อุบูดียะฮฺ - บ่าวผู้ซื่อสัตย์
อับดุลอะซีซ บิน มัรซูก อัฏ-เฏาะรีฟีย์
“อิสรภาพ” ที่แท้จริงนั้น คือ การหลุดพ้นจากทุกสิ่งที่เคารพภักดีนอกจากอัลลอฮฺ ส่วนการเข้าใจความหมายของอิสรภาพว่ามันคือการออกจากแนวทางของอัลลอฮฺ นั่นเท่ากับหันมาตอบสนองตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ และเป็นทาสบูชาตัณหาความอยากนั่นเอง
อัลลอฮฺตรัสว่า
“เจ้าเคยเห็นผู้ที่ยึดถือเอาอารมณ์ต่ำของเขาเป็นพระเจ้าของเขาบ้างไหม?
และอัลลอฮฺทรงทำให้เขาหลงทางด้วยความรอบรู้(ของพระองค์)
และทรงผนึกการฟังของเขาและหัวใจของเขา และทรงทำให้มีสิ่งบดบังดวงตาของเขา
ดังนั้นผู้ใดเล่าจะชี้แนะแก่เขาหลังจากอัลลอฮฺ พวกเจ้ามิได้ใคร่ครวญกันดอกหรือ?”
(อัล-ญาษิยะฮฺ 23)
และผู้ใดเรียกร้องให้ผู้คนกระทำและพูดในทุกสิ่งที่อารมณ์ของตนใฝ่หา -เมื่อไหร่และตอนไหนก็ได้- เช่นนี้แล้วหมายความว่าเขาได้ยอมรับการภักดีของเขาต่ออารมณ์ใฝ่ต่ำและชัยฏอนที่อยู่ในตัวเขา ด้วยเหตุที่ว่ามนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นมาในฐานะบ่าวคนหนึ่ง เมื่อเขาปฏิเสธที่จะภักดีต่ออัลลอฮฺ เขาก็จะกลายเป็นผู้ที่ภักดีต่อสิ่งอื่นจากพระองค์โดยปริยาย
♣ ถ้าหากว่าบนพื้นโลกนี้มีมนุษย์เพียงคนเดียว อัลลอฮฺจะทรงไม่กำหนดบทลงโทษใดๆ ให้กับเขาเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฆ่า ปล้นสะดม หรือการซินา(ผิดประเวณี) จะไม่มีคำสั่งให้เขาลดสายตาลงจากการมองสรีระ ไม่กำหนดเรื่องการแบ่งมรดก อีกทั้งพระองค์ทรงไม่กำหนดให้การซินา(ผิดประเวณี) ดอกเบี้ย และอื่นๆ สำหรับเขาเป็นสิ่งหะรอม(ต้องห้าม) ทว่าการที่พระองค์ได้กำหนดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเนื่องจากมีผู้อื่นนอกเหนือจากเขาอยู่ด้วย และเมื่อไหร่ที่จำนวนของผู้คนเพิ่มมากขึ้น กฎเกณฑ์การใช้ชีวิตร่วมกันก็ต้องละเอียดขึ้นตาม(เพื่อการอยู่อย่างเป็นระเบียบและไม่เอาเปรียบต่อกัน)
♣ ถ้าหากในจักรวาลนี้มีดวงจันทร์เพียงดวงเดียว อัลลอฮฺจะไม่ทรงกำหนดให้ดวงจันทร์เคลื่อนไหวเป็นไปตามระบบอย่างที่เป็นอยู่นี้ แต่ทว่าที่พระองค์กำหนดให้เคลื่อนไหวไปตามระบบเช่นนี้เพื่อให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของดวงอาทิตย์ โลก และดวงดาวต่างๆ ที่มีอยู่ และทุกครั้งที่จักรวาลนี้มีดวงดาวเพิ่มจำนวนมากขึ้น ระบบต่างๆ ก็จะเพิ่มตามเพื่อให้เป็นไปอย่างมีระบบและระเบียบ
อัลลอฮฺตรัสว่า
“ พระองค์ทรงทำให้กลางคืนครอบคลุมกลางวันในสภาพที่กลางคืนไล่ตามกลาววันโดยเร็ว
และทรงสร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และบรรดาดวงดาวขึ้น โดยถูกกำหนดให้ทำหน้าที่บริการตามพระบัญชาของพระองค์
พึงรู้เถิดว่าการสร้างและคำสั่งทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น มหาบริสุทธิ์อัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก”
(อัล-อะอฺรอฟ 54)
