เเนวทางสลัฟสำคัญอย่างไร
  จำนวนคนเข้าชม  6893

 

เเนวทางสลัฟสำคัญอย่างไร ?

 

เรียบเรียงโดย อับดุลบารีย์ นาปาเลน 
 

 

        แน่นอนยิ่งในยุคของท่านนบีมูฮัมมัด  เป็นยุคที่ดีเลิศที่สุด เนื่องด้วยรัศมีที่อัลลอฮ์  ได้ทรงประทานลงมาอย่างต่อเนื่อง  ท่านนบี  ได้กล่าวว่า


" خَيْرُ أُمَّتِي الْقَرْنُ الَّذِي بُعِثْتُ فِيهِمْ... "
 

 “ ยุคที่ดีเลิศของประชาชาติฉัน คือยุคที่พระองค์ได้ส่งฉันไปยังพวกเขา ”
 

(รายงานโดย ติรมีซีย์และอะหฺมัด)

         นั่นคือความประสงค์ของพระองค์ที่ได้ส่งให้ท่านนบี  มา เพื่อเป็นความเมตตาต่อมนุษยชาติ และเพื่อให้พวกเขาได้หลุดออกจากความมืดทั้งหลายมาสู่หนทางที่สว่าง เป็นหนทางแห่งความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า แต่หลังจากที่ท่านนบี  ได้จากไป เกิดความเศร้าโศกต่อประชาชาติอิสลามเป็นอย่างมาก ที่วะหฺยูได้ถูกตัดไป จากที่บรรดาศอฮาบะหฺได้เห็นได้สัมผัสในชีวิตของพวกเขา สายตาของพวกเขา ได้รับและสัมผัสกับรัศมีที่พวกเขาได้เห็นท่านนบี  และหูของพวกเขาได้ยินเสียงของท่าน พวกเขาจึงเป็นยุคที่ดีเลิศ  ณ ปัจจุบัน นับวันยิ่งห่างไกลจากยุคที่ดีเลศ เริ่มมีความชั่วปรากฏ ฟิตนะหฺต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จึงจำเป็นที่เราต้องหวนกลับไปมองดูแบบอย่างในยุคของบรรดาศอฮาบะฮ์ เพื่อที่เราจะได้รับความดี ความเมตตา และความพึงพระทัยจากพระองค์เหมือนดังที่พวกเขาได้รับ

        ชาวอะหฺลุซซุนนะหฺวัลญามาอะหฺ จะให้เกียรติแก่บรรดาศอฮาบะห์ ของท่านนบี  และให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติพวกเขา และนำความเข้าใจต่ออัลกุรอ่านและซุนนะห์ที่พวกเขาได้ทิ้งไว้มาเป็นหลัก จึงเป็นที่ประจักษ์ว่า ผู้ที่ตามแบบอย่างที่ดีจะได้รับความพอพระทัยจากอัลลอฮ์ และจะได้รับผลตอบแทนซึ่งบรรดาสวนสวรรค์

ดังที่พระองค์ ตรัสความว่า 

         “ บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ(ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์ด้วย และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่างพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง “ 

( อัตเตาบะหฺ / ๑๐๐)

ท่านอิบนุกาซีรฺได้อธิบายเกี่ยวกับกลุ่มอะหฺลุซซุนนะหฺวัลญามาอะหฺไว้ว่า 

         “ ชาวซุนนะห์ ต่างขอความพึงพระทัยต่อผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัยต่อเขา และประณามต่อผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์และรอซูลทรงประณาม และจะเป็นมิตรต่อผู้ที่พระองค์ทรงเป็นมิตรแก่เขา และเป็นศัตรูต่อผู้ที่เป็นศัตรูต่อพระองค์ และพวกเขาจะเป็นผู้ที่เชื่อฟังและจะไม่ฝ่าฝืน และเดินตามซุนนะหฺ และจะไม่เป็นผู้อุตริ ดังนั้นพวกเขาคือพรรคพวกของอัลลอฮที่ได้รับชัยชนะ และเป็นบ่าวของพระองค์ที่ศรัทธา “ 

