รับการปกป้องจากความตระหนี่ของตัวเขาเองได้สำเร็จ บุคคลเหล่านั้นก็เป็นบรรดาผู้ได้รับชัยชนะ"

 

 ถัดจากนั้นพระองค์ก็ได้ทรงตรัสเกี่ยวกับบุคคลที่ติดตามมาภายหลังจากพวกเขาเหล่านั้น(ความ)ว่า 

        "และบรรดาผู้ที่มาภายหลังจากพวกเขา ต่างกล่าวกันว่า พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยต่อเราและต่อพี่น้องของพวกเราที่รุดหน้านำพวกเราไปแล้วด้วยความศรัทธา และขอพระองค์ทรงโปรดอย่าทรงทำให้มีความขุ่นเคืองใดๆที่มีต่อบรรดาผู้ศรัทธาเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเราเลย พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์นั้นทรงเป็นพระผู้ทรงเอ็นดู พระผู้ทรงปราณียิ่ง"

       และถัดจากบุคคลเหล่านั้นแล้วยังหมายถึงบุคคลที่มาภายหลังจากพวกเขา(อีกรุ่นหนึ่ง)ที่เข้ามาศึกษาเล่าเรียนมาเป็นลูกศิษย์ลูกหาของพวกเขาอันได้แก่ บรรดาตาบิอีน และตลอดจนบรรดาตาบิอิ้ตตาบิอีน ที่มาภายหลังจากนั้น ซึ่งล้วนอยู่ในยุคที่มีความประเสริฐ ดังที่ท่านนบี  ได้กล่าวถึงยุคดังกล่าวไว้(ความ)ว่า 

“บุคคลที่ดีของพวกท่านนั้น ได้แก่ ยุคของฉัน แล้วก็พวกที่ติดตามถัดมา แล้วก็พวกที่ติดตามถัดมา” 

       ผู้รายงานได้กล่าวว่า กระผมก็ไม่ทราบว่าท่านได้กล่าวถึงยุคที่อยู่ภายหลังยุคของท่านไว้ สองหรือสามยุคกันแน่ เพราะยุคของบุคคลเหล่านั้นถือเป็นช่วงเวลาที่สูงส่งและมีเกียรติยศอันเด่นชัดเหนือบุคคลที่มาในภายหลัง และเป็นยุคที่ได้รับการขนานนามว่า “ยุคแห่งช่วงเวลาอันทรงเกียรติ” บุคคลเหล่านี้คือ ซะลัฟของประชาชาตินี้ ที่ท่านร่อซูลุลลอฮฺ  ได้ให้การสรรเสริญแด่พวกท่านไว้ ด้วยคำพูดของท่านที่(มีความ)ว่า 

“บุคคลที่ดีของพวกท่านนั้น ได้แก่ ยุคของฉัน แล้วก็พวกที่ติดตามถัดมา แล้วก็พวกที่ติดตามถัดมา” 

 

         ดังนั้นพวกท่านจึงเป็นต้นแบบแห่งประชาชาตินี้ และแนวทางของพวกท่านซึ่งได้แก่ วิถีทางที่พวกท่านได้ใช้ในการดำเนินงานทั้งในแง่ของหลักเชื่อมั่น ในแง่ของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ในแง่ของอุปนิสัยใจคอ ตลอดจนในทุกเรื่องราวและทุกกิจการของพวกท่านคือแนวทางที่ได้รับมาจากพระคัมภีร์และจากอั้ซซุนนะฮฺนั้นเอง ทั้งนี้เนื่องจากความใกล้ชิดระหว่างพวกท่านกับท่านร่อซู้ล ในช่วงเวลาแห่งการประทาน(อัลกุรอาน) และการได้รับข้อมูลความรู้จากท่านร่อซู้ล   ดังนั้น ยุคของพวกท่านจึงเป็นยุคที่ดีเลิศ และแนวทางของพวกท่านจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุด  ถือเป็นหน้าที่สำหรับมวลมุสลิม ที่จะต้องเอาใจใส่ต่อการศึกษาเรียนรู้แนวทางของพวกท่าน เพื่อจะได้ใช้มันในการยึดถือปฏิบัติ เนื่องจากการดำเนินตามแนวทางย่อมไม่สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้เว้นเสียแต่จะต้องรู้จักและได้ทำการศึกษาเรียนรู้เสียก่อนและต้องประพฤติตนตามวิถีทางนี้ด้วย เหตุนี้เองพระองค์ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง จึงได้ตรัสไว้(ความ)ว่า 

        "และบรรดาผู้ที่รุดหน้าไปเป็นชุดแรก ทั้งจากชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศ้อรและตลอดจนบรรดาผู้ที่ดำเนินตามพวกเขาเหล่านั้นด้วย(การดำเนินตาม)อย่างดีเลิศ"

       หมายถึง การมีความถี่ถ้วนและปราณีต ซึ่งการดำเนินตามอย่างดีเลิศย่อมไม่สามารถมีขึ้นได้นอกเสียจากจะได้ศึกษาเรียนรู้แนวคิดและวิถีทางที่พวกท่านได้ดำเนินไว้เท่านั้น ส่วนการที่มีแต่เพียงการอ้างอิงถึงชาวซะลัฟหรืออ้างตนว่าเป็นพวกของชาวซะลัฟเฉยๆโดยไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับพวกเขาหรือวิถีทางของพวกเขาแต่ประการใดเลยนั้น มันไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังกลับเป็นโทษเสียอีกด้วย ดังนั้น จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักกับแนวทางของบรรดาซะลัฟอั้ซซอและฮฺด้วย

