หลักความเชื่อของพวกเราต่อบรรดาเราะซูล
  จำนวนคนเข้าชม  5732

 

หลักความเชื่อของพวกเราต่อบรรดาเราะซูล

 

เขียนโดย  มุฮัมหมัด บิน ซอและฮฺ อัลอุไซมีน 


 

         ♥ พวกเราเชื่อว่า อัลลอฮฺ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ได้ทรงส่งบรรดาผู้ทำหน้าที่เผยแผ่สาน์ส มายังบรรดาสิ่งถูกสร้าง(ปวงบ่าว)ของพระองค์แล้ว โดยที่พวกท่านเหล่านั้นต่างเป็น

 

        "บรรดาผู้แจ้งข่าวดี และเป็นบรรดาผู้กล่าวตักเตือน ทั้งนี้เพื่อมิให้มนุษย์มีหลักฐานหรือข้ออ้างอิงใดๆต่ออัลลอฮฺภายหลังจากบรรดาร่อซู้ลเหล่านั้นอีกแล้ว และอัลลอฮฺนั้นพระองค์ทรงเป็น พระผู้ทรงซึ่งเกียรติยศ พระผู้ทรงซึ่งเหตุผลและความเหมาะสม"
 

(อันนิสาอฺ/165)


 

         ♥ พวกเราเชื่อว่าบุคคลแรกในบรรดาพวกท่านเหล่านั้นคือ ท่านนู้ฮฺ และบุคคลสุดท้ายในหมู่พวกท่านคือ ท่านมุฮัมหมัด  

"แน่นอนว่า เราได้มีบัญชาไปยังเจ้าเช่นเดียวกับที่ได้มีบัญชาไปยังนู้ฮฺ และตลอดจนบรรดานบีที่มาภายหลังเขามาแล้ว"

(อันนิสาอฺ/163) 

"มุฮัมหมัดนั้น หาได้เป็นบิดาของบุรุษนายใดจากหมู่พวกเจ้าเลยไม่ ทว่าเขาคือ ร่อซู้ลของอัลลอฮฺ และคือผู้ที่ผนึกปิดท้ายบรรดานบีทั้งหลาย"
 

(อัลอะฮฺซ้าบ/40)

         และแน่นอนว่า ผู้ที่มีความประเสริฐที่สุดในพวกท่านเหล่านั้นก็คือท่านมุฮัมหมัด  ตามด้วยท่านอิบรอฮีมแล้วก็ท่านมูซาและถัดจากนั้นก็คือท่าน นู้ฮฺและท่านอีซา บุตรของมัรยัม ซึ่งพวกท่านเหล่านี้เป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับการเจาะจงกล่าวถึงไว้ในพระดำรัสของพระองค์(ที่มี)ความว่า 

        "และ(จงรำลึกถึง)เมื่อเราได้รับเอาคำมั่นสัญญามาจากบรรดาผู้เป็นนบีทั้งหลาย และมาจากเจ้า จากนู้ฮฺ จากอิบรอฮีม จากมูซา และจากอีซา บุตรของมัรยัม และเราได้รับเอาคำมั่นสัญญาที่แน่นหนามาจากพวกเขาแล้ว"
 

(อัลอะฮฺซ้าบ/7)


         ♥ พวกเรามีความเชื่อมั่นว่า บทบัญญัติของท่านมุฮัมหมัด นั้น ได้รวบรวมบรรดาความประเสริฐ(ข้อดีต่างๆ)แห่งบทบัญญัติทั้งหลายของบรรดาร่อซูลเหล่านั้น ผู้ที่ได้รับการเจาะจงให้ได้รับเกียรติยศดังกล่าวไว้แล้ว โดยอ้างอิงจากพระดำรัสของพระองค์ที่(มีความ)ว่า 