( ตัฟเซร อัลกุรอ่าน อัลอาซีม ซูเราะหฺ อัตเตาบะหฺ / ๑๐๐)

        “และผู้ใดที่ฝ่าฝืนร่อซูล หลังจากที่คำแนะนำอันถูกต้องได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว และเขายังปฏิบัติตามที่มิใช่ทางของบรรดาผู้ศรัทธา นั้น เราก็จะให้เขาหันไปตามที่เขาได้หันไป และเราจะให้เขาเข้านรกญะฮันนัม และมันเป็นการกลับอันชั่วร้าย “ 
 

(อันนิซาอฺ : 117)

หนทางของบรรดาผู้ศรัทธาในโองการนี้หมายถึง หนทางของบรรดาศอฮาบะหฺ

        “แล้วหากพวกเขาศรัทธาอย่างที่พวกเจ้าศรัทธาแล้ว(คือท่านนบีและบรรดาศอฮาบะหฺ) แน่นอนพวกเขาก็ย่อมได้รับข้อแนะนำที่ถูกต้อง และหากพวกเขาผินหลังให้ แน่นอนพวกเขาย่อมอยู่ในความแตกแยกกัน แล้วอัลลอฮ์ก็จะทรงให้เจ้าพอเพียงแก่พวกเขา และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการได้ยิน ทรงไว้ซึ่งความรอบรู้ “

       “ จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด นี่คือแนวทางของฉัน ฉันเรียกร้องไปสู่อัลลอฮ์อย่างประจักษ์แจ้งทั้งตัวฉันและผู้ปฏิบัติตามฉัน และมหาบริสุทธิ์แห่งอัลลอฮ์ ฉันมิได้อยู่ในหมู่ตั้งภาคี”
 

(ยูซุฟ : 108) 

         บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามท่านนบี ในยุคแรกคือ บรรดาศอฮาบะหฺ จึงจำเป็นสำหรับคนรุ่นหลัง ที่จะต้องไม่ลืมบุญคุณของพวกเขา ด้วยกับการขอดุอา เพราะบรรดาศอฮาบะฮ์ได้ช่วยเหลือศาสนาของอัลลอฮและช่วยเหลือรอซูลของพระองค์

         “ และบรรดาผู้ซึ่งมาทีหลังพวกเขา(หมายถึงผู้ที่มาหลังบรรดาศอฮาบะหฺ เพราะโองการก่อนหน้ากล่าวถึงชาวมูฮาญีรีนเเละชาวอันซอร) จะกล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของพวกเรา ได้โปรดอภัยแก่เรา และแก่บรรดาพี่น้องของเราผู้ซึ่งได้ศรัทธาก่อนหน้าเรา(ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว) และโปรดอย่าให้มีความอคติเคียดแค้นต่อบรรดาผู้ศรัทธาเกิดขึ้น ในหัวใจของพวกเรา โอ้พระผู้อภิบาลของพวกเรา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงเอื้ออาทร ผู้ทรงกรุณายิ่งเสมอ" 

(อัลฮัชรฺ /๑๐)


عَنْ عَبْدِ اللَّهِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ، عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ: «خَيْرُ النَّاسِ قَرْنِي، ثُمَّ الَّذِينَ يَلُونَهُمْ، ثُمَّ الَّذِينَ يَلُونَهُمْ،..."
 

 “ผู้คนที่ประเสริฐที่สุด คือ คนในศตวรรษของฉัน ถัดมาคือศตวรรษต่อจากนั้น ถัดมาก็คือศตวรรษต่อจากนั้น...”
 