        จากเหตุผลข้างต้นนี้เอง ประชาชาตินี้จึงต้องพยายามศึกษาและเรียนรู้แนวทางของบรรดาซะลัฟอัซซอและฮฺ และจำเป็นในการถ่ายทอดความรู้ดังกล่าวจากรุ่นสู่รุ่น โดยจัดให้มีการเรียนการสอนกันทั้งตามมัสยิด โรงเรียนและตลอดจนสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ นี่คือแนวทางของซะละฟุ้ซซอและฮฺ และวิธีการศึกษาทำความรู้จักกับวิถีทางของพวกท่าน พวกเราต้องทำการศึกษาและเรียนรู้แนวทางของชาวซะละฟุ้ซซอและฮฺอันบริสุทธิ์นี้กัน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ได้มาจากพระคัมภีร์ของอัลลอฮฺ และซุนนะฮฺของท่านร่อซู้ลของพระองค์ ทั้งสิ้นนั้นเอง

       ท่านนบี  ได้แจ้งไว้ว่าความขัดแย้งต่างๆจะมีขึ้นอย่างมากมายในประชาชาตินี้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้ปรากฏอยู่ในคำพูดของท่านที่(มีความหมาย)ว่า 

        “ยะฮูด(ยิว)ได้แตกออกเป็น 71 กลุ่ม และนะศอรอ(คริสต์)ได้แตกออกเป็น 72 กลุ่ม และประชาชาตินี้ก็จะแตกออกเป็น 73 กลุ่ม ทุกๆกลุ่มล้วนอยู่ในนรกทั้งสิ้น นอกจากกลุ่มๆเดียวเท่านั้น” 

มีผู้ถามว่า คือใครกันครับ ท่าน ร่อซูลุลลอฮฺ ? 

ท่านก็พูดว่า “คือ บุคคลที่ดำรงมั่นอยู่บนสิ่งที่เหมือนกันกับที่ฉันและศ่อฮาบะฮฺของฉันได้ดำรงอยู่ ณ วันนี้” 

       นี่คือแนวทางของ ซะละฟุ้ซซอและฮฺ คือสิ่งที่ท่านร่อซู้ล ได้ตั้งมั่นและดำรงอยู่บนสิ่งนั้น และคือสิ่งที่บรรดาศ่อฮาบะฮฺของท่านต่างก็ตั้งมั่นอยู่บนนั้นตลอดจนบรรดาผู้ที่ดำเนินตนตามพวกเขาเหล่านั้นด้วยกับการดำเนินตามอย่างดีเลิศ  จึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากที่จะต้องทำความรู้จักกับแนวทางของซะละฟุ้ซซอและฮฺ ทั้งนี้เพื่อจะสามารถนำมายึดถือปฏิบัติได้ เนื่องจากกลุ่มทุกกลุ่มล้วนอยู่ในนรกกันทั้งหมดนอกจากกลุ่มๆเดียวเท่านั้น ซึ่งคือ กลุ่มที่รอดพ้นปลอดภัย คือ อะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺนั้นเอง

       ถึงแม้ผู้คนจะต่างพากันขัดแย้งกันจนก่อให้เกิดทรรศนะ มุมมอง แนวทาง และกลุ่มสังกัดต่างๆมากมาย แต่กลุ่มดังกล่าวกลับยังคงตั้งมั่นอยู่บนแนวทางของซะละฟุ้ซซอและฮฺ อย่างมั่นคง และอดทนอยู่บนแนวทางนั้นจวบจนพวกเขาได้พบกับพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา

        ท่านนบี เคยพูดให้ข้อคิดแก่ศ่อฮาบะฮฺของท่านไว้ในช่วงบั้นปลายชีวิตองท่าน ซึ่งเป็นการพูดให้ข้อคิดที่กินใจอย่างมาก จนทำให้ดวงตาหลายดวงถึงกับร้องไห้ออกมา 

พวกเขาจึงบอกกับท่านว่า “มันราวกับว่าจะเป็นการพูดให้ขอคิดของผู้ที่กำลังจะลาจาก ดังนั้น ได้โปรดสั่งเสียแก่พวกเราด้วย” 

ท่านก็พูดขึ้นว่า “ฉันขอสั่งเสียพวกท่าน ให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ และให้มีความเชื่อฟัง” 

ให้มีความเชื่อฟังต่อใครกันครับ?

         "ต่อบรรดาผู้ปกครองดูแลกิจการต่างๆของบรรดามุสลิมีน และให้มีความเชื่อฟัง ถึงแม้คนที่ขึ้นมาปกครองพวกท่านจะเป็นทาสก็ตาม เพราะว่าบุคคลใดก็ตามในพวกท่านที่จะยังมีโอกาสมีชีวิตยืนยาวอยู่ต่อไปอีก เขาก็จะได้พบได้เห็นกับความขัดแย้งอันมากมาย ดังนั้น พวกท่านต้องใช้แนวทางของฉัน และแนวทางของบรรดาค่อลีฟะฮฺ ที่ต่างเป็นบุคคลที่มีความชัดเจนบนความจริง และต่างเป็นบุคคลที่ตั้งมั่นอยู่บนแนวทางอันถูกต้อง ภายหลังจากฉัน พวกท่านจงยึดมันไว้ให้มั่น จงขบมันไว้ด้วยฟันกราม และพวกท่านจงระวังกิจการทั้งหลายที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา เพราะกิจการที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดถือเป็นการอุตริ และการอุตริทุกชนิดนั้นคือ การหลงทาง และการหลงทางทั้งหมดทั้งปวงนั้นอยู่ในนรก” 

 

          นี่คือคำสั่งเสียของ ท่านร่อซู้ลลุลลอฮฺ ที่มีต่อประชาชาติของท่านให้ดำเนินตามวิถีทางแห่ง ซะละฟุ้ซซอและฮฺ เพราะนั่นคือทางรอด และสิ่งนี้นั้นก็เหมือนดังพระดำรัสของพระองค์ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่งที่(มีความ)ว่า 