        "พระองค์ได้ทรงบัญญัติ(บทบัญญัติ)ส่วนหนึ่งของศาสนานี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสั่งไว้แก่นู้ฮฺ และสิ่งที่เราได้บัญชามันให้แก่เจ้า และตลอดจนสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสั่งไว้แก่ อิบรอฮีม มูซาและอีซา แก่พวกเจ้าแล้ว (ซึ่งนั่นคือ) การที่พวกเจ้าจักต้องดำรงศาสนาไว้ และอย่าได้แตกแยกกันในเรื่องดังกล่าว"
 

(อัชชูรอ/13)


        ♥ พวกเราเชื่อว่าบรรดาร่อซูลทุกท่านเป็นมนุษย์ พวกท่านเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งถูกสร้างทั้งสิ้น พวกท่านไม่ได้มีลักษณะเฉพาะใดๆที่คู่ควรต่อการเป็นพระผู้เป็นเจ้าแต่ประการใด อัลลอฮฺ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ได้ตรัสเกี่ยวกับ ท่านนู้ฮฺ ซึ่งเป็นบุคคลแรกในบรรดาพวกท่านเหล่านั้นไว้ (ความ)ว่า 

         "และข้าพเจ้ามิได้กล่าวกับพวกท่านว่า บรรดาคลังของอัลลอฮฺนั้นอยู่ที่ข้าพเจ้า อีกทั้งข้าพเจ้านั้น ก็มิได้ล่วงรู้ในสิ่งเร้นลับ และข้าพเจ้าก็มิได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าคือมะลาอิกะฮฺ"
 

(ฮู้ด/31)

         อัลลอฮฺ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ยังได้ทรงสั่งให้ ท่าน มุฮัมหมัด ซึ่งเป็นบุคคลสุดท้ายในบรรดาพวกท่านเหล่านั้น ได้กล่าว(โดยมีความ)ว่า 

        "ข้าพเจ้ามิได้กล่าวกับพวกท่านว่า บรรดาคลังของอัลลอฮฺนั้นอยู่ที่ข้าพเจ้า อีกทั้งข้าพเจ้านั้น ก็มิได้ล่วงรู้ในสิ่งเร้นลับ และข้าพเจ้าก็มิได้กล่าวกับพวกท่านว่า ข้าพเจ้าคือมะลาอิกะฮฺ"
 

(อัลอันอาม/50) 

และยังให้ท่านกล่าวอีก(ความ)ว่า 

       "ข้าพเจ้าหาได้ครอบครองกรรมสิทธ์ใด ในการที่จะให้เกิดเรื่องที่ยังประโยชน์หรือเรื่องที่ก่อความเดือดร้อนใดๆต่อตัวของข้าพเจ้าเองไม่ ยกเว้นเสียแต่สิ่งที่อัลลอฮฺทรงพระประสงค์เท่านั้น"
 

(อัลอะอฺร้อฟ/188)

 อีกทั้งยังทรงให้ท่านกล่าวอีกเช่นกัน(ความ)ว่า 

         "แน่นอนว่าข้าพเจ้านั้นหาได้ครอบครองกรรมสิทธ์ใดในการที่จะให้เกิดเรื่องที่ส่งผลร้ายหรือให้เกิดเรื่องที่ส่งผลให้พวกท่านตั้งอยู่บนความถูกต้องใดๆ แก่พวกท่านแต่ประการใดไม่ จงกล่าวว่า เป็นที่แน่นอนว่า ข้าพเจ้าเองนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดจักสามารถปกป้องข้าพเจ้าให้พ้นจากอัลลอฮฺได้ และข้าพเจ้าก็ไม่พบว่า จะมีผู้ใดอื่นอีกที่เป็นผู้ที่พึ่งพิงได้ นอกจากพระองค์อีกแล้ว"
 

(ญิน/21-22)