 (รายงานโดย อัล-บุคอรีย์ : 2652 สำนวนนี้เป็นของท่าน, มุสลิม : 2533)

         ท่านนบี ได้รับรองยุคของศอฮาบะหฺว่าเป็นยุคที่ประเสิรฐยิ่ง จึงไม่มีผู้หลงผิดที่ออกไปจากแนวทาง  หลังจากนั้นยุคต่อมาเริ่มมีปรากฏขึ้นจากบุคคลที่กล้าแปลตัวบทตามความเข้าใจและตามอารมณ์ของตน แล้วอ้างว่าความเข้าใจของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง ประชาชาติจึงได้แตกออกเป็นกลุ่มๆ ตรงกับในฮาดิษที่ว่า 

          “และหากผู้ใดผู้หนึ่งในหมู่พวกท่านมีชีวิตยืนยาวต่อไป เขาก็จะได้พบกับความขัดแย้งอันมากมาย ดังนั้นพวกท่านจงยึดไว้ซึ่งสุนนะฮฺ(แนวทาง)ของฉัน และสุนนะฮฺของบรรดาเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงธรรมที่ได้รับทางนำ จงกัดมันด้วยฟันกราม และพวกท่านจงพึงระวังต่ออุตริกรรมทั้งหลายในศาสนา เพราะทุกๆ อุตริกรรม(บิดอะฮฺ) นั้นคือความหลงผิด ” 

(หะดีษบันทึกโดยอบูดาวูด และอัต-ติรมิซีย์ และท่านกล่าวว่า หะดีษอยู่ในระดับหะสันเศาะหี้หฺ)

       ดังนั้น กลุ่มที่ถูกต้อง อะหฺลุสสุนนะหฺวัลญามาอะหฺ จะมีสายรายงานที่สูงที่สุด ถ้าได้เทียบกับกลุ่มต่างๆที่เกิดขึ้นมาใหม่ ซึ่งสายรายงานจะสืบทอดไปถึงบรรดาศอฮาบะหฺและบรรดาชาวสลัฟที่ ส่วนกลุ่มอื่นๆ นั้นจะอ้างศาสนาของพวกเขาหรือแนวทางของพวกเขาไปยังบุคคลที่เกิดมาภายหลังไม่นานมานี้เอง และส่วนมากได้ตั้งชื่อกลุมของตน ตามชื่อของบุคคล

         ในฮาดิษท่านนบี  ได้บอกถึงความแตกแยกของประชาชาติ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่สำคัญคือแตกเพี้ยนออกไปในเรื่องของหลักการความเชื่อ เพราะมันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ออกจากแนวทางที่ถูกต้อง จึงเหลือแค่กลุ่มเดียวเท่านั้นที่ท่านนบี  ได้รับรอง คือบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามท่านและตามบรรดาศอฮาบะหฺของท่านเท่านั้น

        “พวกยิวได้แบ่งออกเป็นเจ็ดสิบเอ็ดจำพวก พวกคริสต์ได้แบ่งออกเป็นเจ็ดสิบสองจำพวก และประชาชาติของฉันจะแบ่งออกเป็นเจ็ดสิบสามจำพวก ทั้งหมดอยู่ในไฟนรก นอกจากพวกเดียวเท่านั้น” 

และยังมีรายงานที่ถูกต้องอีกว่า : พวกเขาถามว่า “โอ้รอซูลุลลอฮฺ พวกที่รอดพ้นเป็นพวกไหน?” 

ท่านนบี  ตอบว่า “พวกที่อยู่บนแนวทางเหมือนกันกับฉันและบรรดาสาวกของฉัน”

(รายงานโดยอะหฺมัดและติรมีซีย์ และอีกหลายสายรายงาน เป็นฮาดิษที่ศอฮีหฺ)

กลุ่มที่ยังดำเนินตามซุนนะฮ์จะมีตลอดจนถึงวันกียามะหฺ ดั่งที่ท่านนบี  ได้กล่าวว่า 

       “ในประชาชาติของฉัน กลุ่มชนที่ยืนหยัดบนความถูกต้องจะมีอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ดูถูกและต่อต้านไม่มีทางสร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเขาแต่อย่างได พวกเขาจะยืนหยัดบนหลักการนี้ จนกระทั่งการงานของอัลลอฮ์ได้มาถึง (คือวันกิยามะฮฺ) “ 

(รายงานโดยมุสลิม)