         "และแน่นอนว่านี่คือเส้นทางของข้าที่เที่ยงตรง ดังนั้นพวกเจ้าจงดำเนินตามมันเสีย และอย่าได้ไปดำเนินตามบรรดาเส้นทางต่างๆ เพราะนั่นจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายออกจากเส้นทางของพระองค์ เรื่องราวดังกล่าวนี้คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้ต่อพวกเจ้าแล้ว เพื่อที่พวกเจ้าจะได้เกรงกลัว"

        (คือ)พวกเจ้าจะได้เกรงกลัวไฟนรกและเกรงกลัวการหลงทาง และเพื่อให้พวกเจ้าจะได้ไม่เห็นด้วยและไม่ร่วมทางกับกลุ่มต่างๆที่หลงผิด และหันมาดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้องปลอดภัย จนกว่าจะได้กลับไปสมทบกับท่านนบี  ของพวกเจ้า และกับบรรดาศ่อฮาบะฮฺ ตลอดจนบรรดาผู้ที่ดำเนินตามพวกท่านด้วยนั่นเอง และผู้ใดก็ตามที่ยึดมั่นและยืนหยัดต่อแนวทางนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงบั้นปลายแห่งยุคสมัยเขาจะต้องได้พบกับอุปสรรคและความเหนื่อยยาก ทั้งที่เกิดจากผู้คน(ส่วนใหญ่)และจากพวกที่เป็นคู่ขัดแย้ง เขาจะต้องได้เจอกับการก่นด่าและการข่มขู่ ดังนั้นเขาจึงจำต้องอาศัยความอดทน เขาจะต้องพบอุปสรรคมากมายที่จะคอยผลักเขาให้หันเหออกจากเส้นทางสายนี้ และยังต้องเจอกับการข่มขู่ต่างๆนานา ต้องเจอกับการหว่านล้อมและการสร้างความหวาดหวั่นที่บรรดากลุ่มที่หลงทางและตลอดจนบรรดาแนวทางที่ผิดเพี้ยนได้หยิบยื่นมาให้ เขาจึงจำต้องพึ่งพาการอดทน และด้วยเหตุนี้เอง ท่านรอซูลลุลลอ  จึงได้พูดไว้(ความว่า) 

        “อิสลามนั้นเริ่มต้นขึ้นมาในสภาพที่เป็นของแปลก และก็จะกลับไปในสภาพที่เป็นของแปลกเหมือนเช่นที่ได้เริ่มต้นขึ้นมา ดังนั้น ความปิติยินดีจงมีแด่บรรดาบุคคลที่เป็น คนแปลกเถิด” 

มีผู้ถามว่า คนแปลกที่ว่านั้นคือใครกันครับ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ? 

ท่านกล่าวว่า “คือพวกที่ยังคงปรับปรุงและพัฒนาในช่วงเวลาที่ผู้คนต่างพินาศย่อยยับ” 

ในอีกสายรายงานหนึ่งระบุไว้(ความ)ว่า “คือพวกที่คอยปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่ผู้คนเขาสร้างความพินาศกันไว้” 

 

        ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดที่จะได้รับความปลอดภัยจากการหลงทางในโลกดุนยานี้และจากไฟนรกในโลกอาคิเราะฮฺได้ นอกจากผู้ที่ดำเนินตามหนทางสายนี้ที่เป็นหนทางแห่งวิถีทางของชาวซะละฟุ้ซซอและฮฺ เท่านั้น ซึ่งพวกเขาคือบรรดาบุคคลที่อัลลอฮฺ  ได้ตรัสถึงไว้(ความ)ว่า 

          "และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺและท่านร่อซู้ล พวกเขาก็จะได้อยู่เคียงคู่กับบรรดาบุคคลที่อัลลอฮฺทรงประทานความเมตตาแก่พวกเขา ทั้งจากบรรดานบี บรรดาผู้สัจจริง บรรดาชะฮีดและตลอดจนบรรดาคนดีๆ และบุคคลเหล่านี้นั้นคือ สหายที่ดี"

        จากที่กล่าวมานี้เองอัลลอฮฺ จึงได้ทรงสั่งใช้ให้พวกเราอ่านซูเราะฮฺ อัลฟาติฮะฮฺในทุกๆ ร็อกอะฮฺของการละหมาด ทั้งละหมาดฟัรดูและละหมาดนาฟิละฮฺ ซึ่งในตอนท้ายของซูเราะฮฺมีคำดุอาอฺที่มีความสำคัญระบุไว้(ความว่า)

"ขอพระองค์ทรงนำทางพวกเราสู่หนทางที่เที่ยงตรง"

          "หนทางอันเที่ยงตรง" ทั้งนี้เพราะมีเส้นทางที่คด ที่เฉออกมาอีกมากมายหลายสายซึ่งเป็นเส้นทางที่หลอกลวง จึงเท่ากับว่าท่านได้วอนขอให้อัลลอฮฺทรงทำให้ท่านห่างไกลจากเส้นทางเหล่านั้น และให้พระองค์ทรงนำทางพวกท่าน หมายถึง ขอให้พระองค์ทรงชี้นำท่านสู่หนทางอันเที่ยงตรงและให้พระองค์ทรงทำให้ท่านมั่นคงอยู่ในหนทางสายดังกล่าว ในทุกๆร็อกอัต ทั้งหมดนี้ก็เนื่องจากความสำคัญของดุอาอฺบทนี้นี่เอง ถ้าลองพิจารณาความหมายดู "หนทางที่เที่ยงตรง" ใครคือบุคคลที่ดำเนินอยู่บนหนทางที่เที่ยงตรง?  คือ บรรดาบุคคลที่อัลลอฮฺทรงประทานความเมตตาแก่พวกเขา 

"คือหนทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงประทานความเมตตาแก่พวกเขา"

แล้วใครกันคือ บรรดาบุคคลที่อัลลอฮฺทรงประทานความเมตตาแก่พวกเขา? 

