มาเข้าใจหลักศรัทธาอิสลามให้ชัดเจน
  จำนวนคนเข้าชม  28481

 

มาเข้าใจหลักศรัทธาอิสลามให้ชัดเจน

 

ศอลิหฺ บิน อับดุลอะซีซ บิน อุษมาน สินดีย์

 

        อิสลามเป็นศาสนาที่ชัดเจน และง่ายต่อการทำความเข้าใจสำหรับทุกคน ซึ่งเป็นศาสนาที่เปิดประตูกว้างเสมอสำหรับทุกคนที่จะเข้ารับนับถือ
 

          ถ้าหากว่าการพูดถึงบัญญัติต่างๆ ของอิสลามอันมากมายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะอธิบายได้ด้วยคำพูดสั้นๆ ณ ที่นี่จึงขออธิบายเนื้อหาหลักๆ สักนิดหนึ่ง เพื่อเพิ่มความเข้าใจให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นสำหรับท่านที่ต้องการจะรู้เพิ่มเติม
 

         ทุก ๆ หลักการและความรู้ของอิสลามเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่หลักการบางส่วนก็มีความสำคัญมากกว่าอีกบางส่วน และต่อไปนี้เป็นหลักการที่สำคัญที่สุดหกประการที่จำเป็นจะต้องเชื่อมั่นด้วยหัวใจ และอีกห้าประการสำหรับการปฏิบัติ 

 

หลักความเชื่อทั้งหกประการมีดังนี้

 

1. การศรัทธาต่ออัลลอฮฺเพียงผู้เดียว ไม่มีภาคีใดๆ ควบคู่กับพระองค์
 

            นั่นคือ ด้วยการที่ผู้หนึ่งศรัทธาว่า อัลลอฮฺเพียงผู้เดียวเท่านั้นคือผู้สร้างโลกนี้และสิ่งต่างๆ และพระองค์เพียงผู้เดียวที่บริหารจัดการตามที่พระองค์ประสงค์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ดังนั้นการเคารพบูชาจะไม่เกิดขึ้นกับผู้ใดเว้นแต่กับอัลลอฮฺเท่านั้น ซึ่งการบูชานี้คือการปฏิบัติตามหลักการและเอกลักษณ์ต่างๆ ของอิสลาม พร้อมกับเชื่อมั่นว่าศาสนาอื่นนอกเหนือจากอิสลามย่อมเป็นศาสนาที่โมฆะทั้งสิ้น


2. การศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮฺ 

            มลาอิกะฮฺ คือสิ่งถูกสร้างหนึ่งของอัลลอฮฺ ที่พวกเรามองไม่เห็นในโลกนี้ พวกเขาดำรงการเคารพบูชาต่ออัลลอฮฺและไม่ทรยศพระองค์อย่างเด็ดขาด ซึ่งอัลลอฮฺได้สั่งใช้มลาอิกะฮฺให้ปฎิบัติหน้าที่ต่าง ๆ บนโลกนี้อย่างมากมาย เช่น สั่งใช้ให้ญิบรีลเป็นผู้ส่งสารจากอัลลอฮฺสู่บรรดาศาสนทูต และมลาอิกะฮฺมีกาอีล คือผู้ที่ได้รับมอบหมายเรื่องน้ำฝน และยังมีมลาอิกะฮฺที่ทำหน้าที่นับการงานของมนุษย์และจดบัญชีไว้เพื่อการสอบสวนในวันสิ้นโลก และอื่นๆ อีกมากมาย

         จำเป็นจะต้องเชื่อว่าบรรดามลาอิกะฮฺเหล่านี้ทำหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่อัลลอฮฺได้มอบหมาย และจะไม่ปฎิบัติสิ่งใดนอกจากที่อัลลอฮฺมอบหมายไว้เท่านั้น


 

