ชีวประวัติของ ท่านฏ็อลหะฮฺ บิน อุบัยดิลลาฮฺ
  จำนวนคนเข้าชม  17118

 

ชีวประวัติของ ท่านฏ็อลหะฮฺ บิน อุบัยดิลลาฮฺ

 

 

ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์

 

 

         แท้จริงมวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ขอพรอันประเสริฐและความศานติจงมีแด่ศาสนทูตของพระองค์ ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้นไม่มีภาคีหุ้นส่วนใดๆ เทียบเคียงพระองค์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดนั้นเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์

 

         และนี้ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ถ่ายทอดชีวประวัติของบุรุษผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อประชาติชาติอิสลาม เป็นหนึ่งในเหล่าวีรบุรุษแห่งอิสลาม และเป็นหนึ่งในบรรดาสาวก (เศาะหาบะฮฺ) ของท่านนบีมุหัมมัด เรื่องราวของเศาะหาบะฮฺท่านนี้ อบอวลไปด้วยความหอมหวานของแรงศรัทธาที่เปี่ยมล้น แฝงด้วยบทเรียนอันทรงคุณค่า ทั้งยังให้แง่คิดและแบบอย่างที่ดีเยี่ยมแก่ชนรุ่นหลัง

 

          เศาะหาบะฮฺท่านนี้ ได้เข้าร่วมสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านเราะสูล ในทุกสมรภูมิรบ ยกเว้นสงครามบัดรฺ ซึ่งท่านไม่ได้เข้าร่วมเพราะเหตุสุดวิสัย (สงครามบัดรฺเกิดขึ้นในช่วงที่ท่านออกไปค้าขาย ณ เมืองชามท่านจึงไม่ได้เข้าร่วมด้วย - ผู้แปล) แต่หลังจากเสร็จสิ้นสงคราม ท่านเราะสูล  ก็ได้ให้การตอบแทนแก่ท่านเช่นเดียวกับผู้ที่เข้าร่วมสงคราม และได้แบ่งทรัพย์สินที่ได้จากสงครามให้แก่ท่านด้วยเช่นกัน 

 

         ท่านคือหนึ่งในแปดคนที่เข้ารับอิสลามในยุคแรกๆ ท่านมีชื่อเสียงอย่างยิ่งในเรื่องการรบ เป็นผู้ที่เก่งกาจเรื่องการขี่ม้า และมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ทั้งนี้ ท่านได้สร้างผลงานและวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ในสงครามอุหุด ท่านเราะสูล จึงกล่าวว่า “สมควรแล้ว” หมายถึงสมควรแล้วที่ท่านจะได้รับสวนสวรรค์เป็นรางวัลตอบแทน

ท่านอบูบักรฺเองก็เช่นกัน เมื่อท่านนึกถึงสงครามอุหุด ท่านจะกล่าวว่า “สงครามอุหุดทั้งหมดเป็นวันของชายผู้นั้น (หมายถึงท่านฏ็อลหะฮฺ)”

 

         และเมื่อท่านนบี อพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ท่านได้ผูกพันธะสัญญาความเป็นพี่น้องระหว่างท่านฏ็อลหะฮฺ กับ ท่านอบูอัยยูบ อัล-อันศอรีย์ ท่านฏ็อลหะฮฺยังเป็นหนึ่งในสิบคนที่ท่านเราะสูลได้แจ้งข่าวดีว่าจะเป็นชาวสวรรค์ ท่านยังเป็นหนึ่งในเศาะหาบะฮฺหกท่านที่มีรายงานระบุว่าท่านนบี จากโลกนี้ไปโดยที่ท่านพึงพอใจในตัวพวกเขา 

 