"ทั้งจากบรรดานบี บรรดาผู้สัจจริง บรรดาชะฮีดและตลอดจนบรรดาคนดีๆ และบุคคลเหล่านี้นั้นคือ สหายที่ดี"

        เมื่อท่านได้วอนขอต่ออัลลอฮฺให้พระองค์ทรงนำทางพวกท่านสู่หนทางนี้แล้ว ท่านจึง(ต้อง)วอนขอให้พระองค์ทรงทำให้ท่านห่างไกลจากหนทางที่หลงผิดและหนทางที่คดเอียงด้วย 

 

"คือหนทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงประทานความเมตตาแก่พวกเขา ไม่ใช่หนทางของพวกที่ถูกโกรธกริ้ว"

         "ไม่ใช่หนทางของพวกที่ถูกโกรธกริ้ว" พวกที่อัลลอฮฺทรงโกรธกริ้วก็คือยะฮู้ด(ยิว)ซึ่งเป็นพวกที่ได้รับรู้ความจริงแต่ไม่ยอมนำความจริงนั้นมาปฏิบัติ ดังนั้น บุคคลทุกๆคนในประชาชาตินี้ที่ไปดำเนินตามอย่างพวกยะฮู้ด เขาจะอยู่บนหนทางของพวกที่อัลลอฮฺทรงโกรธกริ้ว ทั้งนี้เพราะเขาสะสมความรู้ไว้แต่กลับละเลยการปฏิบัติ ดังนั้น ทุกๆคนที่มีความรู้แล้วไม่ยอมกระทำในสิ่งที่ตนรู้ก็คือ พวกที่ถูกโกรธกริ้วนั้นเอง

 

         "และไม่ใช่พวกที่หลงทาง" พวกนี้คือพวกที่ทำอิบาดะฮฺ(สักการะ ภักดี)ต่ออัลลอฮฺ บนพื้นฐานแห่งความโง่เขลาและความหลง พวกเขาพยายามทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ พยายามทำตนให้ใกล้ชิดกับพระองค์ แต่ว่าพวกเขาอยู่บนแนวทางที่ไม่ถูกต้อง อยู่บนวิถีทางที่ไม่ปลอดภัย อยู่บนหลักฐานที่ไม่ได้มาจากพระคัมภีร์อัลกุรอานและจากอัซซุนนะอ์อยู่บนการอุตริ

         “และการอุตริทุกชนิด คือการหลงทาง” ดังที่พวกนะศอรอ(คริสต์)ตลอดจนพวกที่ดำเนินตามพวกเขาเป็น ซึ่งได้แก่บุคคลทุกคนที่ทำอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺโดยตั้งอยู่บนเส้นทางที่ไม่ถูกต้องและบนแนวทางที่ไม่ปลอดภัย คนประเภทนี้คือ ผู้ที่หลงทาง อันตรธานไปจากเส้นทาง และบรรดาการงานที่เขาได้ประกอบขึ้นก็สูญเปล่า

 

        ดุอาอฺบทนี้ เป็นดุอาอฺที่พวกเราขอซ้ำๆกันหลายครั้งในทุกๆร็อกอัตของการละหมาด เราต้องพิจารณาความหมาย แล้วก็ขอดุอาอฺนี้อย่างมีสมาธิและมีความเข้าใจในความหมาย เพื่อที่พวกเราจะได้รับการตอบรับในคำวอนขอนี้ของพวกเรา (จะสังเกตุเห็นได้ว่า) พอหลังจากที่(อ่าน) อัลฟาติฮะฮฺแล้วจะมีการกล่าวว่า อามีน ซึ่งคำว่า อามีน นั้นมีความหมายว่า ขออัลลอฮฺทรงตอบรับด้วยเถิด ดุอาอฺบทนี้เป็นดุอาอฺที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่พินิจพิจารณา

         และผู้ใดก็ตามที่ดำเนินอยู่บนแนวทางของบรรดาบุคคลที่ได้รับความเมตตานั้นย่อมจะถูกทดสอบ ทำให้รู้สึกอึดอัด คับแคบ โดนดูถูกเหยียดหยาม โดนกล่าวหาและถูกข่มขู่ ดังนั้นเขาจึงต้องอาศัยความอดทน จากสภาพข้างต้นนี้จึงได้มีฮะดี้ษหลายบทที่แจ้งไว้ว่า ผู้ที่ยึดมั่นในศาสนาในช่วงบั้นปลายแห่งยุคสมัยเปรียบได้ดั่งคนที่กำหินไฟไว้ ทั้งนี้เพราะต้องพานพบกับภยันตราย ต้องพบเจอกับความไม่ดีที่ผู้คนหยิบยื่นมา เขาจึงต้องอาศัยความอดทนเปรียบดั่งคนที่กำหินไฟไว้ ไม่ใช่ทางที่โปรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่พูดกัน  มันจะมีความยากลำบากมีอุปสรรคขวากหนามจากผู้คนรอบข้าง จึงต้องอาศัยความอดทนและยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่บนเส้นทางนั้นจนกว่าท่านจะได้ไปพบกับพระผู้เป็นเจ้าของท่าน อั้ซซะวะญั้ล ในสภาพที่ท่านก็ยังมั่นคงอยู่เช่นนั้น เพื่อที่จะได้รอดพ้นจากการหลงทางในดุนยา รอดพ้นจากไฟนรกในอาคิเราะฮฺ ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้วนอกจากหนทางสายนี้เท่านั้น และไม่มีวิธีเอาตัวรอดอื่นอีกแล้วนอกจากการดำเนินตามแนวทางนี้เท่านั้น