3.การศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์

            คือการเชื่อมั่นว่าอัลลอฮฺได้ประทานคัมภีร์ต่าง ๆ แก่ปวงบ่าวของพระองค์ ซึ่งมันคือคำดำรัสของอัลลอฮฺ ที่รวมด้วยสิ่งที่ให้ความสุขแก่มนุษย์ อธิบายถึงสิ่งที่อัลลอฮฺรักและสิ่งที่พระองค์รังเกียจ ซึ่งผู้ที่ถ่ายทอดคัมภีร์เหล่านี้ให้แก่ศาสนทูตก็คือญิบรีล ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้ามลาอิกะฮฺ และนบีคือผู้ถ่ายทอดแก่มนุษยชาติ

        คัมภีร์ที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมามีมากมาย อันได้แก่ คัมภีร์อัต-เตารอฮฺซึ่งถูกประทานแก่ศาสนทูตมูซา คัมภีร์อัซ-ซะบูรถูกประทานแก่ศาสนทูตดาวูด คัมภีร์อัล-อินญีลถูกประทานให้แก่ศาสนทูตอีซา และคัมภีร์อัลกุรอานถูกประทานให้แก่ศาสนทูตมุหัมมัด

          จำเป็นจะต้องศรัทธาว่าอัลกุรอานคือคัมภีร์ที่ได้ยกเลิกคัมภีร์ทั้งหลาย มีความหมายว่าอัลกุรอานเพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่จำเป็นจะต้องถูกปฏิบัติตามหลังจากที่ท่านศาสนทูตมุหัมมัด ได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมา ซึ่งอัลกุรอานเล่มนี้ได้รวบรวมความพิเศษต่าง ๆ ในคัมภีร์ก่อนหน้าไว้แล้ว และได้เพิ่มเติมจากเดิมที่มีอยู่อีกมากมาย

         คุณควรทราบว่า อัลกุรอานคือหลักฐานที่สำคัญที่สุดที่บ่งบอกว่าศาสนานี้คือสัจธรรม ที่ถูกประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้า แน่นอนว่าอัลกุรอานถูกประทานลงมากว่า 1400 ปีแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่มีการค้นพบข้อผิดพลาด และข้อขัดแย้งในอัลกุรอานเลยแม้กระทั่งคำเพียงคำเดียวก็ตาม ในยุคปัจจุบันนี้ ได้มีการค้นพบความรู้ทางวิชาการใหม่ๆ ซึ่งปรากฏว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีระบุมาแล้วในอัลกุรอานตั้งแต่กาลเวลาอันยาวนานนับพันปี

            เช่นเดียวกัน ตั้งแต่ยุคกาลเวลาที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันไม่มีการเพิ่มเสริมเติมแต่ง หรือตัดทอนใด ๆ ในอัลกุรอานเฉกเช่นที่เคยปรากฏในคัมภีร์ต่าง ๆ ก่อนหน้า ดังนั้น อัลกุรอานที่คุณพบในดินแดนอันไกลโพ้น สุดทางทิศตะวันออก ก็ไม่มีความแตกต่างกับอัลกุรอานที่คุณพบจากดินแดนอันแสนไกลทางทิศตะวันตกเลย หากว่าคุณทำการเปิดชมอัลกุรอานที่มีอายุนับร้อยๆ  ปี คุณก็จะไม่พบสิ่งแตกต่างจากอัลกุรอานที่ถูกจัดพิมพ์ในปัจจุบันแต่อย่างใดแม้เพียงอักษรเดียวก็ตาม และนี่คือการรักษาจากอัลลอฮฺต่อคัมภีร์เล่มนี้ คือคัมภีร์ของศาสนาสุดท้ายที่มาปิดฉากศาสนาต่างๆ

           การพูดถึงอัลกุรอานอาจจะต้องใช้เวลายืดยาวมากเลยทีเดียว แต่เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับคุณ ที่จะทราบว่าไม่มีอะไรเหมือนกับอัลกุรอานอย่างสิ้นเชิง ทั้งด้านรูปแบบสำนวน   ผลที่ลึกซึ้งต่อจิตใจ และเรื่องราวที่เกี่ยวกับสิ่งเร้นลับต่าง ๆ เป็นต้น 


4. การศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูต

            คือการที่มนุษย์ศรัทธาว่าอัลลอฮฺได้คัดเลือกมนุษย์คนหนึ่งที่ดีเลิศจากมวลมนุษย์ทั้งหลาย และได้ประทานวะหฺยู (วิวรณ์)แก่เขา เพื่อทำการเผยแพร่ศาสนาแก่มวลมนุษยชาติ

          บรรดาศาสนทูตมีมากมาย อาทิ เช่น นูหฺ อิบรอฮีม ดาวูด สุลัยมาน ยูซุฟ มูซา และอื่นๆ อีกมากมายในจำนวนศาสนทูตเหล่านั้นก็คือ อีซา(เยซู) บุตรของมัรยัม(มาเรียม) ซึ่งจำเป็นที่เราจะต้องศรัทธาว่าท่านคือศาสนทูตของอัลลอฮฺ และเป็นศาสนทูตที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องศรัทธาต่อการเป็นศาสนทูตของท่าน รัก และให้เกียติต่อท่าน บุคคลที่โกรธและไม่ศรัทธาต่อท่าน แน่นอนเขาไม่มีความเป็นอิสลามในตัวเขาเลย ดังเช่นจะต้องศรัทธาเช่นกันว่าอัลลอฮฺได้สร้างอีซาโดยปราศจากบิดา โดยที่พระองค์ได้ส่งมลาอิกะฮฺเพื่อเป่าดวงวิญญานสู่ครรภ์ท่านหญิงมัรยัมและได้กำเนิดศาสนทูตอีซาขึ้นมามุสลิมไม่พบหนทางที่จะปฏิเสธสิ่งดังกล่าวนี้ได้ เนื่องจากอัลลอฮฺคือผู้ที่สามารถบันดาลทุกสิ่งที่พระองค์ประสงค์ พระองค์ได้สร้างอีซามาโดยปราศจากบิดาดังเช่นที่พระองค์ได้สร้างศาสนทูตอาดัมโดยปราศจากทั้งบิดาและมารดา

        ดังนั้น เราได้รับรู้แล้วว่าอีซา เป็นเพียงศาสนทูตของอัลลอฮฺ หาได้เป็นพระเจ้า หรือบุตรของพระเจ้าอย่างที่ได้ถูกกล่าวอ้างไม่

         ศาสนทูตอีซาถูกส่งมาพร้อมกับการแจ้งข่าวถึงการปรากฏของศาสนทูตหลังจากท่าน นั่นคือ มุหัมมัด บุตร อับดุลลอฮฺ คือศาสนทูตท่านสุดท้ายและจะไม่มีศาสนทูตหลังจากท่านอีก

         ศาสนทูต มุหัมมัด บุตรอับดุลลอฮฺ ผู้นี้ คือผู้ที่อัลลอฮฺได้ส่งท่านมาเมื่อ 1400 ปีก่อน เป็นบุคคลที่มนุษยชาติทั้งหมดที่มีชีวิตตั้งแต่วันที่ท่านถูกแต่งตั้งจนกระทั่งวันสิ้นโลกจักต้องศรัทธาต่อท่าน และต่อบทบัญญัติที่ท่านนำมา เชื่อฟังสิ่งที่ท่านใช้ และละเว้นสิ่งที่ท่านห้าม

            บรรดาผู้ที่ศึกษาชีวประวัติของท่านศาสนทูตมุหัมมัด ได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านคือบุคคลที่มีคุณสมบัติอันยิ่งใหญ่ ซึ่งอัลลอฮฺได้มอบความพิเศษแก่ท่าน ที่ไม่เคยมีในผู้ใดเลยทั้งก่อนหน้าและมาทีหลัง การศึกษาสิ่งที่ถูกเขียนเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านเพียงแค่เล็กน้อย ก็พอที่บ่งบอกถึงความสัจจริงในสิ่งที่ฉันกล่าวได้แล้ว