ท่านนบี   กล่าวว่า 

          "ความรู้(ศาสนา)นี้ จะแบกรับต่อจากทุกๆรุ่นในภายหลัง จากบรรดาผู้ทรงคุณธรรม(มีความสัจจะ) ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด(ผู้ทำอุตริกรรม) และการประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่หลงผิด และจากการตีความของบรรดาบุคคลที่โง่เขลา" 

(รายงานโดย อัลบัยฮากีย์ และท่านอัลบานีย์กล่าวว่าซอฮีหฺ)

จากท่านอัลดุลลอฮ บินมัสอูด รอดียัลลอฮูอันฮฺ 

         “ ผู้ใดที่ต้องการจะหาแบบฉบับ ก็จงตามแบบฉบับ(ของบรรดาเศาะหาบะฮ์)ผู้ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว (มีอีกรายงานกล่าวว่า) เพราะผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่รับประกันถึงฟิตนะฮ์ พวกเขาคือบรรดาเศาะหาบะฮ์ ผู้เป็นมิตรสหายกับท่านนบีมูฮำมัด  เป็นบุคคลที่มีความประเสริฐที่สุดในประชาชาตินี้ เป็นผู้ที่มีจิตใจดีเลิศ เป็นผู้ที่มีความรู้ลึกซึ้งมากที่สุด เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่สุด พระองค์อัลลอฮ์ได้เลือกพวกเขาให้เป็นมิตรต่อท่านนบี  และเป็นผู้แบกรับซึ่งศาสนาของพระองค์ ดังนั้น พวกเจ้าจงปฏิบัติตามมารยาทของพวกเขาและแนวทางของพวกเขา เพราะแน่นอนพวกเขาคือผู้ที่อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง ”

(รายงานโดย อีหม่ามอัลบอฆอวีย์ ใน ชัรหิสสุนนะหฺ)

ท่านอีหม่ามบัยฮากีย์ ได้รายงานว่า  จากท่านอีหม่ามชาฟีอีย์ รอฮีมาฮุลลอฮ ได้กล่าวว่า 

         “ พระองค์อัลลอฮ์  ได้ยกย่องบรรดาศอฮาบะห์ ในคำภีร์อัลกุรอ่าน และโตราห์ และอินญีล(ใบเบิ้ล) และท่านนบี ได้ยกย่องพวกเขาจากคำพูดของท่านเอง โดยที่ไม่มีผู้ใดอีกหลังจากพวกเขาที่จะได้รับตำแหน่งอันสูงนี้ ดังนั้น จึงขอให้อัลลอฮได้ทรงเมตตาพวกเขา และขอให้พวกเขาได้รับซึ่งความสุข ด้วยกับสิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ให้แก่พวกเขา จากตำแหน่งที่สูงสุดจากบรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และพวกเขาได้สืบทอดซุนนะหฺของท่านนบี  แก่พวกเรา

และได้เห็นท่านนบี ในขณะที่วะหฺยูได้ถูกประทานลงมา พวกเขาจึงรู้เป้าหมายของท่านนบี  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั่วๆไป หรือเรื่องที่เจาะจง หรือสิ่งที่ท่านตั้งใจ หรือสิ่งที่ท่านให้คำแนะนำ และพวกเขาได้รับรู้ซุนนะหฺของท่านนบี  จากสิ่งที่เรารู้หรืออาจจะยังไม่รู้ ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นผู้ที่เหนือกว่าพวกเราทั้งหมดจากเรื่องของความรู้ ความพยายาม(วินิฉัย) และในเรื่องของความศรัทธา สติปัญญา และในเรื่องต่างๆที่ต้องวินิฉัยด้วยความรู้พร้อมกับอ้างอิงด้วยหลักฐาน และความคิดของพวกเขา สำหรับพวกเรานั้น เป็นที่ดีกว่า และหน้าสรรเสริญกว่าความคิดของพวกเราที่มีแก่พวกเราเสียอีก “

( มานากิบ อัชชาฟีอีย์ ๑/๔๔๒)