         ♥ พวกเราเชื่อว่า พวกท่านเหล่านั้นล้วนเป็นบ่าวผู้หนึ่งในบรรดาปวงบ่าวของอัลลอฮฺ ซึ่งอัลลอฮฺ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ได้ทรงเทิดเกียรติของพวกท่านขึ้นด้วยกับการมอบหมายหน้าที่ในการเป็นร่อซู้ล (อั้รริซาละฮฺ)(แก่พวกท่าน) พระองค์ได้ทรงตรัสเรียกพวกท่าน ด้วยฐานะการเป็นบ่าวของพวกท่าน ในวาระที่ถือได้ว่าเป็นวาระที่บ่งบอกถึงเกียรติยศอันสูงสุด นั้นก็คือวาระแห่งการกล่าวชมเชยและให้การสรรเสริญแด่พวกท่านเหล่านั้น พระองค์ทรงตรัสถึงบุคคลแรกในพวกท่าน อันได้แก่ ท่านนู้ฮ์ ไว้(ความ)ว่า 

"ลูกหลานของผู้ที่เราได้บรรทุกมากับนู้ฮฺ แน่นอนว่าเขานั้น เป็นบ่าวผู้รู้คุณ"

 (อั้ลอิสร้ออฺ/3)

 และยังได้ทรงตรัสถึงบุคคลสุดท้ายในพวกท่าน อันได้แก่ ท่านมุฮัมหมัด ไว้(ความ)ว่า

         "พระผู้ทรงทยอยประทานสิ่งที่ใช้สำหรับแยกแยะ(อั้ลฟุรกอน)ลงมาให้แก่บ่าวของพระองค์ เพื่อให้เขาได้เป็นผู้ให้การสัมทับตักเตือนแก่สรรพสิ่งทั้งมวลนั้น ทรงมีความจำเริญ"
 

 (อั้ลฟุรกอน/1)

 นอกเหนือไปกว่านั้นพระองค์ยังได้ทรงตรัสถึงบรรดาร่อซู้ลท่านอื่นๆไว้(ความ)ว่า 

"และจงรำลึกถึง ปวงบ่าวของเรา อิบรอฮีม อิสฮาก และยะอฺกู้บ เหล่าผู้เป็นเจ้าของมือ(กำลังความสามารถ) และสายตา(วิสัยทัศ)"
 

 (ศ้อด/45) 

"และจงรำลึกถึงบ่าวของเรา ดาวูด ผู้เป็นเจ้าของมือ(กำลังความสามารถ) แน่นอนว่าเขานั้นเป็นผู้ที่มีความสำนึกผิดกลับตัวอย่างมากมาย"

(ศ้อด/17) 

        "และเราได้มอบสุไลมานให้แก่ดาวูด เขา(สุไลมาน)นั้น ช่างเป็นบ่าวที่ดีเลิศเสียจริง แน่นอนว่าเขานั้นเป็นผู้ที่มีความสำนึกผิดกลับตัวอย่างมากมาย"

(ศ้อด/30)

 และพระองค์ยังได้ทรงตรัสถึงท่าน อีซา ไว้(ความ)ว่า 

         "เขาหาได้เป็นอื่นใดไปไม่ เว้นเสียแต่เป็นเพียงบ่าวคนหนึ่ง ที่เราได้ให้ความเมตตาแก่เขา และได้ให้เขาเป็นตัวอย่างแก่บนีอิสรออีลเท่านั้น" 

(อั้ซซุครุฟ/59)


          ♥ พวกเราเชื่อว่า อัลลอฮฺ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ได้ทรงปิดผนึก ตำแหน่งหน้าที่ในการเป็นร่อซู้ล ด้วยกับ การแต่งตั่งให้ท่านมุฮัมหมัด ได้รับผิดชอบในทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งพระองค์ได้ทรงส่งท่านมาสู่มวลมนุษยชาติทั้งหมด โดยอ้างอิงจากพระดำรัสของพระองค์ที่(มีความ)ว่า 