          ท่านผู้นี้คืออัศวินของอิสลาม ฏ็อลหะฮฺ บิน อุบัยดิลลาฮฺ บิน อุสมาน อัล-กุเราะชีย์ อัตตัยมีย์ มีชื่อเล่นว่า อบูมุหัมมัด ท่านเป็นที่รู้จักในนามว่า ฎ็อลฮะฮฺ “อัล-ค็อยรฺ” (ผู้มีความดีงาม) และฏ็อลหะฮฺ “อัล-ฟัยยาฎ” (ผู้ใจบุญ) เพราะความเมตตากรุณาและเผื่อแผ่ของท่าน

 

มูซาบุตรชายของท่านได้เล่าถึงลักษณะของบิดาของตนว่า 
 

         “พ่อของฉันเป็นคนผิวขาวอมแดง ร่างไม่สูงมาก ค่อนไปทางเตี้ย อกผายไหล่ผึ่ง และเท้าใหญ่ ในช่วงแรกที่ท่านเข้ารับอิสลาม ท่านได้ถูกทรมานอย่างหนัก ครั้งหนึ่งเนาฟัล อิบนุ คุวัยลิด ได้จับท่านและท่านอบูบักรฺ อัศศิดดีก มาทรมาน โดยมัดทั้งสองเข้าด้วยเชือกเส้นเดียว โดยเผ่าบนูตะมีมไม่ได้ช่วยเหลือพวกท่านแต่อย่างใด เนาฟัลทำการทรมานทั้งสองอย่างสาหัส เพื่อกดดันให้ทั้งสองยอมละทิ้งอิสลาม และกลับไปเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาดังเดิม แต่ด้วยแรงศรัทธาที่มั่นคง ทั้งสองได้ยืนหยัดที่จะเป็นมุสลิมต่อไป และไม่ยอมสยบต่อแรงกดดันที่แสนทรมานนั้นเลยแม้แต่น้อย”

 

         มีหลายเหตุการณ์ที่เศาะหาบะฮฺท่านนี้แสดงออกถึงความเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญและเสียสละเพื่อศาสนา และหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อิสลาม คือเหตุการณ์เมื่อครั้งสงครามอุฮุด ซึ่งท่านได้เสียสละทั้งแรงกายและแรงใจ เพื่อปกป้องท่านนบี จากการโจมตีของฝ่ายศัตรู ในสงครามครั้งนั้นเหล่าศัตรูชาวมุชริกีนต่างเข้ามาประชิดท่านนบี เพื่อหวังจะคร่าชีวิตของท่านให้ได้ ท่านฏ็อลหะฮฺจึงได้ใช้ร่างกายของตนเองเป็นโล่กำบังรับลูกศรธนู หอกและคมดาบ แทนท่านนบี  เพื่อไม่ให้ฝ่ายศัตรูเข้าถึงตัวท่านได้ ในสมรภูมิดังกล่าวท่านได้รับบาดเจ็บถึงยี่สิบสี่แผล จากการถูกแทงด้วยคมดาบและหอกของศัตรู และท่านยังสูญเสียนิ้วมือไปอีกด้วย

มีรายงานจากท่านก็อยสฺ บิน อบี หาซิม เล่าว่า 

         “ฉันเห็นมือของท่านฏ็อลหะฮฺขาด จากการปกป้องท่านนบี จากข้าศึกศัตรู ส่วนท่านนบี เองก็ได้รับบาดเจ็บจนฟันตัดหน้าซี่ข้างหัก เป็นแผลที่ริมฝีปาก และมีเลือดไหลบนใบหน้าของท่าน เมื่อท่านฏ็อลหะฮฺเห็นเช่นนั้น ท่านได้หันกลับไปโจมตีศัตรูที่กำลังจู่โจมท่านนบีอย่างกล้าหาญ จนสามารถปกป้องท่านจากการโจมตีของศัตรูเหล่านั้นได้ทั้งหมด แล้วท่านก็หันไปหาท่านนบี  และพยุงท่านขึ้นไปบนเนินเขา” 
 

(บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 3724)