         เช่นเดียวกันนั้น อัลลอฮฺได้มอบหลักฐานต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงการเป็นศาสนทูตของท่าน เป็นหลักฐานที่พอจะทำให้การสงสัยในตัวท่านเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้วในทางปัญญา  ผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธการศรัทธาต่อท่านทั้ง ๆ ที่อัลลอฮฺได้ให้หลักฐานการยืนยันต่าง ๆ มาแล้ว แน่นอน เขาผู้นั้นก็จะไม่สามารถยืนยันการเป็นศาสนทูตให้แก่ศาสนทูตผู้ใดได้อีกเลย


5. การศรัทธาต่อวันสิ้นโลก 

            คือการเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่าหลังจากชีวิตในโลกนี้จะมีอีกชีวิตหนึ่งที่นิรันดร์และสมบูรณ์กว่า ซึ่งจะมีการตอบแทน มีความผาสุก และมีการลงโทษ 

         ความผาสุกหมายถึง การจะได้อยู่ในสถานพำนักที่ถูกเรียกว่า สวรรค์ ส่วนการลงโทษก็จะอยู่ในสถานพำนักที่ถูกเรียกว่า นรก (ญะฮันนัม)

         ผู้ที่ศรัทธา และปฏิบัติตามคำสอนของอิสลาม บั้นปลายของเขาคือสวรรค์ เป็นสถานที่ที่มีแต่ความโปรดปราน ความผาสุกทุกประเภท ที่ปัญญาไม่สามารถหยั่งถึง และความสุขในโลกนี้ไม่สามารถเทียบเคียงความสุขในโลกหน้าได้เลย บุคคลใดที่ได้เข้าสวรรค์เขาจะพำนักและมีความสุขอย่างไม่มีสิ้นสุดเพราะจะไม่มีการตายเกิดขึ้นอีก

        ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ไม่ศรัทธาและฝ่าฝืนหลักการของอิสลาม แน่นอนบั้นปลายของเขาจะพำนักในนรกญะฮันนัม ที่มีไฟลุกโชน และพบกับประเภทการทรมานที่ปัญญาไม่สามารถหยั่งถึง เปลวไฟและการลงโทษบนโลกนี้ไม่สามารถเทียบเคียงในวันนั้นได้เลยแม้แต่น้อย

          การศรัทธาว่าจะมีการสอบสวน สวรรค์และนรก หลังจากชีวิตในโลกดุนยาเป็นสิ่งที่ปัญญาสามารถรับได้ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตอันเพรียบพร้อมในโลกนี้จะเกิดขึ้นแล้วก็สูญสลายไปดื้อๆ หลังจากนั้น นี่เป็นเรื่องที่ไร้สาระ และอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นทรงบริสุทธิ์จากการทำเรื่องเช่นนี้


6. การศรัทธาต่อการกฎสภาวการณ์

            คือ การชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว การหยุดนิ่ง ล้วนเป็นการรับรู้และประสงค์ของอัลลอฮฺทั้งสิ้น จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เว้นแต่มันจะเป็นสิ่งที่พระองค์ประสงค์ และสิ่งที่พระองค์ไม่ประสงค์จะไม่เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด ซึ่งอัลลอฮฺได้บันทึกทุกสิ่งจะเกิดขึ้นใว้ในสมุดบันทึกอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า (อัล-เลาหฺ อัล-มะหฺฟูซ) กระดานบันทึกที่ถูกรักษา

 


การศรัทธาในเรื่องนี้ยังหมายรวมถึงการศรัทธาว่า อัลลอฮฺทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างอีกด้วย 



 


แปลโดย : อับดุลอาซีซ  สุนธารักษ์ / Islamhouse