         "จงกล่าวว่า มวลมนุษยชาติทั้งหลาย ข้าพเจ้าคือ ร่อซู้ลของอัลลอฮฺ ที่ถูกส่งมาหาพวกท่านทั้งหมด ซึ่งพระองค์นั้น คือพระผู้ทรงครอบครองกรรมสิทธิ์แห่งฟากฟ้าทั้งหลายและกรรมสิทธิ์แห่งผืนแผ่นดิน ไม่มีผู้ที่ถือสิทธิ์อันถูกต้องต่อการได้รับการอิบาดะฮฺอื่นใดอีกนอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงให้มีซึ่งชีวิตและทรงให้มีซึ่งความตาย ดังนั้นพวกท่านจงศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อร่อซู้ลของพระองค์เถิด ซึ่งท่านคือ ท่านนบีผู้ที่อ่านไม่ออกและเขียนไม่เป็น ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นต่ออัลลอฮฺและพระประกาศิตของพระองค์ ทั้งนี้เพื่อที่พวกท่านจักได้(ตั้งมั่น)อยู่บนทางนำ"

(อัลอะอฺร้อฟ/158)


         ♥ พวกเราเชื่อว่า บทบัญญัติของท่านนั้น คือ ศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ทรงมีความพอพระทัยที่จะให้มีขึ้นแก่ปวงบ่าวของพระองค์ และอัลลอฮฺ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ยังไม่ทรงตอบรับศาสนาอื่นใดอีก ที่นอกเหนือไปจากศาสนานี้ จากผู้ใดผู้หนึ่งทั้งสิ้นอีกด้วย โดยอ้างอิงจากพระดำรัสของพระองค์ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ที่(มีความ)ว่า 

"แน่นอนว่า (สิ่งที่นับว่าเป็น)ศาสนา ณ ที่อัลลอฮฺนั้น ก็อัลอิสลามนี้เอง" 

(อาละอิมรอน/19) 

และจากพระดำรัสของพระองค์ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ที่(มีความ)ว่า 

         "วันนี้ ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้ามีความครบถ้วนสำหรับพวกเจ้าแล้ว อีกทั้งข้านั้น ยังได้ทำให้ความโปรดปรานของข้าที่มีต่อพวกเจ้ามีขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว(เช่นกัน) และข้าก็มีความพอใจแล้วที่จะให้อัลอิสลามเป็น ศาสนาสำหรับพวกเจ้า"

 (อั้ลมาอิดะฮฺ/3) 

และอ้างอิงจากอีกพระดำรัสของพระองค์ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ที่(มีความ)ว่า 

         "และผู้ใดที่แสวงหาสิ่งใดอื่นนอกเหนือจาก อัลอิสลาม มาเป็นศาสนา (ผลลัพท์จากการกระทำดังกล่าวก็คือ)เขาจะไม่มีทางได้รับการตอบรับ(สิ่งดังกล่าว)จากเขาแต่ประการใดเลยไม่ และในอาคิเราะฮฺเขาคือส่วนหนึ่งของพวกที่พ่ายแพ้"

(อาละอิมรอน/75)


         ♥ พวกเรามองว่า ณ ปัจจุบันนี้ ผู้ใดก็ตามที่กล่าวอ้างว่า ยังคงมีศาสนาอื่นที่ยังได้รับการรับรองว่าเป็นศาสนา ซึ่ง(ศาสนานั้น)ยังจะคงดำรงและคงอยู่อย่างต่อเนื่องสืบไป ทั้งยังเป็น(ศาสนา)ที่ได้รับการตอบรับ ณ ที่อัลลอฮฺ นอกเหนือจากอัลอิสลามแล้ว ไม่ว่าจะหมายถึง ศาสนาของพวกยิว พวกคริสเตียน หรือกลุ่มคนอื่นใดก็ตาม (ผู้ที่เป็นเจ้าของข้อกล่าวอ้างนี้)เขาคือกาเฟร (ผู้ปฏิเสธศรัทธา) จำเป็นที่เขาจะต้องได้รับการชี้แจงและแนะนำให้กลับตัว(จากคำกล่าวอ้างดังกล่าว)เสีย ถ้าหากเขายอมสำนึกผิดกลับตัว(นั่นก็เป็นการดีแก่เขา) แต่ถ้าเขาปฏิเสธ(ที่จะดำเนินตามคำแนะนำข้างต้น) เขาก็จะต้องได้รับการตัดสินให้ต้องโทษประหารชีวิตในฐานะที่เป็นผู้ละทิ้งศาสนา ทั้งนี้เนื่องจากเขาได้เป็นผู้ที่ปฏิเสธต่ออัลกุรอานไปเสียแล้วนั้นเอง