        ปัจจุบันนี้มีความพยายามก่อกวนและขัดขวางแนวทางของซะละฟุ้ซซอและฮฺ โดยอาศัยการเผยแพร่ตาม(สื่อ)หนังสือ นิตยสารและสิ่งพิมพ์ต่างๆ พวกเขาพยายามบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือ ของชาวซุนนะฮฺวั้ลญะมาอะฮฺที่เป็นบรรดาผู้ที่ดำเนินตามวิถีแห่งซะลัฟที่แท้จริง โดยกล่าวหาว่าคนพวกนี้เป็นพวกหัวรุนแรงบ้าง เป็นพวกชอบกล่าวหาคนอื่นว่าเป็นกาเฟรบ้าง แต่การกระทำดังกล่าวก็ไม่สามารถทำร้ายอะไรบุคคลเหล่านี้ได้ แต่อย่างไรก็ดีพฤติกรรมนี้จะส่งผลกระทบกับคนที่ปราศจากความอดทน และปราศจากความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว

       ตัวอย่างเช่น มีบางคนพูดว่า ซะลัฟเป็นใครกัน? ซะลัฟก็แค่กลุ่มๆหนึ่งที่เหมือนกันกับกลุ่มอื่นๆไม่ได้มีอะไรโดดเด่น  หรือบางคนพูดว่า ซะลัฟก็เป็นแค่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง โดยที่เขาพูดเช่นนี้ก็เนื่องจากต้องการให้พวกเราวางมือจากแนวทางของซะลัฟนั่นเอง หรือบางคนพูดว่า พวกเราไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องไปยึดเอาตามความเข้าใจของชาวซะลัฟหรือตามความรู้ของชาวซะลัฟเสียหน่อย เราไม่ได้ถูกบังคับมาว่าต้องทำอะไรอย่างนั้น เราแหวกทางของเราใหม่ได้เลย เข้าไปวินิจฉัยฮุก่มต่างๆออกมาเสียใหม่เลย เราสร้างฟิกฮฺของเราออกมาใหม่เสียได้เลย ฟิกฮฺของคนพวกนั้นมันโบราณแล้ว ฟิกฮฺของชาวซะลัฟมันเก่าแล้ว ไม่เหมาะเอามาใช้กับยุคปัจจุบัน มันเหมาะกับยุคของพวกท่านไม่เหมาะกับยุคของเรา คนพวกนี้ไม่เห็นคุณค่าและไม่ต้องการใช้ฟิกฮฺของชาวซะลัฟ และพากันเรียกร้องไปสู่ฟิกฮฺฉบับใหม่ ความคิดชุดนี้มีมากและแพร่หลายตามหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ซึ่งเป็นแนวคิดที่มาจากพวกนักเขียน และพวกที่หลงทางทั้งหลาย 

        พวกเขาต้องการให้พวกเราวางมือจากแนวทางของซะลัฟ ทั้งนี้เพราะถ้าหากว่าพวกเราไม่รู้จักแนวทางของชาวซะลัฟ ไม่ให้ความสำคัญและไม่ศึกษาวิถีแห่งซะลัฟ การที่เราอ้างว่าเป็นกลุ่มของซะลัฟแต่เพียงอย่างเดียว โดยปราศจากความรู้ ปราศจากความชัดเจนเกี่ยวกับวิถีทางและแนวความคิดของบรรดาซะลัฟ ก็ย่อมไม่ก่อประโยชน์อะไรขึ้นมาได้ นี่คือสิ่งที่คนพวกนั้นต้องการ พวกเขาอยากให้พวกเราละทิ้งวิถีทางและแนวคิดของซะลัฟ ละทิ้งฟิกฮฺของชาวซะลัฟ และละทิ้งวิชาการของชาวซะลัฟไปเสีย แล้วให้พวกเราบัญญัติฟิกฮฺขึ้นมาใหม่เหมือนที่พวกเขาว่ากันว่า เป็นฟิกฮฺที่เหมาะกับยุคสมัยทั้งๆที่มันไม่เป็นความจริงแต่ประการใดเลย เพราะบทบัญญัติของอิสลามเป็นบทบัญญัติที่มีความเหมาะสมสำหรับทุกยุคสมัยตราบจนกระทั่งวันกิยามะฮฺ แนวทางของซะละฟุ้ซซอและฮฺจึงเป็นแนวทางที่มีความเหมาะสมกับทุกสถานที่ เป็นแนวทางที่เป็นรัศมีจากอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเกียรติ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ดังนั้นท่านอย่าได้ให้คำพูดของเหล่าผู้หลอกลวง พวกที่หลงทางพวก มาทำให้ท่านหยุดใส่ใจและไม่เห็นคุณค่าของแนวทางของซะลัฟนี้เป็นอันขาด

ท่านอิหม่ามมาลิก ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮุตะอาลา ได้พูดไว้ว่า 

        “บุคคลในยุคหลังของอุมมะฮฺนี้ย่อมไม่สามารถเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้นอกจากจะด้วยกับสิ่งที่ทำให้บุคคลในยุคแรกได้เจริญรุ่งเรืองมาก่อนแล้วเท่านั้น” 

          แล้วอะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลในยุคแรกเจริญรุ่งเรือง? คืออัลกุรอ่าน คืออัซซุนนะฮฺ และการปฏิบัติตามท่านร่อซู้ล ประพฤติตามอัลกุรอ่าน กระทำตามอัซซุนนะฮฺ เช่นนี้คือสิ่งที่ทำให้บุคคลในยุคแรกของอุมมะฮฺนี้เจริญรุ่งเรืองมาแล้ว และบุคคลในยุคหลังของอุมมะฮฺนี้ย่อมไม่สามารถเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้นอกจากจะด้วยกับสิ่งที่ทำให้บุคคลในยุคแรกได้เจริญรุ่งเรืองมาก่อนแล้วเท่านั้น