ในอีกรายงานหนึ่งท่านซุเบรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า 

         “ในสงครามอุหุด ท่านเราะสูล ได้ถือโล่สองข้าง เมื่อท่านจะขึ้นไปที่โขดหินท่านไม่สามารถที่จะทรงตัวขึ้นไปได้ (ด้วยความหนักของโล่ และความเหนื่อยล้าของร่างกาย) ท่านฏ็อลหะฮฺจึงนั่งให้ท่านเราะสูลเหยียบบนตัวท่าน เพื่อก้าวขึ้นไปบนโขดหิน จนท่านสามารถยืนทรงตัวบนโขดหินได้ แล้วฉันได้ยินท่านเราะสูล  กล่าวว่า ‘สมควรแล้วท่านฏ็อลหะฮฺ’ คือสมควรแล้วสำหรับเขา ที่จะได้เข้าสวนสวรรค์” 
 

(บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ หะดีษเลขที่ 3738) 

และมีรายงานซึ่งบันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม จากท่านอบูอุษมาน เล่าว่า

 “ไม่เหลือใครที่อยู่เคียงข้างท่านนบี ในตอนนั้น นอกจากท่านฏ็อลหะฮฺ และท่านสะอัด”
 

(หะดีษเลขที่ 3722)

         และหนึ่งในความประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ของท่านฏ็อลหะฮฺ คือสิ่งที่ปรากฏในรายงานซึ่งบันทึกโดยอัตติรมิซีย์ จากท่านญาบิรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่าท่านนบี กล่าวว่า

« مَنْ سَرَّهُ أَنْ يَنْظُرَ إِلَى شَهِيدٍ يَمْشِي عَلَى وَجْهِ الأَرْضِ فَلْيَنْظُرْ إِلَى طَلْحَةَ بْنِ عُبَيْدِ اللَّهِ »

“ผู้ใดมีความยินดีที่จะเห็นชะฮีดเดินอยู่บนหน้าแผ่นดินก็จงมองไปยังฏ็อลหะฮฺ บิน อุบัยดิลลาฮฺ” 

(หะดีษเลขที่ 3739)

         และในรายงานอีกบทหนึ่ง ท่านมูซา บิน ฏ็อลหะฮฺ ได้เล่าว่า ฉันได้เข้าไปหาท่านมุอาวิยะฮฺ แล้วท่านก็กล่าวแก่ฉันว่า ฉันจะแจ้งข่าวดีแก่ท่านเอาไหม?

ฉันได้ยินท่านเราะสูล กล่าวว่า       “ฏ็อลหะฮฺ คือหนึ่งในผู้ที่ได้พลีชีพเพื่อหนทางของอัลลอฮฺ“ 

(บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ หะดีษเลขที่ 3740)

         นักวิชาการระบุว่า หะดีษข้างต้นอธิบายได้ว่าท่านได้เสียสละชีวิตของท่านเพื่อหนทางของอัลลอฮฺ จนไม่เหลืออะไรเลยระหว่างท่านกับความตาย เหมือนกับคนที่ได้ตายชะฮีดไปแล้ว แม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่อีกก็ตาม 

         เป็นที่รู้กันว่าท่านฏ็อลหะฮฺเป็นผู้ที่มีความกรุณาเผื่อแผ่ รักการให้ทาน และมีความมุ่งมั่นอุตสาหะ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงถูกขนานนามว่า “ฏ็อลหะฮฺผู้ใจบุญ”

ท่านเกาะบีเศาะฮฺ บิน ญาบิรฺ เราะฎิยัลลอฮุฮันฮฺ กล่าวว่า 

         “ฉันได้เป็นสหายกับท่านฏ็อลหะฮฺ แล้วฉันก็ไม่เคยเห็นใครที่มอบทรัพย์สินของตนเองเป็นจำนวนมากแก่ผู้อื่นโดยที่ไม่ทันจะได้ถูกขอเช่นท่านฏ็อลหะฮฺ” 