         ♥ พวกเรามองว่าผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธต่อการเป็นร่อซู้ล ของท่านมุฮัมหมัด ซึ่ง(มีขอบข่ายในการ)ได้รับแต่งตั้งให้มา ทำหน้าที่(ที่ครอบคลุม)ต่อมวลมนุษยชาติทั้งหมด นั่นก็เท่ากับว่าเขาผู้นั้นได้ปฏิเสธต่อบรรดาผู้ทำหน้าที่เป็นร่อซู้ลทุกๆท่านด้วยเช่นกัน แม้แต่บุคคลที่เป็นร่อซู้ลที่เขาอ้างว่าตนมีความเลื่อมใสศรัทธาและดำเนินตนตามท่านด้วยก็ตาม โดยอ้างอิงจากพระดำรัสของพระองค์ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ที่(มีความ)ว่า 

"กลุ่มชนของนู้ฮฺได้ปฏิเสธต่อบรรดาร่อซู้ลทั้งหลายแล้ว"

(อั้ชชุอะร้ออฺ/105) 

        จะเห็นได้ว่าพระองค์ได้ทรงถือว่าพวกเขาเป็นบุคคลผู้ปฏิเสธต่อบรรดาผู้เป็นร่อซู้ลทั้งหมด ทุกๆท่าน ทั้งๆที่ยังไม่มีผู้ใดได้เป็นร่อซู้ลก่อนหน้าท่านนู้ฮฺ และพระองค์ พระผู้ทรงสูงส่ง ยังได้ทรงตรัสไว้(ความ)ว่า 

         "แน่นอนว่าบรรดาบุคคลที่กำลังปฏิเสธอัลลอฮฺ และบรรดาร่อซู้ลของพระองค์ และมีความประสงค์ที่จะแบ่งแยกระหว่างอัลลอฮฺและบรรดาร่อซู้ลของพระองค์ และต่างกล่าวกันว่า พวกเราจะศรัทธากับบางคนและจะปฏิเสธอีกบางคน และมีความประสงค์ที่จะยึดเอาวิธีการนี้เป็นวิถีทาง บุคคลจำพวกนี้คือ พวกที่ปฏิเสธที่แท้จริง และเราได้ตระเตรียมการลงโทษ ที่สร้างความต่ำต้อยไว้แก่พวกที่ปฏิเสธแล้ว"

(อันนิสาอฺ/150)


         ♥ พวกเราเชื่อว่า เป็นที่แน่นอนยิ่งว่า จะไม่มีนบีท่านใดอื่นอีกแล้วหลังจากท่านมุฮัมหมัด ผู้เป็นร่อซู้ลของอัลลอฮฺ และผู้ใดที่กล่าวอ้างว่า ตนเป็นนบี ภายหลังจากท่าน หรือเชื่อในบุคคลที่กล่าวอ้างคำกล่าวอ้างดังกล่าว ก็เท่ากับว่าบุคคลผู้นั้นคือกาเฟร(ผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา) เนื่องจากสาเหตุที่เขาได้ปฏิเสธและไม่เชื่อถืออัลลอฮฺ และร่อซู้ลของพระองค์ และตลอดจนมติเอกฉันฑ์ของบรรดามุสลิมมีน


         ♥ พวกเราเชื่อว่าสำหรับท่านนบี นั้น ท่านมีบุคคลผู้ทำหน้าที่สืบทอดกิจการต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่มีความชัดเจนบนความถูกต้อง ที่รับช่วงในการทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลประชาชาติของท่าน ภายหลังจากท่าน ทั้งในด้านของ วิชาการความรู้ ในด้านของการทำหน้าที่แผยแผ่ และในด้านของการปกครองประชาชนผู้ศรัทธา 