         ดังนั้น ผู้ใดที่ต้องการที่จะรอดพ้น เขาจงทำความรู้จักกับวิถีทางของซะลัฟ และจงยึดมันไว้ให้มั่นคง ตลอดจนจงเรียกร้องเชิญชวนสู่แนวทางสายนี้ เพราะมันคือ ทางรอด คือเรือของท่าน นู้ฮฺ อลัยฮิ้สสลาม ใครที่ขึ้นมาโดยสารเขาก็รอด ส่วนใครที่ไม่ยอมขึ้นมาโดยสารเขาก็พินาศและจมปลักอยู่ในความหลงทาง ย่อมไม่มีทางรอดใดอื่นอีกสำหรับพวกเราเว้นเสียแต่เส้นทางแห่งซะลัฟสายนี้ ซึ่งเราย่อมไม่สามารถรู้จักกับวิถีแห่งซะลัฟได้นอกจากจะด้วยกับการศึกษา การเรียนรู้ ถ่ายทอด และค้นคว้า พร้อมกันนั้นก็วอนขอจากอัลลอฮฺ 

 

"ขอพระองค์นำทางพวกเราสู่หนทางที่เที่ยงตรง คือหนทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงประทานความเมตตาแก่พวกเขา"

          พวกเราวอนขอต่ออัลลอฮฺ ขอให้พระองค์ทรงบันดาลให้เราได้เรียนรู้วิถีทางสายนี้จนบรรลุความสำเร็จ และโปรดทรงให้เรามั่นคงอยู่บนแนวทางนี้ด้วย เรื่องๆนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงคำกล่าวอ้างเท่านั้น ซึ่งคำกล่าวอ้างใดก็ตามที่ปราศจากหลักฐานมายืนยันความจริง เจ้าของคำกล่าวอ้างก็เป็นได้เพียงคนที่อ้างขึ้นมาลอยๆเท่านั้น อัลลอฮฺ  ทรงตรัสไว้(ความ)ว่า 

 

"และตลอดจนบรรดาผู้ที่ดำเนินตามพวกเขาเหล่านั้นด้วย(การดำเนินตาม)อย่างดีเลิศ"

        ซึ่งหมายถึง การมีความถี่ถ้วนและปราณีต ซึ่งท่านเองย่อมไม่สามารถที่จะมีความละเอียดถี่ถ้วนและเชี่ยวชาญในแนวทางของซะลัฟได้นอกจากจะต้องได้รู้จักและได้เรียนรู้เสียก่อน อีกทั้งท่านก็คงไม่สามารถยืนหยัดยึดมั่นได้เว้นเสียแต่ว่าท่านนั้นได้มีความอดทน อย่าได้ไปฟังคำโฆษณาชวนเชื่อที่จะพาให้ท่านหลงทาง และผลักท่านออกจากแนวทางนี้ ซ้ำยังทำให้ท่านมองไม่เห็นคุณค่าของหนทางสายนี้อีกด้วยเป็นอันขาด แนวทางนี้คือเส้นทางที่ถูกต้อง คือทางรอด ทุกเส้นทางทั้งหมดอยู่ในไฟนรก นอกจากหนึ่งเดียวเท่านั้น ดังที่ท่านเราะซูล  กล่าวว่า “คือ บุคคลที่ตั้งมั่นอยู่บนสิ่งที่ตัวฉันและตลอดจนศ่อฮาบะฮฺของฉันได้ตั้งมั่นอยู่บนนั้น ณ วันนี้” นี่คือแนวทางของชาวซะลัฟ คือทางรอด คือหนทางสู่สวรรค์ ไม่มีเส้นทางอื่นนอกจากเส้นทางสายนี้เท่านั้น เส้นทางอื่นใดนอกเหนือจากเส้นทางสายนี้นั้นล้วนหลงผิดทั้งสิ้น 

 

"และอย่าได้ไปดำเนินตามบรรดาเส้นทางต่างๆ เพราะนั่นจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายออกจากเส้นทางของพระองค์"

          นี่คือหนทางแห่งอัลลอฮฺ หนทางอื่นจากนี้ทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นหนทางที่ก่อให้เกิดการหลงทางทั้งสิ้น เป็นบรรดาเส้นทางที่คดเอียง ที่ปากทางของแต่ละเส้นทางดังกล่าวจะมีไชยตอนคอยชวนเชิญให้ผู้คนเข้ามาดำเนินตามเส้นทางสายนั้นๆ
ท่านนบี ได้เตือนให้มีความระมัดระวังจากผู้เชื้อเชิญดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้เชิญชวญสู่ความหลงผิดที่มีความต้องการที่จะดึงผู้คนให้ออกห่างจากแนวทางของซะลัฟ และท่านได้แจ้งไว้ว่าบุคคลจำพวกนี้คือ ผู้เชื้อเชิญที่ทำการเชิญชวนอยู่ที่ปากประตูของญะฮันนัม ใครที่หลงเชื่อก็จะถูกโยนเข้าไปในนั้น ดังนั้น จึงต้องพึงระวังคนพวกนี้เอาไว้ให้มาก ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปความเป็นเรื่องแปลกก็ดูจะชัดและหนักหน่วงขึ้น ความวุ่นวายก็รังแต่จะมากขึ้นๆ ผู้เป็นมุสลิม จึงต้องให้การเอาใจใส่ต่อแนวทางของซะลัฟนี้ให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

          ตัวอย่างหนึ่งของพวกที่นำพาให้ผู้อื่นต้องตกอยู่ในความหลงทาง ได้แก่ คนที่พูดว่าเราทุกคนเป็นมุสลิมด้วยกันทั้งนั้น แต่เป็นมุสลิมที่วางตนอยู่บนเส้นทางสายไหนกัน ? เป็นมุสลิมที่ตั้งมั่นอยู่บนวิถีทางของท่านร่อซู้ลและบรรดาศ่อฮาบะฮฺของท่าน โดยยอมจำนนแต่โดยดี หรือเป็นมุสลิมแค่ชื่อ แต่ตัวตนกลับไปวางอยู่บนเส้นทางที่คดเอียง บนวิถีทางของใครต่อใครที่ไม่อาจทราบได้ คนพวกนี้คือพวกที่หลงทางกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่นรกญะฮันนัม เพียงแค่การอ้างว่าสังกัดเข้ากับอิสลามเฉยๆ หรืออ้างว่ากลุ่มที่ตนสังกัดมาพร้อมกับข้อเท็จจริง ซึ่งในประการหลังนั้นไม่สามารถมีขึ้นได้นอกจากจะต้องอาศัยความรู้ที่ยังประโยชน์ และการเอาใจใส่ต่อการศึกษาค้นคว้า จากความเข้าใจตรงนี้จะพบได้ว่า บรรดาอุละมาอ์ต่างให้ความสำคัญกับเรื่องของหลักเชื่อมั่นรวมถึงรายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้อง และยังได้ประพันธ์ตำราที่ให้ข้อมูลเชิงลึก และตำราที่เล่าถึงข้อมูลโดยสรุป ทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์เพื่อทำการศึกษาและเรียนรู้แนวทางของบรรดาซะลัฟ เพื่อเป็นการเอาใจใส่และให้ความสำคัญต่อแนวทางดังกล่าวตลอดจนเพื่อจะได้ยึดถือและดำเนินตามแนวทางนั้นๆด้วย