และพระองค์ได้ตรัสอีกว่า
“ ดวงอาทิตย์ก็ไม่สมควร(ไม่ถูกอนุมัติ)แก่มันที่จะไล่ตามใกล้ดวงจันทร์ และกลางคืนก็จะไม่ล้ำหน้ากลางวัน
และทั้งหมดนั้นจะเวียนว่ายอยู่ในจักรราศี”
(ยาซีน 40)
กฎเกณฑ์ต่างๆ ของอิสลามนั้นมีขึ้นเพื่อจัดระเบียบและวางระบบให้กับศาสนาและโลกใบนี้ ดังนั้น ผู้ใดที่พาตัวเองออกจากกฏเกณฑ์ที่อัลลอฮฺได้กำหนดไว้ เป็นการสมควรที่เขาจะได้รับการลงโทษ การหันเข้าสู่อิสลามนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นโดยดุษฎี ในขณะเดียวกันการออกจากอิสลามนั้นคือการตกศาสนา
“และผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกไปจากศาสนาของเขา แล้วเขาตายลงขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไซร้
ชนเหล่านี้แหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล ทั้งในโลกนี้และปรโลก และชนเหล่านี้แหละคือชาวนรกซึ่งพวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล”
(อัล-บะเกาะเราะฮฺ 217)
ได้มีบันทึกในหนังสือเศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์ และอื่นๆ ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“ผู้ใดที่เปลี่ยนศาสนาของเขา(ออกจากอิสลาม) เช่นนี้แล้วก็จงประหารเขา”
(บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ 2854 จากการรายงานของ อิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา)
และการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ คือ จุดประสงค์หลักของการมีชีวิตอยู่ของสิ่งถูกสร้างทั้งปวง ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่อ้างว่าตัวเองมีสิทธิที่จะเลี่ยงออกจากกฎเกณฑ์นี้ได้ ก็แสดงว่าเขาได้ปฏิเสธ และไม่เชื่อว่าสิ่งนี้คือจุดประสงค์หลักในการมีชีวิตอยู่ของเขา ในขณะเดียวกันที่เขาไม่อนุญาตให้ตัวเองออกจากกฎระเบียบของโลก ประเทศ และกฎหมาย แต่กลับอนุญาตให้ตัวเองออกจากการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ กระนั้นหรือ ! ภาวะเช่นนี้เป็นการยอมรับลึกๆ จากภายในว่า จุดประสงค์หลักที่แท้จริงในการมีชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้น หรือจุดประสงค์ที่ว่านี้ได้หายไปจากจิตใจของเขาเสียแล้ว
ในขณะที่อัลลอฮฺได้ประกาศว่า
“และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใดเว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า”
(อัซ-ซาริยาต 56)
และผู้ที่ทำให้มนุษย์และญินมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เพื่อให้เคารพภักดีต่อพระองค์ ก็จะทรงทำให้พวกเขา(มนุษย์และญิน)มีชีวิตอยู่ในปรโลกเพื่อการตอบแทนความดีและลงโทษพวกเขา
ขออัลลอฮฺทรงปรับปรุงสภาพของเราและบั้นปลายของเราด้วยเถิด
ขอพระองค์ทรงเศาะละวาตต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และผู้ที่ตามท่าน
แปลโดย : ทีมงานภาษาไทยเว็บอิสลามเฮ้าส์ / islamhouse