ประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับหลักความเชื่อของมุสลิม
  จำนวนคนเข้าชม  2885

ประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับหลักความเชื่อของมุสลิม

 

อับดุลอะซีซ บิน มัรซูก อัฏ-เฏาะรีฟีย์

 

บทนำ
 

 

          อัลฮัมดุลิลลาฮฺ มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแห่งเอกองค์อัลลอฮฺ ผู้ทรงคู่ควรด้วยการสดุดีทั้งมวล ความดีงามแห่งพระองค์นั้นมากมายไม่อาจนับคำนวนและการสรรเสริญพระองค์นั้นก็ล้นพ้นนับไม่ถ้วน บุญคุณทั้งปวงเป็นของพระองค์ตั้งแต่เริ่มต้นจนบั้นปลาย
 

          ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ไม่มีคู่เคียง ไม่มีผู้เทียบเท่า ไม่มีภาคี และไม่มีผู้เสมอเหมือน  ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั้น เป็นทั้งบ่าวและศาสนทูตของอัลลอฮฺ 
 

 

          และนี่คือ “หลักความเชื่ออย่างย่อ” ที่เขียนขึ้นมาให้กับพี่น้องชาวเมืองชาม (ซีเรีย) ในขณะที่พวกเขาได้เป็นเจ้าของดินแดนนี้อีกครั้งหลังจากที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศคริสเตียนนักล่าอาณานิคมมานาน แล้วก็ตกอยู่ใต้อาณัติของพวกบาฏินียะฮฺมาเป็นเวลาร่วมศตวรรษ ซึ่งผลก็คือ ทำให้หลักการอิสลามหลายๆ ประการทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่และเรื่องปลีกย่อยถูกเปลี่ยนแปลงและแก้ไขไปมาก
 

          แท้จริงแล้ว มีหลายท่านจากพี่น้องในประเทศนั้นและจากที่อื่นๆ ได้ขอให้ข้าพเจ้าเขียนคำตอบต่างๆ ต่อคำถามที่บ่าวจะถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺ ว่าด้วยสิทธิของ อัลลอฮฺเหนือปวงบ่าว ที่ทรงสั่งบัญชานบีนูหฺและบรรดานบีทั้งหลาย จนถึงยุคแห่งสารอิสลามของนบีคนสุดท้ายท่านนบี มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
 

 

 “พระองค์ได้ทรงกำหนดศาสนาแก่พวกเจ้า เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบัญชาแก่นูหฺ และที่เราได้มีวะห์ยูแก่เจ้า

ก็เช่นเดียวกับที่เราได้บัญชาแก่อิบรอฮีม มูซา และอีซา ว่าพวกเจ้าจงดำรงศาสนาไว้ให้คงมั่น และอย่าแตกแยกกันในเรื่องศาสนา

เป็นเรื่องใหญ่หลวงหนักหนาสำหรับพวกตั้งภาคีในเรื่องที่เจ้าเรียกร้องเชิญชวนพวกเขาไปสู่ศาสนานั้น

อัลลอฮฺทรงเลือกสำหรับพระองค์เป็นผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงชี้แนะทางสู่พระองค์ให้แก่ผู้ที่ผินหน้าสู่พระองค์” 
 

(อัช-ชูรอ 13)
 

          เมื่อความอยาก(ชะฮฺวะฮฺ)และผลประโยชน์ในตัวคนมีมากขึ้น ก็จะเพิ่มสภาวะของจิตใฝ่ต่ำ(ฮะวา)มากขึ้นตามไปด้วย และเมื่อฮะวามีอยู่มากจนเกินไปความเห็นก็จะแตกตัวตามออกมาอีกหลายแขนง สุดท้ายเมื่อความเห็นแตกต่างกันมากมายก็จะมีจำนวนกลุ่มและพวกต่างๆ มากขึ้นมาโดยปริยาย
 

          ในสภาพที่เสียงของชาวอาหรับอ่อนแรงและไม่ได้รับความสนใจ ก็จะยิ่งเพิ่มความง่ายดายและอิทธิพลของการบิดเบือนและการสร้างความเคลือบแคลง รวมถึงการอุปโลกน์ข้ออ้างที่พาดพิงเอามาจากหะดีษและโองการของพระเจ้าเสียเอง 
 

          ถ้ากลุ่มต่างๆ ในยุคแรกและยุคต่อมา ได้เคยกระทำการเหล่านี้มาแล้วอย่างสะดวกง่ายดาย แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวสำหรับกลุ่มต่างๆ ในยุคนี้ย่อมต้องง่ายและสะดวกกว่าอีก ตราบใดที่ยังมี ชะฮฺวะฮฺ และ ชุบฮะฮฺ อยู่ เพราะแท้จริง การสร้างความเคลือบแคลงหรือชุบฮะฮฺนั้น เริ่มต้นมาจากความอยากหรือชะฮฺวะฮฺก่อน จากนั้นจึงค่อยพัฒนามาเป็นชุบฮะฮฺ แล้วก็กลายพันธุ์เป็นลัทธิที่มีผู้ติดสอยห้อยตาม สุดท้าย คนทั่วไปก็จะยึดถือเอาบทสรุปของมันโดยปราศจากความรอบรู้ถึงที่มาที่ไปตั้งแต่แรกเริ่ม

อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
 

 

“หรือว่าทุกครั้งที่มีเราะสูลคนใดมายังสูเจ้าพร้อมกับสิ่งที่ใจของสูเจ้าไม่ชอบ สูเจ้าก็จะแสดงความยโสโอหัง

บางส่วนจากบรรดาเราะสูลเหล่านั้นพวกเจ้าก็ปฏิเสธ และอีกบางส่วนพวกเจ้าก็ฆ่า” 
 

(อัล-บะเกาะเราะฮฺ 87)


          ในอายะฮฺนี้ อัลลอฮฺพูดถึง จิตใฝ่ต่ำ(ฮะวา)ก่อน แล้วมันก็กลายมาเป็นความยโสโอหัง จากนั้นก็กลายมาเป็นการปฏิเสธศรัทธาแล้วจบลงด้วยการอธรรมเป็นศัตรูคู่แค้น ซึ่งจะเป็นเช่นนี้กับทุกๆ ลัทธิและแนวคิดหลงทาง ในทุกยุคสมัยและทุกกลุ่มชน

 

          อัลลอฮฺได้ทรงประทานสัจธรรมและทางนำมายังท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ใครก็ตามที่ประสงค์จะรับมันในสภาพที่ใสสะอาดก็จงรับมันจากแหล่งเดิมอันแรกๆ ของมัน ก่อนที่มันจะถูกเอาไปผสมปนเปกับความคิดของคน 

          เพราะวะห์ยู(พระดำรัสและวิวรณ์ของอัลลอฮฺ)นั้นเปรียบได้เหมือนกับน้ำ ส่วนปัญญาของมนุษย์นั้นเหมือนภาชนะ อัลลอฮฺได้ส่งวะห์ยูมาแล้ววางไว้ในภาชนะ นั่นคือหัวใจของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จากนั้นท่านนบีก็ได้ถ่ายเทวะห์ยูให้กับบรรดาเศาะหาบะฮฺ แล้วเศาะหาบะฮฺก็ถ่ายเทให้กับบรรดาตาบิอีน ยิ่งมีการถ่ายเทมากเท่าไรความใสของน้ำก็จะยิ่งจางลงและจะยิ่งขุ่นมัว เพราะฉะนั้น ภาชนะที่ถูกต้องและสะอาดที่สุดก็คือภาชนะของคนรุ่นแรกๆ นั่นคือ เริ่มตั้งแต่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จากนั้นก็เป็นเศาะหาบะฮฺ แล้วก็เป็นเหล่าตาบิอีน ซึ่งมีบันทึกในหะดีษที่รายงานโดยมุสลิมจากอบู มูซา เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า


«أَنَا أَمَنَةٌ لأَصْحَابِي، فَإِذَا ذَهَبْتُ أَتَى أَصْحَابي مَا يُوعَدُونَ، وَأَصْحَابِي أَمَنَةٌ لأُمَّتِي، فَإِذَا ذَهَبَ أَصْحَابي أَتَى أُمَّتِي مَا يُوعَدُونَ» [مسلم برقم 2531]

“ฉันเป็นหลักประกันความปลอดภัยแก่เศาะหาบะฮฺของฉัน เมื่อฉันจากไปก็จะมีสิ่งที่ถูกสัญญามายังเศาะหาบะฮฺของฉัน

และบรรดาเศาะหาบะฮฺก็จะเป็นหลักประกันความปลอดภัยแก่ประชาชาติของฉัน

เมื่อเศาะหาบะฮฺของฉันจากไปก็จะมีสิ่งที่ถูกสัญญามายังประชาชาติของฉัน”
 

 (มุสลิม หมายเลข 2531)

ดังนั้น ศาสนาจะต้องไม่ถูกนำเอามายึดถือปฏิบัตินอกเสียจากต้องผ่านวะห์ยูจากอัลกุรอานและสุนนะฮฺเท่านั้น


“พระองค์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งในหมู่ผู้ไม่รู้หนังสือซึ่งศาสนทูต(เราะสูล)ขึ้นมาคนหนึ่งจากพวกเขาเอง

เพื่อให้เขาอ่านโองการต่างๆ ของพระองค์แก่พวกเขา และเพื่อให้เขาขัดเกลาจิตใจคนเหล่านั้นให้บริสุทธิ์

และให้เขาสอนคัมภีร์ และให้ความรู้แก่พวกเขา”
 

(อัล-ญุมุอะฮฺ 2)

♣ ความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับศาสนาที่เอามาจากสิ่งอื่นนอกจากอัลกุรอานและสุนนะฮฺถือว่าเป็นความโง่เขลา

♣ และความเข้าใจที่ถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับวะห์ยู คือความเข้าใจของบรรดาเศาะหาบะฮฺ

 

 



แปลโดย : ทีมงานภาษาไทยเว็บอิสลามเฮ้าส์ / islamhouse