       ด้วยเหตุนี้จึงเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความมืดมนและความหลงผิดได้แผ่กระจายเข้ามาปกคลุม ผู้ที่เป็นมุสลิมจึงตกอยู่ในภาวะที่ต้องการแสงรัศมี เพื่อจะได้ใช้ส่องทางเดินฝ่าไปในความมืด ในความหลง และในความเขลาได้นั่นเอง


        สมัยนี้คนที่ทำตัวเป็นผู้รู้มีมากมาย อ้างตนว่าเป็นผู้มีความรู้ ทั้งๆที่เขาไม่ได้ไปรับเอาความรู้มาจากแหล่งจากรากที่แท้จริง แต่กลับไปรับเอาความรู้มาจากคนที่ระดับพอๆกันกับเขา หรือรับเอาความรู้มาจากหนังสือ หรือจากแหล่งวิทยาการต่างๆ ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ไม่สามารถนำพาเขาไปสู่ความถูกต้องได้ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีกระบวนการศึกษาเรียนรู้ที่ถูกต้อง สำหรับศึกษาแนวทางแห่งชาวซะลัฟ และต้องมีความอดทนต่อทุกสิ่งที่ประสบ(ระหว่างที่ได้ดำรงตนอยู่)ในหนทางสายนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำตำหนิ การดูถูกหรืออื่นใดก็แล้วแต่ ในช่วงเวลานี้พวกท่านก็คงได้ยินได้ฟังคำตำหนิและการเหยียดหยามที่มีขึ้นกับบุคคลที่ยึดถือตามแนวทางชาวซะลัฟกันมาบ้าง คนพวกนั้นพูดกันว่าบุคคลดังกล่าวเป็นพวกตกยุคบ้าง เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้บ้าง อย่าได้ให้คำพูดเหลวไหลพวกนี้มาทำให้ท่านเลิกล้มและละทิ้งสัจธรรมความจริงเป็นอันขาด จงยึดมั่นต่อแนวทางอันปลอดภัยนี้ไว้ เพราะมันคือทางรอด จากตรงนี้นี่เองที่ท่านเราะซูล  ได้กล่าวไว้(ความ)ว่า 

         “พวกท่านต้องใช้แนวทางของฉัน และแนวทางของบรรดา ค่อลีฟะฮฺ ที่ต่างเป็นบุคคลที่มีความชัดเจนบนความถูกต้อง และต่างเป็นบุคคลที่ตั้งมั่นอยู่บนแนวทางอันถูกต้อง ภายหลังจากฉัน พวกท่านจงยึดมันไว้ให้มั่น จงขบมันไว้ด้วยฟันกราม” 

        “เพราะว่าบุคคลใดก็ตามในพวกท่านที่จะยังมีโอกาสมีชีวิตยืนยาวอยู่ต่อไปอีก เขาก็จะได้พบได้เห็นกับความขัดแย้งอันมากมาย ดังนั้น พวกท่านต้องใช้แนวทางของฉัน” 

         ในช่วงที่เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้น การรอดพ้นคงมีขึ้นไม่ได้นอกเสียจากจะด้วยกับการยึดมั่นตามแนวทางของท่านร่อซู้ล ตลอดจนแนวทางของบรรดา ค่อลีฟะฮฺ ที่ต่างเป็นบุคคลที่มีความชัดเจนบนความจริง และต่างเป็นบุคคลที่ตั้งมั่นอยู่บนแนวทางอันถูกต้องเท่านั้น นี่คือทางรอด คือวิถีทางของอิสลาม คือหนทางแห่งสรวงสวรรค์

         พวกเราต้องมีความเอาใจใส่ต่อวิถีทางของชาวซะลัฟ อย่าได้ทำให้พฤติกรรมบั่นทอนสถานะของวิถีทางนี้ หรือคำกล่าวตำหนิใดๆ มาทำให้พวกเราล้มเลิกและละทิ้งวิถีทางนี้ไปได้ เพราะอย่างไรก็แล้วแต่สถานะภาพของเส้นทางสายนี้ย่อมไม่มีทางบั่นทอนและลดน้อยลงเลยในจิตใจของพวกเรา มิหนำซ้ำมันยังกลับเป็นการเพิ่มพูนสถานภาพในจิตใจให้มากขึ้นและมีความสำคัญขึ้นเสียอีกด้วยซ้ำ เพราะพฤติกรรมรุกรานที่พวกเขามีต่อแนวทางสายนี้นั้น มันไม่ได้มีแรงจูงใจอะไรอื่น เว้นเสียแต่เพียงเพราะว่าเส้นทางสายนี้ คือสัจธรรม คือความจริงเท่านั้นเอง ในขณะที่คนพวกนั้นกำลังต้องการ อยากจะหลงทางกันออกไป