อัลหาฟิซ อิบนุหะญัรฺ ได้ระบุในหนังสือ อัล-อิศอบะฮฺ ของท่านว่า 

        “ท่านฏ็อลหะฮฺถูกสังหารโดย มัรวาน บิน อัล-หะกัม ในสงคราม อัลญะมัล” ส่วนยะอฺกูบ บิน สุฟยาน ได้บันทึกไว้ในหนังสือ อัลมะอฺริฟะฮฺ วัตตารีค จากก็อยสฺ บิน อบีหาซิม เล่าว่า “ในสงครามอัลญะมัลเมื่อมัรวานเห็นท่านฏ็อลหะฮฺ ก็กล่าวขึ้นว่า ชายผู้นี้คือคนหนึ่งที่มีส่วนในการสังหารท่านอุษมาน ว่าแล้วเขาก็ได้ยิงลูกธนูไปที่หัวเข่าของท่านฏ็อลหะฮฺ ทำให้เลือดไหลออกมาไม่หยุดกระทั่งท่านเสียชีวิต” 
 

(อัล-อิศอบะฮฺ เล่ม 3 หน้า 292 โดย อิบนุหะญัรฺระบุว่าเป็นสายรายงานที่ถูกต้อง)

อัซซะฮะบีย์ กล่าวว่า
 

         “เราขอเป็นพยานยืนยันต่ออัลลลอฮฺว่าเราเกลียดชังบรรดาผู้ที่สังหารเศาะหาบะฮฺเช่น ท่านฏ็อลหะฮฺ ท่านซุเบรฺ หรือท่านอะลี และเราขอยืนยันต่อพระองค์ว่าเราไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพวกเขาเหล่านั้น ทั้งนี้ เราขอมอบหมายการตัดสินสิ่งที่พวกเขากระทำให้เป็นสิทธิ์ของพระองค์” 
 

(ตารีค อัล-อิสลาม หน้า 654 โดยย่อ)

          หลังสงครามอัลญะมัล ท่านอิมรอน บิน ฏ็อลหะฮฺได้เข้าไปหาท่านอะลี บิน อบี ฏอลิบ ท่านอะลีได้ต้อนรับและเชิญให้ท่านอิมรอนเข้าไปใกล้ท่าน พร้อมกล่าวว่า ฉันหวังว่าอัลลอฮฺจะทรงให้ฉัน บิดาของท่าน และท่านซุเบรฺ บิน เอาวาม ได้อยู่ในหมู่ผู้ที่ถูกกล่าวถึงว่า

﴿ وَنَزَعۡنَا مَا فِي صُدُورِهِم مِّنۡ غِلٍّ إِخۡوَٰنًا عَلَىٰ سُرُرٖ مُّتَقَٰبِلِينَ ٤٧ ﴾ [الحجر: ٤٧]  
 

“และเราได้ขจัดความขุ่นแค้นที่มีอยู่ในหัวอกของพวกเขา ให้กลายเป็นพี่น้องกัน โดยพำนักอยู่บนเตียงหันหน้าเข้าหากัน”

(อัล-หิญรฺ: 47)

ท่านเสียชีวิตในปีฮิจญฺเราะฮ์ศักราชที่ 36 เดือนญุมาดัลอาคิรฺ ขณะที่อายุได้ 64 ปี

         ขออัลลอฮฺทรงพอพระทัยต่อท่านฏ็อลหะฮฺ และทรงตอบแทนท่านในความดีงามที่ท่านสร้างไว้เพื่ออิสลามและชาวมุสลิมด้วยการตอบแทนที่ดีที่สุด และขอให้เราได้อยู่ร่วมกับท่านในสวนสวรรค์อันมีเกียรติของพระองค์ด้วยเถิด




 

 

แปลโดย : มาวัดดะห์ จะปะกียา / Islamhouse