          โดยที่พวกเราเชื่อว่า บุคคลที่มีเกียรติที่สุดและมีความเหมาะสมที่สุดในพวกท่านเหล่านั้น ในการทำหน้าที่เป็นผู้ทำหน้าที่สืบทอดกิจการดังกล่าว ก็คือ ท่าน อบูบักรฺ อั้ศศิ้ดดี้ก ตามด้วยท่าน อุมัร บิน อั้ลค็อตต็อบ ตามด้วยท่าน อุสมาน บิน อั้ฟฟาน และตามด้วยท่าน อาลี บิน อบีตอลิบ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุมอัจมะอีน  ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นไปตามที่ได้เรียงลำดับไว้ ทั้งในแง่ของสถานะในการดำรงตำแหน่งค่อลีฟะฮฺ และในแง่ของความประเสริฐของแต่ละท่านด้วยเช่นกัน ซึ่งอัลลอฮฺ ตะอาลา พระผู้ทรงซึ่งเหตุผลอันลึกซึ่งและเหมาะสมยิ่ง ย่อมไม่ทรงอนุมัติให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำหน้าที่ปกครองกลุ่มชนที่อยู่ในช่วงยุคสมัยที่จัดได้ว่า เป็นยุคที่ดีที่สุด ได้ ทั้งๆที่ยังคงมีบุคคลอื่นที่ดีและเหมาะสมต่อตำแหน่งค่อลีฟะฮฺมากกว่าบุคคลนั้นอยู่


        ♥ พวกเราเชื่อว่า บุคคลที่อยู่ในสถานะและความประเสริฐที่ถัดลงมาในหมู่พวกท่าน ล้วนแล้วแต่มีลักษณะที่เป็นจุดเด่นเฉพาะของแต่ละท่าน ซึ่งจุดเด่นดังกล่าวอาจชัดเจนและโดดเด่นกว่าบุคคลที่อยู่ในสถานะความประเสริฐที่เหนือกว่าเสียอีก อย่างไรก็ตาม สิ่งดังกล่าวก็มิได้ทำให้บุคคลผู้นั้นมีความประเสริฐในภาพรวมที่สูงส่งกว่าท่านผู้นั้น(บุคคลที่อยู่ในสถานะความประเสริฐที่เหนือกว่า)แต่อย่างใด ทั้งนี้ เนื่องจากประเด็นที่ถูกใช้ในการพิจรณาเพื่อมาเป็นตัวจัดระดับสถานะความประเสริฐนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายเรื่องหลายแง่มุม


        ♥ พวกเราเชื่อว่า ประชาชาติๆนี้ เป็นประชาชาติที่ดีและมีเกียรติที่สุดในบรรดาประชาชาติทั้งหลาย ณ ที่อัลลอฮฺ พระผู้ทรงเกียรติและทรงสูงส่ง โดยอ้างอิงจากพระดำรัสของพระองค์ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่งที่(มีความ)ว่า 

        "พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่ดีที่สุดที่ถูกทำให้มีมาแด่มวลมนุษยชาติ พวกเจ้าต่างสั่งใช้กันในเรื่องดี และห้ามปรามกันจากสิ่งไม่ดี และต่างเชื่อมั่นศรัทธากันต่ออัลลอฮฺ"

(อาละอิมรอน/110)


         ♥ พวกเราเชื่อว่าบุคคลที่ดีที่สุดของประชาชาตินี้ คือ บรรดาศ่อฮาบะฮฺ ตามด้วยบรรดาตาบีอีน และตามด้วยบรรดาตาบิอิ้ตตาบีอีน และเชื่อว่า จะยังคงมีกลุ่มหนึ่งในประชาชาตินี้ ที่เป็นกลุ่มบุคคลที่มีความประจักษ์ชัดอยู่บนสัจธรรม โดยผู้(ประสงค์ไม่ดี)ที่คอยหักหลังและขัดขวางหรือเห็นต่างและขัดแย่งกับพวกเขา ไม่สามารถสร้างความเดือดร้อนใดๆแก่พวกเขาได้ จนกระทั่งพระประกาศิตของอัลลอฮฺ พระผู้ทรงเกียรติและทรงสูงส่ง ได้มาถึง
 