          ดังนั้น ผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮฺทั้งหลาย พวกท่านจงระวังตัวจากคนพวกนั้น อย่าหยุดอยู่แค่เพียงการอ้างว่าตนได้สังกัดตามแนวทางแล้วก็ถือว่าพอ อย่าคิดว่าแค่การอ้างว่าตนมีความรู้ทั้งๆที่ยังไม่เคยเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ใดๆเลย ฉะนั้นจงไปรับเอาวิชาจากบรรดาอุละมาอฺที่เป็นที่ทราบกันและเป็นที่ยอมรับกันในเรื่องของวิชาการ ในเรื่องของความรู้ บรรดาอุละมาอฺที่ยืนหยัดมั่นคงอยู่บนวิถีทางที่ถูกต้อง และจงออกห่างจากเส้นทางอันคดเอียงต่างๆเหล่านี้เสีย ซึ่งถือเป็นเส้นทางที่อัลลอฮฺได้ทรงเตือนพวกเราให้ระมัดระวังตนจากมันเอาไว้แล้ว ดังที่(มีความ)ว่า 

"และอย่าได้ไปดำเนินตามบรรดาเส้นทางต่างๆ เพราะนั่นจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายออกจากเส้นทางของพระองค์"

(ออกจากเส้นทางของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ออกจากหนทางอันเที่ยงตรงนั้นเอง)

        ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพึ่งพาแนวทางสายนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความโกลาหลได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น พวกที่เชื้อเชิญไปสู่การหลงทางมีจำนวนมากขึ้น และสื่อที่เผยแพร่แต่สิ่งที่เลวทรามมีมากขึ้นด้วย ซึ่งสื่อที่ไม่ดีพวกนี้เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้อย่างง่ายดายส่งตรงถึงบ้านหรือถึงที่นอนของพวกเขาเลยที่เดียว สื่อเหล่านี้จะเข้ามาคอยดึงพวกเขาไปสู่การหลงทาง สู่ข้ออ้างแห่งเสรีภาพ สู่อารมณ์อันเป็นที่ต้องห้าม มันจะมาชวนพวกเขาไปสู่แนวคิดที่บิดเพี้ยน ที่พวกเขาเรียกมันว่า ฟากฟ้าอันไพศาล (เสรีภาพทางความคิด) วัฒนธรรมนั้นเปิดกว้าง ไม่มีอะไรที่จะต้องมาควบคุมกันหรือมาเข้มงวดต่อกันอีกแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถทำให้มุสลิมละทิ้งแนวทางของชาวซะลัฟ แนวคิดของชาวซะลัฟ และความรู้ของชาวซะลัฟไปได้แต่ประการใด

         แนวทางของชาวซะลัฟเป็นแนวทางที่ปลอดภัยมากกว่า ลึกซึ้งมากกว่า และมีเหตุผลตลอดจนมีความลงตัวที่มากกว่า ความรู้ของชาวซะลัฟคือความรู้ที่บริสุทธิ์ซึ่งได้รับมาจาก พระคัมภีร์และจากอัซซุนะฮฺ ส่วนความรู้ของชนยุคหลังนั้นมีสิ่งที่แทรกซึมอยู่ มีสิ่งเจือปนมากมาย ไม่บริสุทธิ์ ต่างจากความรู้ของชาวซะลัฟที่มีความบริสุทธิ์ ด้วยเหตุที่ว่านี้ พวกท่านจะพบได้ว่า ตำราของชาวซะลัฟที่เป็นตำราที่เก่าจะมีความบริสุทธิ์มาก และมีความถูกต้องที่ชัดเจน

        ท่านอัลอั้ลลามะฮฺ อิบนุ ร่อยับ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ในสารฉบับหนึ่งของท่าน(ที่มีชื่อว่า) "ความประเสริฐของความรู้ของชาวซะลัฟที่มีเหนือความรู้ของชนยุคหลัง " ท่านกล่าวว่า “ชาวซะลัฟนั้น คำพูดของพวกท่านไม่มาก แต่ความรู้มาก ส่วนชนยุคหลังนั้นคำพูดของพวกเขามากแต่ความรู้น้อย”

         ดังนั้น เราจึงต้องพยามตื่นตัวต่อแนวทางของชาวซะลัฟ ที่เราเองคงไม่พบทางรอดใดอื่นนอกจากจะด้วยกับการดำเนินตามทางสายนี้เท่านั้น และด้วยกับความอดทน การยืนหยัดอยู่บนเส้นทางสายนี้ หลังจากที่ได้รู้จักและศึกษาเกี่ยวกับแนวทางอันถูกต้องนี้แล้วโดยปราศจากข้อคลุมเคลือและความแคลงใจใดๆทั้งสิ้น ซึ่งจริงๆแล้วมีเรื่องราวที่ถูกอ้างอิงถึงชาวซะลัฟทั้งๆที่มันไม่เป็นความจริงแต่ประการใด และมันไม่ใช่แนวทางของพวกเขาเลย ดังนั้นพวกเราต้องพยายามระมัดระวังสิ่งบิดเบือนเหล่านี้ด้วย

อัลลอฮฺ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ตรัสไว้(ความว่า) 

"และเจ้าจงเตือนให้รำลึกเถิด เพราะการเตือนให้รำลึกนั้น เป็นประโยชน์แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธา"
 

"ดังนั้นเจ้าจงเตือนให้รำลึกเถิดแน่นอนว่าการเตือนให้รำลึกนั้นมีประโยชน์ บุคคลที่เกรงกลัวจะรำลึกขึ้นได้"

         ขออัลลอฮฺ  โปรดประทานความสำเร็จแก่เราและท่านสู่การกระทำที่ดีและคำพูดที่ดี และให้เรามั่นคงอยู่บนสัจธรรม และได้ดำเนินอยู่บนสัจธรรมนี้และตลอดจนให้เรามีความอดทนต่อภยันตรายที่เกิดขึ้นในหนทางนี้ด้วยเถิด


وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وأصحابه أجمعين.


 

อาบีดีณ โยธาสมุทร   แปลและเรียบเรียง