(ดู ศ่อฮีฮุ้ลบุคอรีย์/3641 และ ศ่อฮีฮุ มุสลิม/1920)


         ♥ พวกเราเชื่อมั่นว่าประเด็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับบรรดา ศ่อฮาบะฮฺ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุมอัจมะอีน นั้น เกิดขึ้นเนื่องมาจากการตีความ โดยพวกท่านต่างพยายามวิเคราะห์และพิจารณา(เพื่อหาจุดยืนที่ถูกต้องในเหตุการณ์นั้นๆ) ดังนั้นท่านใดที่วิเคราะห์ได้ถูกต้อง ท่านนั้นก็ย่อมได้รับผลตอบแทนเป็นสองผลบุญ ส่วนท่านใดที่วิเคราะห์ผิด ท่านก็จะได้รับผลบุญเพียงผลบุญเดียว และความผิดพลาดของท่านที่เกิดขึ้นก็ได้รับการอภัยโทษให้


         ♥ พวกเรามองว่าเป็นหน้าที่จำเป็นที่พวกเราจะต้องยุติและไม่กล่าวถึงเรื่องเสื่อมเสียของพวกท่าน ดังนั้นพวกเราจึงไม่เอ่ยถึงพวกท่านเว้นเสียแต่สิ่งที่ดีๆที่ควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญเท่านั้น อีกทั้งพวกเรายังต้องขัดเกลาจิตใจของพวกเราให้บริสุทธิ์จากความรู้สึกเคียดแค้นและขุ่นเคืองต่อท่านหนึ่งท่านใดในพวกท่านอีกด้วย โดยอ้างอิงจากพระดำรัสของพระองค์
พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ที่ทรงตรัสเกี่ยวกับพวกท่านไว้(ความ)ว่า 

          "ย่อมไม่เท่ากันดอก บางส่วนของพวกเจ้า มีบุคคลที่ทำการบริจาคและทำการสู้รบ ก่อนการพิชิต พวกเขาย่อมมีฐานะที่ยิ่งใหญ่กว่าบุคคลที่ทำการบริจาคและทำการสู้รบหลังจากนั้น(การพิชิต) อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้อัลลอฮฺได้ทรงสัญญาที่จะทรงตอบแทนความดีให้แล้วทั้งสิ้น"

(อัลฮะดี้ด/10) 

และจากพระดำรัสของพระองค์ พระผู้ทรงสูงส่งยิ่ง ที่ทรงตรัสเกี่ยวกับพวกเราไว้(ความ)ว่า 

       "และบรรดาบุคคลที่มาภายหลังพวกเขาต่างกล่าวกันว่า พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยโทษแก่พวกเรา และแก่บรรดาพี่น้องของพวกเราที่รุดหน้าพวกเราไปก่อนแล้วด้วยความศรัทธา และขอพระองค์โปรดทรงอย่าทำให้มีความรู้สึกขุ่นเคืองใดๆต่อบรรดาบุคคลผู้ศรัทธา เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเราเลย พระผู้เป็นเจ้าของเรา แน่นอนว่าพระองค์นั้นทรงเป็นพระผู้ทรงเอ็นดูยิ่ง พระผู้ทรงปราณีอย่างที่สุด(ต่อบุคคลผู้ศรัทธา)"

(อัลฮัชรฺ/10)

 

ในหนังสือ อะกีดะฮฺ อะฮฺลิ้ซซุนนะวั้ลญะมาอะฮฺ

อาบีดีณ โยธาสมุทร  แปลและเรียบเรียง